08.00 น.
“น้อง ตื่นได้แล้วลูก” เสียงของหม่าม้าดังรบกวนการนอนของฉัน วันนี้ท่านมารับฉันกลับบ้านที่ระยองไปทำบุญให้คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายในวันอาทิตย์ ถึงฉันจะโทรบอกกับท่านแล้วว่าฉันกลับบ้านเองได้ไม่ต้องมารับ แต่ท่านก็ยังคงยืนยันจะมารับฉันให้ได้
“ตื่นแล้วค่า” ฉันตอบหม่าม้าอย่างงัวเงียไม่อยากลืมตาตื่น แล้วก็คิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่น้ำบาดเจ็บ ตอนนี้เพื่อนรักของฉันจะเป็นยังไงมั่งนะ ฉันหยิบโทรศัพท์แล้วกดส่งข้อความแสดงความห่วงใยไปหาเพื่อน ใจก็อยากจะโทรหาอยู่หรอก แต่ติดที่ว่ามันเช้าไปตอนนี้เพื่อนรักของฉันคงยังไม่ตื่น แดนเองก็คงจะยังไม่ตื่นเหมือนกัน แค่คิดถึงช่วงเวลาที่เราคุยกันไม่นานเมื่อคืน ฉันก็ใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
“อาบน้ำแต่งตัวแล้วมาทานข้าวเช้าได้แล้ว หม่าม้าทำกับข้าวเสร็จแล้ว” ฉันสะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิดที่มีต่อแดนในทันทีที่ได้ยินเสียงของหม่าม้าที่ตะโกนออกคำสั่งเสียงดังที่หน้าห้อง
“ค่า” ฉันรีบตะเกียกตะกายลงจากที่นอนไปเข้าห้องน้ำตามคำสั่งของหม่าม้า ตอนแรกกะว่าจะขับรถกลับบ้านเองในช่วงบ่าย เพราะเมื่อคืนกว่าจะถึงห้องก็ตีหนึ่งกว่าแล้ว ฉันยังนอนไม่อิ่มเลยนะ
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะลูก เมื่อคืนนอนกี่โมงกัน” ป่าป๊าเดินเข้ามากอดฉันที่เพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ
“เมื่อคืนมีงานเฟรชชี่ไนท์ค่ะป่าป๊า เลยอยู่ดึกไปหน่อย” ฉันตอบความจริงท่านแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น น้องไม่ได้โกหกป่าป๊าน๊า
“นอนต่ออีกหน่อยไหมลูก ป๊ากับม้ารอได้” ท่านลูบหัวฉันอย่างใจดี ป่าป๊าใจดีและตามใจฉันมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโตเป็นสาวสวยขนาดนี้
“ให้ลูกไปนอนบนรถก็ได้ป๊า เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้วไปเยาวราชกันก่อนม้านัดเพื่อนไว้แล้ว”
“หม่าม้ามีนัดทำไมไม่ไปตามนัดก่อนล่ะคะ มารับน้องไปด้วยทำไมกัน หม่าม้าไปกับป่าป๊าสองคนก็ได้นี่” ฉันบ่นท่าน เพราะไม่อยากไป ฉันยังง่วงนอนอยู่มากยังอยากนอนมากกว่า
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ให้ม้าไปคุยกับเพื่อนๆ แล้วหนูไปเที่ยวกับป๊าดีไหม ไปเที่ยวกันสองคนพ่อลูก วันนี้วัยรุ่นก็พาคนแก่เที่ยวสักวันก็แล้วกัน”
“ป่าป๊าของน้องยังไม่แก่สักหน่อย ดูเป็นหนุ่มใหญ่ใจดีสุดแสนจะอบอุ่นต่างหากล่ะ วันนี้น้องจะพาป่าป๊าเที่ยวเอง” ฉันยิ้มให้กับไอเดียของป่าป๊า ฉันไม่อยากไปนั่งในวงสนทนาของหม่าม้าเท่าไหร่ เพราะครั้งล่าสุดที่ฉันไปเป็นเพื่อนหม่าม้าฉันจำได้ว่ามีเพื่อนหม่าม้าคนหนึ่งชอบฉันมากแล้วยังอยากแนะนำฉันให้รู้จักกับลูกชายท่านซะอย่างนั้น ถึงเพื่อนหม่าม้าจะน่ารักทุกคนแต่ฉันก็ไม่อยากให้พวกท่านเป็นแม่สื่อจัดงานดูตัวให้ฉันกับลูกชายของพวกท่านหรอกนะ
“หม่าม้าว่าจะแนะนำให้น้องรู้จักกับลูกของประภาสักหน่อย ป๊าจำลูกชายประภาได้หรือเปล่า ตอนนี้โตเป็นหนุ่มแล้วนะ หล่อเชียว” นั่นยังไงล่ะ คิดจะจับคู่ให้ฉันจริงๆ สินะ หม่าม้านะหม่าม้าให้ฉันหาแฟนเองไม่ได้หรือไงกัน
“ป๊าก็คิดไว้อยู่แล้วว่าม้าต้องไปหาประภา มากรุงเทพทีไรไปหาประภาทุกที ถ้าจำไม่ผิดลูกของประภาอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวเรานี่” ป่าป๊าชอบแซวหม่าม้าแบบนี้อยู่เป็นประจำ ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ท่านก็ยอมขับรถระยะทางร้อยกว่ากิโลเพื่อพาหม่าม้ามาพบปะเพื่อนๆ ทุกครั้ง
“ใช่ๆ เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันด้วยนะ ม้าเลยอยากแนะนำให้รู้จักกันไว้ไง เผื่อว่ามีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ น้องก็แวะเข้าไปทักทายแม่ประภาหน่อยสิลูก เค้าก็บ่นคิดถึงน้องอยู่นะ” นี่หม่าม้าคงอยากให้ฉันเจอกับลูกชายเพื่อนให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย
“นั่นสิ แวะไปทักทายกันก่อนแล้วค่อยไปเที่ยวกันนะลูก” ป่าป๊าก็เห็นดีเห็นงามกับหม่าม้าด้วยอีกคน แล้วฉันจะเลี่ยงยังไงได้ล่ะ
“ก็ได้ค่ะ แค่แวะทักทายนะคะ ทักทายกันเสร็จน้องไปเที่ยวกับป่าป๊าเลยนะ” เมื่อปฏิเสธไม่ได้ก็คงต้องปล่อยเลยตามเลยไปก่อน เดี๋ยวค่อยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่หน้างานเอาก็แล้วกัน
“จ้า จ้า ตามนั้นเลย มาๆ ทานข้าวกันเถอะจะสายแล้ว” ป่าป๊าให้ฉันนั่งลงทานข้าวที่หม่าม้าทำให้เพื่อตัดบทสนทนาของพวกเรา
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ ป่าป๊าก็พาเราทั้งคู่ขับรถฝ่าการจราจรที่แสนจะติดขัดของเมืองหลวงมายังสถานที่ที่มีการจราจรติดขัดมากๆ อีกที่หนึ่ง ฉันไม่เข้าใจนักว่าทำไมพวกท่านไม่นัดกันแถบชานเมืองที่รถไม่ติดแบบนี้ แต่กลับเลือกร้านแถวเยาวราชที่รถติดมากๆ แทน
“รถติดมากๆ เลย ทำไมหม่าม้าไม่เลือกนัดกันที่อื่นคะ แถวนี้รถติดมากเสียเวลาเดินทางนะคะ” ฉันมองดูรถที่ค่อยๆ เคลื่อนอย่างช้าๆ ยิ่งกว่าเต่าคลานซะอีก
“หม่าม้ากับเพื่อนมีร้านประจำที่พาน้องไปคราวก่อนไง ติ่มซำร้านนั้นอร่อยมาก เป็นร้านเก่าแก่ที่หม่าม้ามากับเพื่อนๆ สมัยเด็กๆ มันเป็นความทรงจำของเราน่ะลูก” หม่าม้าหันมาคุยกับฉันด้วยรอยยิ้มมีความสุข ท่านจะยิ้มแบบนี้ทุกครั้งเมื่อพูดถึงเพื่อนๆ ของท่าน
“อ้อ เป็นแบบนี้นี่เอง ก็เลยยอมฝ่ารถติดเพื่อมารำลึกความหลังกันใช่ไหมคะ”
“ก็คงจะประมาณนั้น รอวันที่น้องอายุเท่าหม่าม้าแล้วจะเข้าใจ”
“น้องเข้าใจค่ะ ไม่ต้องรอถึงขนาดนั้นก็ได้” ฉันยิ้มให้หม่าม้า ท่านคงมีความทรงจำวัยเด็กกับเพื่อนๆ ที่ร้านนั้นพวกท่านถึงได้นัดกันที่นั่นเป็นประจำทุกปี
“มีที่จอดรถพอดีเลย ถือว่าวันนี้เราดวงดีนะว่าไหม” ป่าป๊าขับรถเข้าจอดต่อจากรถสปอร์ตคันหรูคันหนึ่งที่ฉันรู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด จะว่าไปรถสปอร์ตสีขาวคันนี้ก็คล้ายกับรถของแดนเหมือนกันนะ รถคันที่ฉันนั่งมาเมื่อคืนยังไงล่ะ แต่คงจะไม่ใช่หรอกมั่ง รถแบบนี้ถึงจะมีคนใช้ไม่มากแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครขับเลยนี่ อีกอย่างแดนคงจะนอนหลับยังไม่ตื่นหรอกถึงเวลานี้จะสายแล้วก็ตาม
“น้องก็เดินไปพร้อมหม่าม้าสิ เดี๋ยวป่าป๊าจอดรถเสร็จแล้วค่อยตามมา” หม่าม้ากวักมือเรียกให้ฉันรีบลงจากรถแล้วเดินไปพร้อมกับท่าน แต่ฉันยังไม่อยากไปเจอเพื่อนๆ หม่าม้าเร็วขนาดนั้นนี่นา ฉันขอซื้อเวลาด้วยการเดินเข้าไปพร้อมป่าป๊าก็แล้วกัน
“เดี๋ยวน้องไปพร้อมป่าป๊าค่ะ หม่าม้าไปก่อนเลย เดี๋ยวเพื่อนๆ จะรอนานนะคะ” ฉันเอาเพื่อนๆ หม่าม้ามาอ้าง ท่านจึงเดินไปปล่อยฉันไว้กับป่าป๊า
“เดินไปพร้อมกันก็ได้นี่ ป๊าไม่ได้จอดรถนานสักหน่อย หม่าม้าชอบทำตัวเป็นวัยรุ่นใจร้อนนะว่าไหม ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ป่าป๊าแซวหม่าม้าให้ฉันฟังอย่างอารมณ์ดี ฉันเลยเดินไปควงแขนป่าป๊าแล้วเข้าไปในร้านด้วยกัน
“พอขึ้นไปข้างบนแล้วน้องทักทายเพื่อนๆ หม่าม้าเสร็จแล้ว ป่าป๊าพาน้องออกมาเลยนะคะ” ฉันรีบเตรียมแผนการหาทางเลี่ยงการจับคู่ของหม่าม้า
“ไม่ได้หรอกลูก ยังไงก็ต้องคุยกับเพื่อนๆ หม่าม้าหน่อย น้องต้องรักษามารยาทนะ อีกอย่างเพื่อนๆ หม่าม้าก็อยากเจอน้องด้วย อยู่คุยกันสักหน่อย แล้วป่าป๊าจะพาออกมาเที่ยว โอเคหรือเปล่า” ป่าป๊าสอนฉันยืดยาว ฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่ป๊าสอน ฉันจะต้องรักษามารยาทไม่ทำให้ป่าป๊ากับหม่าม้าต้องเสียหน้าอย่างแน่นอน
“ค่ะป่าป๊า น้องจะไม่ทำตัวเสียมารยาทแน่นอน” ฉันเดินควงแขนป่าป๊าขึ้นไปยังห้องอาหารด้านบน