[17] - ดวงใจอันแหลกสลาย

2866 Words
                                                                                        [17]   ฉัน เดนน่าและแมทอาสาออกมาวาดสัญลักษณ์กันพวกแวมไพร์ในพื้นที่บริเวณรอบเมืองโดยมีอีเลียตเป็นคนคอยระวังให้ นักล่าสาวผมแดงไม่คุยอะไรอีกนับตั้งแต่ฉันบอกเรื่องภาพนิมิตของเซตไป ส่วนจอห์นและลูอิสตามสืบว่าจะมีที่ไหนเป็นแหล่งกบดานของพวกธาลานอสได้บ้าง จะมีที่ไหนซ่อนแวมไพร์ประเภทนั้นได้กันนะ? แมทหลบหน้าฉันตั้งแต่ตอนที่เขาให้เลือดคริสตัล ฉันไม่รู้หรอกว่าสองคนนั้นรู้จักกันได้ยังไง แต่สิ่งที่ฉันรู้แน่ๆ เลยคือแมทกำลังรู้สึกละอายใจกับเรื่องบางอย่าง    "พี่รู้จักกับคริสตัลมานานขนาดไหนแล้ว?"    "ไม่มากเท่าที่นายรู้จักเธอหรอก" ฉันแกล้งแซว แต่ดูเหมือนแมทจะไม่ตลกด้วย "แล้วเธอสองคนรู้จักกันได้ยังไงล่ะ?"    "เกรดสาม ตอนนั้นผมเริ่มเป็นนักบาส เธอสวยสะดุดตามากเลยล่ะ เกรดสี่ผมเลยรู้ว่าเธอเป็นแวมไพร์และเป็นถุงเลือดให้เธอ สงสัยเป็นเวรกรรมจากที่ล้อพี่ไว้เยอะนั่นล่ะ ผมเคยคบคริสตัลเป็นแฟนด้วยแต่ว่า...ไปด้วยกันไม่ดีสักเท่าไหร่"    "อย่างน้อยเธอกับนายก็เคยเข้าใจกันนะ เป็นเรื่องที่ดี"    "พี่คิดว่าเธอจะเงียบแบบนี้อีกนานมั้ย?"    น้องชายฉันมองเดนน่าที่วุ่นกับการเขียนสัญลักษณ์บนต้นไม้ สีหน้าเคร่งเครียดแบบเดิมเหมือนอยากจะฆ่าใครสักคนทำให้ฉันไม่กล้าที่จะเข้าไปทักเธอก่อน อีเลียตก็คงช่วยอะไรได้ไม่มากซะด้วยสิ ฉันที่เขียนสัญลักษณ์เสร็จไปแล้วหนึ่งอันตัดสินใจเดินเข้าไปทักทายตามประสาคนคุ้นเคย แต่เธอแสดงออกว่าไม่ได้อยากเป็นคนคุ้นเคยกับฉันโดยการหยิบมีดขึ้นมาจ่อคอไว้    "ขืนทำตัวน่าหงุดหงิดแบบนี้อีกคราวหน้าฉันได้แทงเธอจริงๆ แน่"    "อย่าห่วงเลย ฉันไม่ได้โดนแทงครั้งแรกหรอก"    เดนน่าลดมีดลงก่อนจะเขียนสัญลักษณ์อันสุดท้ายจนเสร็จ เธอสูงกว่าฉันเล็กน้อย รูปร่างผอมเพรียวสมส่วนเหมาะกับการเป็นนักล่า แตกต่างจากน้องชายที่ผอมแต่กำยำอย่างสิ้นเชิง    "สัญลักษณ์พวกนี้ช่วยได้เยอะรึเปล่า?"    "แค่ระดับนึง นอกซะจากพวกมันพร้อมใจกันแหกกรงออกไป ไม่มีอะไรต้านพวกมันไว้อยู่หรอก"    "ฉันอยากจะขอโทษเรื่องเซตที่--"    ฉันกุมหน้าอกด้วยความทรมานอีกครั้ง ร่างกายร้อนผ่าวเหมือนถูกเผาเกิดขึ้นเมื่อฉันเริ่มรู้สึกถึงเซตอีกครั้ง แต่ความรู้สึกในครั้งนี้กลับเจ็บปวดและรุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน เหมือนไวไฟที่แรงขึ้นถ้าอยู่ใกล้จุดปล่อยสัญญาณ ฉันลองเดินก้าวเท้าเข้าไปในป่าจนอาการเริ่มรุนแรงขึ้นและรู้ว่าเซตต้องอยู่ทางนั้น แต่เมื่อฉันก้าวไปครั้งที่สองก็ไถลลงพื้นต่างระดับ ทำไมถึงโง่อย่างนี้นะ? หัวของฉันคงโขกเข้ากับอะไรซักอย่างก่อนที่ทุกอย่างจะหมุนติ้ว และฉันก็สลบไปอีกครั้ง    "ฮึก--"    "ฉันรู้ว่านายชอบ ฮ้า...พูดสิว่านายชอบ"    คมเขี้ยวของแวมไพร์สาวแปลกหน้างับลงแผงอกของเซต แต่เด็กหนุ่มไม่มีแรงที่จะร้องขอความเมตตาออกมาแล้วและปล่อยให้คนตรงหน้าทำสิ่งที่อยากทำ มันน่าอับอายที่ร่างกายของเขาตอบรับความต้องการเช่นนี้ จนเมื่อหล่อนครางอีกครั้งเป็นการบอกถึงจุดสุดยอด เดเมียนก็กลับเข้ามาอีกครั้ง    "ลีลาหล่อนใช้ได้เลยใช่มั้ยล่ะ?" แวมไพร์หนุ่มหยิบมีดพกพลางมองแกนชายของเซต "นายคิดว่าเรื่องนี้มันจะจบยังไงเซต"    "จบด้วยการที่คุณตัดไอ้จ้อนของผมไปให้สัตว์เลี้ยงของคุณกินเล่นน่ะหรอ? คิดไว้นิดหน่อย ผมไม่มีอะไรต้องเสียแล้วเดเมียน แต่คุณมีทุกอย่างให้เสีย ทุกอย่าง..."    "มั่นใจขนาดนั้นเลยหรอ? ถ้าพี่สาวสุดรักของนายมาได้ยินคงจะน้อยใจแย่เลยว่ามั้ย"    เดเมียนปลดโซ่ที่คล้องกับหัวเตียงก่อนจะดึงร่างนักล่าหนุ่มขึ้นอีกครั้ง แต่เซตเลือกที่จะขัดขืนแวมไพร์ตรงหน้า "แรงเยอะนักใช่มั้ย ดี! ฉันชักจะเริ่มอยากปราบพยศลูกหมาแบบนายซะแล้วสิ" เซตที่อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าถูกลากออกจากห้องผ่านโถงทางเดินมาจนถึงห้องนอนของอีกฝ่าย ร่างเล็กไร้เรี่ยวแรงถูกโยนไปที่เตียง เซตรู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้    "ถ้านายทำตัวเป็นเด็กดี" เดเมียนกล่าวพลางปลดเข็มขัดออกให้พ้นตัว "ฉันจะให้สิ่งที่นายต้องการ"    "ผมอยากตาย..."    "...ถ้างั้นเราก็ตกลงกันได้"    แวมไพร์หนุ่มร่างเพรียวผอมปลดกางเกงสีดำที่ใส่อยู่ออกก่อนจะคลานเข่าหานักล่าผมแดง มือทั้งสองที่เคยขัดขืนอีกฝ่ายในตอนแรกถูกพาดขึ้นบนหัวเตียง เดเมียนจับให้เซตนอนคว่ำหน้าก่อนที่จะเริ่มดันร่างของตัวเองเข้ามาจากทางด้านหลังเซตอีกครั้ง    'อเลสซ่า...'    'ช่วยด้วย'    "เซต?"    ฉันฟื้นขึ้นมาอีกครั้งโดยรู้สึกปวดแปล๊บที่ท้ายทอย ได้ยินเสียงแมทตะโกนพร้อมกับแสงไฟฉายที่ส่องมาจากด้านบน ฉันลองลุกยืนและหันมองรอบตัว มีเพียงความมืดมิดและเงาจากผืนป่าเพียงเท่านั้นที่ฉันมองเห็น    "เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ?"    "ถลอกนิดหน่อยน่ะ" ฉันมองอีเลียตที่โผล่หน้าออกมาพร้อมกับแสงจากไฟฉายที่ส่องเข้ากลางหน้าจนต้องเบือนหนี "ช่วยขึ้นไปได้รึเปล่า?"    "อย่างน้อยไอ้สัญลักษณ์นี่ก็ได้ผลนะ ปีนกลับขึ้นมาได้มั้ยอเลสซ่า?"    ไม่มีวี่แววของทางขึ้นที่เขาว่า ฉันลองส่องไฟฉายไปรอบจนเจอเงาของใครบางคนยืนอยู่ไกลๆ พอหันหน้ากลับขึ้นไปก็ไม่เจอใครแล้ว เหมือนพวกเขาหายไปดื้อๆ "งั้นเรียกจาเวียร์มาช่วย ตามแสงไฟฉายมานะ ฉันเห็นว่ามีคนตรงนั้น" ฉันที่หมดหวังเริ่มเดินไปยังทิศทางของเงาปริศนา เสียงจากจิตใต้สำนึกของเซตเริ่มแว่วเข้าหูดังขึ้น จนในที่สุดฉันก็มาโผล่อยู่ในพื้นที่รกร้างซึ่งเคยเป็นโบสถ์มาก่อน ความมืดและแวมไพร์เป็นของคู่กัน และตอนนี้ฉันก็ไร้อาวุธที่จะต่อกรกับพวกนั้น จนเมื่อเสียงของเซตที่อ่อนเพลียในตอนแรกเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องในโสตประสาทของฉัน    "เซต! นายอยู่ที่ไหนน่ะ?"    ฉันรู้ว่าการส่งเสียงให้พวกนั้นรับรู้เป็นเรื่องที่โง่เง่าสิ้นดี แต่อย่างน้อยฉันก็อยากจะรู้ว่าเซตนั้นมีชีวิตอยู่รึเปล่า จนเมื่อใครบางคนดึงตัวฉันไว้และใช้มือปิดปากแน่น ฉันพยายามจะดื้นขัดขืนจนรู้สึกคุ้นกับเสียงของแวมไพร์ขี้ยาที่ฉันและเซตเคยช่วยไว้ที่โกดังเสื้อเก่าเมื่อไม่นานมานี้ เขาเริ่มกระซิบออกมา    "ชู่ว์...เงียบไว้"    และเพียงเสี้ยววินาทีก็มีแวมไพร์กลุ่มหนึ่งวาร์ปมาตามเสียงของฉันพร้อมดมกลิ่นเหมือนสุนัขตำรวจ ฉันที่ไร้ทางเลือกยืนตัวเกร็งจนกระทั่งแวมไพร์ตัวหนึ่งเดินตรงมายังทางที่ฉันอยู่ ใกล้จนน่ากลัว...แต่เขาไม่เห็นฉัน ไฟฉายบนพื้นนั้นเรียกความสนใจจากพวกที่เหลือได้อยู่ทีเดียว    "อย่าให้ใครหนีออกไปได้ หามันให้เจอ"    แวมไพร์พวกนั้นวาร์ปหายไปคนละทิศละทาง จนแวมไพร์ขี้ยาปล่อยมือออกและผลักฉันออกมา สภาพในตอนนี้ของเขาดูดีกว่าครั้งล่าสุดที่เราเจอกันมากทีเดียว ทั้งการแต่งตัวและบุคลิกนั้นเหมือนเป็นคนละคนกันเลย สีผมจากดำสนิทเปลี่ยนเป็นสีบลอนด์เทา และเสื้อที่เคยขาดวิ่นกลายเป็นแจ๊กเก็ตหนังสีน้ำตาล สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่คือขอบตาสีดำที่เขาจงใจเขียน    "นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?"    "ฉันสิควรต้องถามเธอ" แวมไพร์ปริศนาหันมองรอบตัวด้วยความระแวง "เธอไม่ควรมาอยู่ที่นี่ ไม่ควรมากๆ รีบกลับไปตอนที่ยังมีโอกาสซะ"    "ฉันมาตามหาเพื่อน จำนักล่าผมแดงที่อยู่กับฉันได้มั้ย? เขาถูกพวกธาลานอสจับตัวมา ฉันรู้ว่าเขาต้องอยู่ที่นี่พอๆ กับที่คุณรู้ว่าพวกนั้นอยู่ที่นี่"    "เธอกำลังหาเรื่องตายยัยหนู ไอ้เดเมียนมันเป็นคนอันตราย เธอยังไม่รู้พิษสงของไอ้บ้าโรคจิตนั่น"    ความหวาดกลัวเช่นนั้นทำให้ฉันเริ่มเชื่อขึ้นมาว่าแวมไพร์ที่ชื่อว่า 'เดเมียน' อันตรายมากกว่าที่ฉันคาดไว้ ถ้าเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนของวิกเตอเรียอีกทีหนึ่ง เรื่องคนหายในเมืองคงมีอะไรมากกว่านั้นเช่นกัน ท่าทางไอ้แวมไพร์ล่องหนคนนี้คงไม่ยอมช่วยฉันง่ายๆ    "นายเคยสัญญาว่าถ้าวันไหนฉันอยากได้ความช่วยเหลือของนาย นายต้องช่วยฉัน นายกำลังผิดสัญญาฉัน"    "อย่าพูดแบบนั้น...เธอไม่มีสิทธิ์"    "นายกำลังทอดทิ้งคนที่ช่วยชีวิตนาย ปล่อยให้เขาทนทุกข์ทรมานอยู่ในนั้น นายมันหลอกลวง!"    ร่างของฉันลอยขึ้นจากแรงของแวมไพร์ขี้ยา ดวงตาของเขาแดงก่ำ เดือดดาลไปด้วยโทสะ "อย่าเอาสัญญาบ้าๆ นั่นมาอ้างตราบใดที่พวกเขายังไม่ตอบรับ ฉันไม่ได้อยากมีชีวิตรอดออกมาเพื่อมาตาย!" เขาบีบคอฉันแน่นขึ้นจนเริ่มหายใจไม่ออก "ไม่เข้าใจรึยังไงว่าพวกนั้นอันตรายขนาดไหน"    "เข้าใจสิ...แต่เพื่อนฉันกำลังจะตาย ได้โปรด แค่--พาฉันเข้าไปที่นั่นก็พอ"    ไม่มีท่าทีลังเลใจจนเกือบเชื่อว่าเขาจะฆ่าฉันจริงๆ แวมไพร์หนุ่มปล่อยร่างฉันลงก่อนจะมอบสร้อยที่เป็นเหมือนเครื่องรางไม้ให้ "เครื่องรางของแม่มดขาว ถ้าเจอหมอนั่นแล้วกำสร้อยนี้ไว้ให้แน่นเลย แนะนำว่าให้ทำถ้าจวนตัวจริงๆ"    "ทำไมต้องรอให้จวนตัวล่ะ?"    "มันจะดูดพลังงานในตัวเธอ เชื่อฉันเถอะว่าเธอไม่อยากรู้สึกแบบนั้น มันแย่ยิ่งกว่าถูกดูดเลือดซะอีก"    ฉันสวมสร้อยไว้และยิ้มขอบคุณเขาสำหรับความช่วยเหลือ แต่ว่า...ฉันเดินออกไปแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ ฉันหันมองแวมไพร์ตนเดิมอีกครั้ง เขารู้ดีว่าฉันต้องการอะไรก่อนที่เขี้ยวทั้งสองจะโผล่ออกมา "ของแบบนี้ไม่ได้ให้กันฟรีๆ นะ" ฉันถอนหายใจและดึงแขนเสื้อสเวตเตอร์ขึ้น ก็แหงล่ะสิว่าฉันต้องพึ่งเขาน่ะ "ถือว่าช่วยเหลือกัน"    หลังจากข้อตกลงกับแผนบ้าๆ นี่ ฉันสามารถเดินผ่านพวกแวมไพร์เฝ้ายามจนเข้ามาถึงด้านในโบสถ์ร้างโดยไม่ถูกจับได้พร้อมกับเลือดของเขาในขวดเล็กๆ เผื่อฉุกเฉิน ฉันมองสร้อยที่เขาให้ไว้ เป็นไม้แกะสลักแบบเดียวกับที่จาเวียร์มีบนพวงกุญแจ แต่ลายแกะสลักรูปดวงตาและสัญลักษณ์อื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามาทำให้มันดูเป็นเครื่องรางมากขึ้น จนเมื่อมาถึงหน้าประตูบานเล็กที่พาลงไปยังทางใต้ดิน ประตูไม่ได้ล็อกไว้ ฉันจึงค่อยๆ เปิดแง้มและพาตัวเองลงไปด้านล่าง เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้    "โว้ว..." ฉันมองทางเดินที่ยาวจนสุดสายตา อาจจะไร้จุดสิ้นสุดด้วยซ้ำ "อะไรกันเนี่ย?"    การตกแต่งภายในของที่นี่นั้นให้ความรู้สึกเหมือนคฤหาสน์หลังใหญ่ในป่ารกร้าง เงียบสงัด...ไร้เสียงของสิ่งมีชีวิตใดๆ ถ้านี่เป็นเกมผีชีวะภาคแรกที่มีซอมบี้โผล่ออกมาจากหัวมุมฉันคงจะเตลิดไปแล้ว ฉันย่องผ่านอย่างรวดเร็วเพราะไม่รู้ว่าเลือดของแวมไพร์ขี้ยาตนนั้นจะให้ระยะเวลาเท่าไหร่ จนกระทั่งสายตาของฉันไปสะดุดกับป้ายของประตูห้องหนึ่งว่า 'ห้องกักตุนอาหาร' ถ้าเป็นปกติคงจะไม่คิดว่าผิดปกติอะไรหรอก แต่นี่เป็นแหล่งกบดานของแวมไพร์น่ะสิ ฉันหันซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่าปลอดภัยแล้วจึงเปิดประตูเข้าไป    "พระเจ้า"    ผู้คนเกือบร้อยถูกแขวนห้อยไว้อยู่เต็มห้องจนแออัด บนต้นคอของทุกคนมีเข็มเจาะเลือดเชื่อมต่อไปยังถุงเลือด ให้พูดแบบจริงใจ...ฉันไม่เคยเห็นอะไรที่น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าในห้องนี้เต็มไปด้วยบุคคลสาปสูญจากในเมือง คนที่ดื่มน้ำประปาเข้าไปจะถูกสะกดจิตเหมือนที่ลุงปาร์กเกอร์โดนเข้าไป ฉันเห็นฮันท์ที่ถูกแขวนไว้บนคานเหล็กหน้าซีดจากการเสียเลือดมากก่อนจะวิ่งไปหาเขา    "ฮันท์...ฮันท์!"    "อเลสซ่า...เธอมาอยู่ที่นี่ได้ไง?"    "ไม่สำคัญหรอก" ฉันมองหารอกหรือกลไกที่จะพาเขาลงมา "ต้องถามมากกว่าว่านายมาที่นี่ได้ไง"    "ฉันอยู่ที่สถานีตำรวจ สุดท้ายที่จำได้คือเสียงเธอที่ประกาศจากศาลากลาง และฉันก็ไม่เชื่อ...มันมีอะไรในน้ำงั้นหรอ"    "ฉันไม่รู้ แต่คงเป็นอะไรซักอย่างที่ควบคุมจิตใจคนในเมืองได้"    "พระเจ้า ปวดกรามชะมัด..."    ฉันรู้ว่าฮันท์คงเจ็บจากการถูกจอห์นซัดที่หน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร ประตูเปิดออกอย่างรวดเร็วจากพวกแวมไพร์ ฮันท์ส่ายหน้าบอกว่าการช่วยเขาในตอนนี้ไม่ใช่ความคิดที่ดี ฉันกลืนน้ำลายด้วยความกลัวก่อนจะรู้ว่าพวกแวมไพร์ไม่เห็นฉัน แวมไพร์สาวฟุดฟิดจมูกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปหาฮันท์ที่ฉีกยิ้มกว้าง    "นายไม่ควรตื่น" และเธอก็โปรยผงบางอย่างใส่จนฮันท์สลบไป    ฉันภาวนาอย่าให้ฮันท์โดนสูบเลือดตายและเดินหน้าต่อ ทางใต้ดินอีกชั้น...ตอนนี้มันกลายเป็นตัวเลือกเดียวของฉันไปแล้ว เซตอาจจะโดนขังอยู่ที่นี่ก็ได้ ฉันรวบรวมสมาธิอีกครั้งก่อนจะหลับตาลง เสียงของเซตเริ่มปรากฏอยู่ในโสตประสาท ชัดเจนขึ้นในทุกก้าวที่ฉันลงบันได จิตใต้สำนึกของเซตที่สิ้นหวังทำให้ฉันจินตนาไม่ออกว่าเขาเจออะไรมาบ้าง ทุกอย่างเริ่มมืดลง มีเพียงหลอดไฟดวงเล็กที่ห้อยส่องนำทางฉันจนมาถึงหน้าบานประตูเหล็กสีสนิม แต่เมื่อเปิดเข้าไป...ฉันกลับเห็นชายหนุ่มที่ร่างกายและจิตใจแตกสลายไปแล้วนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น ดวงตาเหม่อลอย สีหน้านิ่งสงบเหมือนคนตาย    "เซต..." ฉันคุกเข่าตรงหน้าก่อนจะได้รับความสนใจด้วยสายตาของเขา มีรอยเขี้ยวอยู่หลายจุดบนร่างเปลือยเปล่า "พระเจ้า...พวกมันทำอะไรนายเนี่ย?"    "เธอเป็นใครกัน?"    "ฉันอเลสซ่าไง นายจำฉันไม่ได้หรอ?"    นักล่าหนุ่มขมวดคิ้วฉงนก่อนจะหัวเราะร่า "ช่างมันเถอะ เดี๋ยวยังไงฉันก็ต้องตายอยู่ที่นี่แล้ว เพราะงั้นเธอควรออกไปได้แล้วก่อนที่เขาจะมาอเลสซ่า เขาไม่ชอบให้ใครมาเพ่นพ่านในห้องนี้หรอกนะ"    เสียงประตูเหล็กเปิดขึ้นก่อนที่ชายร่างผอมสูงจะเดินเข้ามา โครงหน้าของเขาได้สัดส่วน...ดูดีและสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าอเล็กซ์เสียอีก ถ้านี่เป็นแวมไพร์ตัวที่จอห์นและคนอื่นบอกว่าอันตรายจริงๆ ฉันเริ่มเชื่อแล้วว่าที่คนพวกนั้นพูดเป็นเรื่องจริง ดวงตาดุร้ายของเขามองเซตที่นั่งคุกเข่าและเดินไปลูบหัวด้วยความเอ็นดู    "เด็กดี เสียดายจังที่ไม่มีเวลาเล่นเกมด้วย ฉันค่อนข้างจะถูกใจนายซะด้วยสิ" เขี้ยวที่งอกออกมาเริ่มทำฉันกลัว "แต่ฉันไม่ฆ่านายหรอก ไม่จนกว่าฉันจะหมดสนุกกับนาย"    เซตมองคนตรงหน้าด้วยความสิ้นหวังก่อนจะถูกเชิดคอ หน้าตาจำนนและหมดอาลัยตายอยากกับทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ฉันไม่มีทางปล่อยให้เขาตายหรอก    "หยุดนะ!"    ฉันผลักร่างของแวมไพร์ตัวนั้นออกและวิ่งไปโอบตัวเซตไว้ เมื่อกำเครื่องรางที่แวมไพร์ขี้ยาให้มามันก็เริ่มส่องแสงแปลกๆ แววตาของแวมไพร์ธาลานอสนั้นโกรธจัด ฉันหลับตาปี๋และภาวนาให้ตัวเองหายไปจากที่นี่ จนกระทั่งฉันลืมตาขึ้นอีกครั้ง...ในห้องใต้ดินที่มีพื้นเขียนไว้ด้วยวงเวทย์แบบเดียวกันกับเครื่องราง ส่วนเซตนั้นหมดสติในอ้อมแขนของฉันไปแล้ว จนกระทั่งแสงตะเกียงนั้นจะตกกระทบจนเกิดเป็นเงาของใครบางคน หญิงสาวสวมชุดฮู้ตปิดบังใบหน้า ตาข้างขวาของเธอเป็นประกายส่องในความมืด ส่วนอีกข้างที่เป็นปกติมองฉันเหมือนอยากจะตั้งคำถามว่า    "พวกเธอเข้ามาที่นี่ได้ยังไง?" [To Be Continued...]
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD