คืนเฟรชชี่ไนท์
19.00 น.
งาน “เฟรชชี่ไนท์” ถูกจัดขึ้นในคืนวันศุกร์ ซึ่งห่างจากวันรับน้องของมหาวิทยาลัยหนึ่งอาทิตย์ หลังจากกิจกรรมจับบัดดี้ในวันนั้นฉันก็ไม่ได้เจอกับแดนอีกเลย จำได้ว่าวันนั้นเขาบอกว่าเราจะได้เจอกันอีกในวันนี้ ฉันเฝ้ารอที่จะให้ถึงวันนี้ไวๆ เฝ้ารองั้นหรอ ทำไมฉันต้องรอพบหน้าเขาด้วยล่ะ ฉันสลัดความคิดที่มีต่อเขาออกไปแล้วให้ความสนใจกับการแสดงตรงหน้าแทน ในตอนนี้ทีมเชียร์หลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัยกำลังทำการแสดง ฉันทึ่งในความสามารถของรุ่นพี่เหล่านั้นมากๆ ทั้งการแสดงต่อตัวและการกระโดดหมุนตัวกลางอากาศทำพวกเราตื่นเต้นกันมาก
“ทอฝันเก่งมากเลยนะ” ฉันพูดถึงเพื่อนสาขาคนสวยที่เป็นตัวแทนประกวดดาวมหาวิทยาลัยในค่ำคืนนี้
“ใช่ ทอฝันสวยมากด้วยอาจจะได้เป็นดาวมหาวิทยาลัยก็ได้นะ” หนึ่งเพื่อนสาวคนสนิทของฉันแสดงความเห็น เธอไม่ได้พูดเกินจริงเลยเพราะฉันเองก็เห็นด้วยกับความคิดของเธอ
“แต่ละสาขาก็ส่งคนสวยๆ หล่อๆ เข้าประกวดกันทั้งนั้นเลยนะ” นุ่มนิ่มเพื่อนสาวคนสนิทอีกคนของฉันพูดแสดงความคิดเห็น
“ทิวก็เก่งไม่เบานะ แสดงความสามารถได้ดีทีเดียว” น้ำเพื่อนสาวคนสนิทคนสุดท้ายของฉันพูดถึงเพื่อนหนุ่มของเราที่เป็นตัวแทนเข้าประกวดเดือนมหาวิทยาลัย
“ว่าแต่ใครกันนะจะได้เป็นดาวกับเดือนมหาวิทยาลัยในปีนี้” ฉันพึมพำกับตัวเองพร้อมกับดูการแสดงความสามารถของผู้เข้าประกวดคนอื่นๆ
“ทอฝัน ทอฝันได้เป็นดาวแล้ว” เป็นเสียงของหนึ่งที่ส่งเสียงเชียร์เพื่อนร่วมสาขาเราอย่างตื่นเต้นและดีใจดังขึ้น
“คนสวยอันดับหนึ่งของสาขา” ฉันประสานมือกับหนึ่งอย่างยินดี ที่เพื่อนของฉันได้เป็นดาวมหาวิทยาลัยในปีนี้
“........ หือ” แรงสะกิดเบาๆที่หัวไหล่ดึงความสนใจของฉันจากการประกวดตรงหน้า ใครกันนะที่สะกิดไหล่ฉัน ฉันหันหลังกลับไปมองคนคนนั้น แต่แล้วก็ต้องหรี่ตามองเพราะแสงไฟจากด้านหลังเวทีส่องเขาที่ดวงตาของฉันพอดีเลยทำให้มองหน้าคนที่สะกิดฉันไม่ชัดนัก และเพราะลำแสงนั้นสาดมาอีกครั้งฉันเลยต้องปิดตาลงเพราะมันจ้ามากจริงๆ
“น้อง” ฉันรู้สึกคุ้นเคยเสียงของคนที่เรียกชื่อฉันเอามากๆ เหมือนจะเคยได้ยินเสียงนี้จากที่ไหนมาก่อน มันคุ้นมากเลยจริง ฉันพยายามลืมตาขึ้นอีกครั้งและเริ่มปรับสภาพสายตา ภาพที่ฉันเห็นกลับเป็นรูปดาวบนผืนผ้าสีดำและแจ็คเก็ตยีนสีดำ ฉันเงยหน้าขึ้นมองผ่านลำคอขาวๆของคนคนนั้นและก็พบว่าเขาคือแดน ฉันตกใจจนเผลอก้าวถอยหลังและเกือบจะหล่นจากบริเวณบันไดที่นั่ง และนับว่าฉันยังโชคดีที่เขาคว้าเอวฉันเอาไว้ได้ทันไม่อย่างนั้นฉันคงจะหล่นลงไปกองที่พื้นด้านล่างอีกหลายๆขั้นเป็นแน่
‘ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก’
ฉันได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวเร็ว คงเพราะอาการตกใจจากเหตุการณ์ตรงหน้า แต่เมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดเขาแบบนี้ฉันยิ่งประหม่า หายใจไม่ทั่วท้องไปกันใหญ่ นี่ฉันคงไม่ได้กำลังเขินเขาหรอกใช่ไหม
“ขอบคุณนะ” ฉันดันตัวออกจากอ้อมกอดของเขา เขาเองก็ยอมปล่อยฉันแต่โดยดี
“ขอโทษด้วย” คิ้วขมวดยุ่งของเขาทำให้ฉันเข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจทำให้ฉันตกใจจริงๆ
“ไม่เป็นไร น้องแค่ตกใจน่ะ แล้วนี่แดนมาได้ยังไง เรานั่งกันคนละโซนไม่ใช่หรอ” ฉันถามเขาเมื่อเริ่มกำหนดลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง
“มากับเพื่อนน่ะ” เขาชี้นิ้วไปยังเพื่อนๆ ของเขาที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเพื่อนๆของฉัน
“เพื่อนแดนได้เดือนมหาวิทยาลัยด้วยนะ” ฉันชวนเขาคุย ยินดีกับเขาที่เพื่อนของเขาได้เป็นเดือน เพื่อนคนนี้นอกจากหน้าตาดีแล้วยังมีความสามารถด้วย ถึงจะผิดหวังที่ทิวเพื่อนสาขาของเราพลาดโอกาสไปก็เถอะ
“ชื่อไอ้นนท์” เขาบอกชื่อเดือนมหาวิทยาลัยหมาดๆ ให้ฉันรู้
“อื้ม” พูดน้อยขนาดนี้ ฉันก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับเขาเหมือนกัน
“หิวน้ำหรือเปล่า เราว่าจะไปซื้อ” เขาสะกิดถามฉันอีกครั้ง
“ไปสิ เดี๋ยวเราไปเป็นเพื่อน” ฉันอาสาไปกับเขา คงเพราะอยากคุยกับเขาให้มากกว่านี้ เขาเดินนำหน้าฉันไปตรงทางออกแล้วเดินผ่านผู้คนไปอย่างรวดเร็วไม่รอฉันสักนิดเลย ฉันต้องพยายามมองหาทางออกเอาเอง คนก็เยอะแออัดจนฉันมองไม่เห็นทาง ความสูงของฉันนี่เป็นอุปสรรคจริงๆ ฉันยืดตัวมองหาทางออกอยู่พักหนึ่งก็มีมือของใครบางคนจับมือฉันและดึงให้ผ่านออกมาได้
“ขอโทษที เคยตัวไปหน่อย ทำอะไรคนเดียวจนชินน่ะ ลืมไปเลยว่าน้องออกมาด้วย” เขาพูดกับฉันหลังจากที่เราผ่านผู้คนที่ยืนออกันอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าได้สำเร็จ
“ไม่เป็นไร น้องคงตัวเล็กไปเลยมองไม่เห็นทางออกน่ะ”
“อืม ตัวเล็กเกินไปจริงๆ” เขามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้านิ่งๆ แล้วยังจะมาพูดว่าฉันตัวเล็กอีกอย่างนั้นหรอ
“........” นี่เขากำลังหาว่าฉันเตี้ยหรือเปล่านะ ฉันอุตส่าห์เลี่ยงวลีตัวเตี้ยออกไปแล้วนะ
“ดื่มอะไรดี” เขาเดินนำฉันมาที่ร้านขายเครื่องดื่ม เลือกหยิบน้ำเปล่ามาสามขวด แล้วยืนรอให้ฉันเลือกเครื่องดื่มอย่างใจเย็น”
“เอาน้ำเปล่าก็แล้วกัน” เขาหยิบน้ำเปล่าอีกสามขวดยื่นให้พ่อค้า
“เท่าไหร่ครับ”
“หกสิบบาทครับ” เขาหยิบเงินแบงก์ร้อยให้พ่อค้าและรอรับเงินทอน ฉันหยิบเงินของตัวเองให้เขาแต่เขากลับส่ายหน้าเป็นคำตอบว่าไม่รับ
“อยากกินอะไรหรือเปล่า เอาขนมอะไรไหม” เขาถามฉันก่อนจะเปิดขวดน้ำแล้วยกขึ้นดื่มทีเดียวหมดไปกว่าครึ่งขวด เขาคงจะหิวน้ำจริงๆ
“ไม่ดีกว่า ไม่หิวน่ะ” เขาพยักหน้ารับรู้ แล้วยื่นขวดน้ำที่ดื่มแล้วของเขาให้ฉันถือเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งก็หิ้วถุงน้ำดื่มที่เราเพิ่งจะซื้อมา มืออีกข้างก็คว้าจับมือฉันเอาไว้
“งั้นก็กลับเข้างานกันเถอะ”
“อื้ม” ฉันพยักหน้าให้เขา จากนั้นเราทั้งคู่ก็เดินเข้างานไป
ผมเดินนำน้องฝ่าฝูงชนที่ยืนออกันอยู่ประตูทางเข้างาน ผมให้เธอเดินด้านหลังเพราะไม่อยากให้เธอเดินชนกับผู้คนที่ยืนขวางทางอยู่ คงเพราะเธอตัวเล็กดูบอบบางเกินกว่าจะให้ใครสัมผัสเธอได้ แล้วผมก็พาเธอกลับมานั่งที่เดิมที่ที่เพื่อนของเราปักหลักอยู่
“ขอบใจ กำลังคิดอยู่เลยว่ามึงหายไปไหน” ไอ้เดียวรับน้ำดื่มที่ผมซื้อมาเผื่อทุกคน จัดการยื่นขวดน้ำให้บัดดี้มันขวดหนึ่ง แล้วยื่นขวดน้ำอีกสองขวดให้ไอ้ดิฟ เราไม่ได้สนใจจะคุยกันมากนอกจากดูการแสดงดนตรีข้างหน้าเท่านั้น
“.......” น้องสะกิดแขนผม แล้วยื่นขวดน้ำที่ผมฝากเธอไว้ก่อนหน้ากลับคืนมาให้ผม
“ดื่มหรือเปล่า” ผมยกขวดน้ำดื่มให้เธอดูก่อนจะพูดเสียงดังแข่งกับเสียงเพลงใกล้ๆ หูเธอ เธอมองหน้าผมและส่ายหน้า แล้วก็หันไปชมการแสดงดนตรีต่อ ผมสะกิดแขนเธอแล้วชี้บอกว่าผมนั่งด้านหลังเธอนะ เธอก็ทำเพียงพยักหน้ารับรู้เท่านั้น เป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงไม่สนใจผม ผมรู้สึกแปลกๆ ที่เสน่ห์ของผมเหมือนจะไม่ส่งผลต่อเธอ ทั้งๆที่เวลาผมให้ความสนใจผู้หญิงคนไหนเธอจะตอบสนองด้วยการตามติดผมไปทุกที่ แต่กับน้องบางครั้งเธอก็ทำเหมือนว่าจะชอบผมแต่บางครั้งเธอก็กลับทำเฉยเมยเหมือนอย่างในตอนนี้ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ผมนั่งมองเธอเต้นอย่างเพลินตา ผู้หญิงคนนี้เหมือนเด็กที่ทั้งสวยและน่ารักดูเป็นธรรมชาติไม่ประดิษฐ์ให้ตัวเองดูดีตลอดเวลา ผมรู้สึกประทับใจเธอจริงๆ แต่ติดตรงที่ว่าเธอยังโตไม่เต็มที่ ผมบอกตัวเองแบบนั้น ผมต้องรอให้เธอโตมากกว่านี้ก่อน รอให้โตกว่านี้หรอ ผมคงต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ แต่ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ใจผมอยากให้เธอโตมากกว่านี้จริงๆนะ