บทที่ 4
ร่ำลาครั้งสุดท้าย
หลังจากจักรพรรดิออกราชโองการส่งองค์ชายเซี่ยอวี้ไปเมืองหนานหลิง เมืองชายแดนที่อยู่ทางใต้เพื่อกำจัด “ต้นตอแห่งภัยแล้ง” ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดไปยังหัวเมืองต่างๆ
ด้วยเหตุนี้ ระหว่างที่ขบวนรถม้าเคลื่อนออกจากเมืองหลวง สองข้างทางจึงแน่นขนัดไปด้วยผู้คน
ว่ากันตามจริง ราชโองการของจักรพรรดิล้วนเต็มไปด้วยความงมงาย การส่งองค์ชายน้อยออกนอกเมืองไม่สามารถแก้ต้นตอของภัยแล้งได้ สิ่งที่สำคัญในยามนี้จริงๆ คือเสบียง เงินและความช่วยเหลือจากเหล่าขุนนาง
“ส่งองค์ชายสามอายุแค่ 5 ขวบ ไปเมืองที่ประสบภัยแล้งก็ไม่ได้ช่วยให้ฝนฟ้าตกลงมาเสียหน่อย ขุนนางพวกนั้นคิดอะไรกันอยู่ เหตุใดไม่นำเงินจากท้องพระคลังออกมาช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบภัย!”
เสียงของปัญญาชนผู้หนึ่งดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มคนมากมาย
เมื่อมีคนหนึ่งกล้าวิจารณ์ราชโองการที่ไม่สมเหตุสมผล คนอื่นๆ ก็ไม่ลังเลที่จะออกความคิดเห็น
“ข้าเห็นด้วย ส่งเด็กคนหนึ่งไปชายแดน ฝนจะตกตามฤดูกาลได้อย่างไร”
“อืม ใช่ๆ”
“เฮอะ!”
ระหว่างที่ชาวบ้านกำลังวิจารณ์กันอย่างออกรส ชายแก่คนหนึ่งก็แค่นเสียงเย้ยหยัน
“พวกเจ้าจะรู้อะไร จริงๆ แล้ว ราชโองการฉบับนี้ก็เพื่อลดทอนอำนาจของตระกูลซิน องค์ชายกับองค์หญิงเป็นเพียงแค่ตัวประกัน ควบคุมไม่ให้จวนโหวมีอำนาจเหนือกว่าองค์จักรพรรดิ”
“ต้องทำขนาดนี้เลยหรือ อำนาจของจักรพรรดิเหนือกว่าจวนโหวอยู่แล้ว ตาแก่ เจ้าพูดเกินจริงไปหรือไม่”
“ใช่ๆ ตาแก่ เจ้าห้ามพูดซี้ซั้วเชียวนะ ประเดี๋ยวก็ถูกตัดหัวทั้งตระกูลเอาหรอก!”
ชายแก่ส่ายหน้าเบาๆ แล้วกล่าว “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล…พวกเจ้าไม่เคยได้ยินกันหรือ เฮ้อ...ข้าไม่พูดแล้วก็ได้”
ตาแก่ทิ้งท้ายไว้อย่างนั้นแล้วก็เดินจากไปท่ามกลางฝูงชน
เหล่าชาวบ้านมองหน้ากัน ลองคิดตามดูแล้วก็เห็นว่าจริง
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยพระองค์นี้บ้าอำนาจ นิสัยขี้ระแวง
เมื่อสิบปีก่อน นายอำเภอแซ่หลางได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ ช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบอุทกภัยทางใต้จนได้รับชื่อเสียงและความไว้ใจจากชาวเมืองไม่น้อย แต่คุณงามความดีนั้นกลับคงอยู่แค่สิบปี จู่ๆ นายอำเภอแซ่หลางก็ถูกจับขังคุก คดีโกงกินเสบียงของประชาชน ข้อเท็จของคดีนี้ไม่มีใครรู้แน่ชัด ชาวบ้านรู้เพียงแค่ตระกูลหลางถูกเนรเทศไปเกาะทางใต้และไม่ได้ข่าวอีกเลย
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ของตระกูลซินตอนนี้ไม่ต่างจากตระกูลหลางนัก
ตระกูลซินปกป้องชายแดนตะวันตกมาเนิ่นนานจนได้รับความไว้ใจจากประชาชนทั่วแคว้นต้าเซี่ย ลือกันว่าตระกูลซินเรืองอำนาจยิ่งกว่าจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเสียอีก
ฮ่องเต้สุนัขจึงฉวยโอกาสที่ทางใต้เกิดภัยแล้ง จัดฉากแล้วส่งองค์ชายเซี่ยอวี้กับองค์หญิงเซี่ยหยู่ออกจากเมืองหลวง
เด็กทั้งสองไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคายคลายก็รอด ในเมื่อเด็กๆ เป็นจุดอ่อนของตระกูลซิน จักรพรรดิที่หลงใหลในอำนาจจะไม่ใช้พวกเขามาควบคุมตระกูลซินอีกหรือ!?
ผู้คนพูดคุยกันอย่างจอแจ เซี่ยหยู่ฟังคำพูดเหล่านั้นจนกระจ่างถ่องแท้
..
..
เดินทางออกจากเมืองหลวงหลายชั่วยามแล้ว ในที่สุดขบวนรถม้าก็หยุดลงระหว่างทางแยกที่กำลังจะเข้าเมืองหยุนโจว
เส้นทางแยกนั้นมีรถม้าสามคันจอดอยู่
รถม้าหนึ่งคันสำหรับโดยสาร อีกสองคันบรรทุกเสบียงและข้าวของจนเต็มคันรถ
หน้ารถม้าคือชายอายุราวๆ 40 กว่าสองคนยืนรออยู่ คนหนึ่งคือพ่อบ้าน อีกคนคือซินจางสือ ลุงใหญ่ของเด็กทั้งสอง
ซินจางสือเคยเป็นรองแม่ทัพ แต่ราวๆ หกปีก่อน ตอนสู้กับชนเผ่าทะเลทราย เขาถูกยิงเข้าที่หัวเข่า แม้รอดชีวิต ทว่าบาดแผลนั้นทำให้เขาต้องอาศัยไม้เท้าพยุงกายตลอดชีวิตและไม่อาจกลับสู่สนามรบได้อีก
ถึงจะกลายเป็นคนพิการ แต่ซินจางสือกลับยังองอาจสมเป็นบุตรชายคนโตแห่งตระกูลเทพสงคราม
เจ้าอ้วนเซี่ยอวี้เมื่อเห็นท่านลุงก็รีบวิ่งลงจากรถม้า
“ท่านลุง! ท่านลุง!”
ส่วนเซี่ยหยู่ก้าวตามลงจากรถม้าอย่างสุขุม ดวงตาเยาว์วัยเต็มไปด้วยความระแวดระวังขณะเหลือบมองแม่ทัพนำขบวน
“องค์ชายสาม…ไม่สิ ที่นี่ไม่ใช่วังหลวง ไม่มีใครจับตามองพวกเรา งั้นลุงจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวอวี้เหมือนเดิม” เสียงของซินจางสือค่อนข้างนุ่มนวลและใจดีเมื่อคุยกับหลานๆ
เซี่ยอวี้เงยหน้าขึ้น ผงกหัวเหมือนลูกเจี๊ยบที่กำลังจิกข้าวสาร แต่ไม่นาน ปากเล็กๆ ก็เบะทำท่าจะร้องไห้
“ข้าไม่อยากไปเมืองหนานหลิง อยากอยู่กับเสด็จแม่ อยากเจอท่านลุงบ่อยๆ แล้วก็อยากเล่นกับพี่ชายน้องสาวที่จวนเยอะๆ ด้วย” เซี่ยอวี้พูดอย่างไร้เดียงสา ไม่รู้เลยว่าการเดินทางออกจากเมืองหลวงครั้งนี้จะไม่ได้หวนคืนกลับมาอีก
ซินจางสือได้ยินคำพูดนั้นพลันรู้สึกปวดใจ
ทางด้านพ่อบ้าน ต้องก้มหน้าลงซุกซ่อนดวงตาที่แดงก่ำ
เมื่อเซี่ยอวี้เริ่มสะอื้น ซินจางสือก็รีบปลอบ “อย่าร้อง อย่าร้อง...”
เซี่ยอวี้สูดจมูกแรงๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อืม”
“เสี่ยวหยู่ก็ด้วย ไม่ต้องเสียใจหรือกังวลอะไรทั้งนั้น พวกเราตระกูลซินจะหาวิธีช่วยเหลือพวกเจ้าเอง อยู่ทางใต้ พวกเจ้าสองพี่น้องต้องดูแลกันให้ดี” ซินจางสือหันมากำชับหลานสาวด้วยความเป็นห่วง
เซี่ยหยู่หยักหน้าตอบด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
หือ?
ดวงตาของซินจางสือพลันฉายแววประหลาดใจ
องค์หญิงน้อยที่เคยเอาแต่ใจและก้าวร้าว เหตุใดวันนี้จึงยอมรับปากง่ายๆ ซ้ำในแววตาของนางยังคล้ายมีความคิดมากมาย
เซี่ยหยู่ไม่อยากให้ท่านลุงสงสัยบุคลิกที่เปลี่ยนไป นางจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
เด็กสาวมองซ้ายขวาท่าทางเหมือนมีความลับ ก่อนจะขยับเข้ามาถามท่านลุงใกล้ๆ
“ท่านลุงเจ้าคะ…ท่านพอจะรู้จักแม่ทัพผู้นำขบวนคนนั้นหรือไม่”
ซินจางสือเหลือบตามองชายหนุ่มในชุดแม่ทัพ ก่อนตอบเสียงขรึม
“เขาชื่อไป๋มู่อวิ๋น บุตรชายคนโตของตระกูลไป๋ บิดาเขาคือแม่ทัพไป๋เจี้ยฝู รักษาการณ์ที่เมืองหลวง ไม่นานมานี้ไป๋เจี้ยฝูเกือบถูกถอดออกจากตำแหน่งเพราะพูดบางอย่างที่ทำให้อัครเสนาบดีเผิงไม่พอใจ แต่ไม่รู้เป็นมายังไง อัครเสนาบดีเผิงกลับเปลี่ยนใจ เสนอให้ไป๋มู่อวิ๋นมารับตำแหน่งแม่ทัพชายแดนใต้ เมืองที่พวกเจ้ากำลังจะไปนั่นแหละ เพราะอย่างนั้น เขาจึงรับหน้าที่คุ้มกันขบวนครั้งนี้”
อัครเสนาบดีเผิงเป็นบิดาของฮองเฮา เส้นใหญ่ถึงขนาดสามารถปลดคนผู้หนึ่งออกจากตำแหน่งได้ ช่างน่ากลัวเสียจริง!
“อ้อ…” ซินจางสือส่งเสียงราวกับนึกบางอย่างออก “ไป๋เจี้ยฝูยังมีบุตรชายอีกคน บุตรคนเล็กอายุ 14 แต่สติปัญญาไม่ดีเท่าพี่ชาย ไป๋เจี้ยฝูไม่มีภรรยารอง ทั้งบ้านเลยมีกันแค่สองพี่น้อง หากไป๋มู่อวิ๋นเป็นอะไรไป ตระกูลไป๋ก็จบสิ้นแล้ว”
เซี่ยหยู่ “…”
ตระกูลไป๋ช่างน่าสงสาร ยังไม่ทันได้เกิดก็ถูกอัครเสนาบดีเผิงคุมกำเนิดซะแล้ว
แม้ไม่รู้ว่าไป๋เจี้ยฝูพูดอะไรถึงได้ไปสะกิดต่อมประสาทของอัครเสนาบดีเผิง แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกี่ยวกับเซี่ยหยู่ ในเมื่อต้าเซี่ยมีฮ่องเต้กับขุนนางขยะ ไม่เกิน 10 ปี ราชวงศ์นี้คงล่มสลายแน่ๆ!
หลังสนทนากันจบ ซินจางสือก็ร่ำลาหลานทั้งสองด้วยความอาวรณ์
เมื่อรู้ว่าต้องจากลากันจริงๆ แล้ว เซี่ยอวี้ก็กลับมาสะอื้นฮักๆ อีกครั้ง น้ำตาเม็ดโตไหลรินเต็มสองแก้มยุ้ยๆ
“ท่านลุง…ข้า…ข้าไม่อยากไปเลย” เซี่ยอวี้กอดซินจางสือด้วยท่าทางงอแง
ความไร้เดียงสาของเด็กชายเสมือนคมมีดกรีดกลางใจของซินจางสือ เขานิ่งค้างหลายอึดใจ ก่อนจะช่วยเช็ดน้ำตาบนแก้มหลานชาย
“เจ้าตัวเล็ก ลุงบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ตระกูลซินไม่มีทางทอดทิ้งพวกเจ้า พวกเราจะต้องหาวิธีพาพวกเจ้ากลับมาให้ได้”
“จริงนะ”
“ลุงจะโกหกเจ้าทำไม”
เจ้าตัวน้อยโบกมือลาท่านลุง ก่อนจะก้าวสั้นๆ พร้อมกับทำท่าคอตกกลับไปยังรถม้า
ทางด้านเซี่ยหยู่ พอกลับมาที่รถม้าของตัวเอง นางแกล้งค้นหาบางอย่างในห่อผ้า จริงๆ แอบหยิบเจลประคบตาออกมาจากมิติ ก่อนจะให้ลี่ถิงนำไปส่งให้กับองค์ชายน้อย
“บอกเขาว่าข้าทนเห็นตาหมีแพนด้าของเขาไม่ได้ สิ่งนี้ใช้ประคบตา…ทำแบบนี้นะ” นางบอกพร้อมทำท่าให้ดูเป็นตัวอย่าง
ลี่ถิงพยักหน้าตอบ “เพคะ”