“ลำบากเธอแล้ว แต่เมื่อเช้าฉันดูในครัวรู้สึกว่าน้ำมันเหลือน้อยมาก เราควรซื้อมันไปเจียว ฉันยังต้องทำหมูน้ำค้างเพื่อถนอมไว้ทำอาหาร ซื้อกินทุกวันมันสิ้นเปลือง”
“เช่นนั้นพี่ต้องการซื้ออะไรบ้าง หากคิดว่าดีก็ซื้อเลย ฉันจะทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินเคลื่อนที่”
“เธอพูดแล้วนะ จะหาว่าฉันสูบเลือดไม่ได้” โจวกุ้ยเหมยรู้สึกมันเขี้ยวเด็กคนนี้นัก ใจใหญ่ราวกับถังเงิน
“ไม่หรอก เพราะทั้งบ้านฉันคือคนที่กินจุที่สุด ดังนั้นฉันคือคนที่ได้ประโยชน์” จ้าวเฟิงพูดอย่างจริงจัง
จะว่าไปวันๆ เธอกลายเป็นเด็กจริง โจวกุ้ยเหมยมีความเป็นแม่บ้านสูง ดูแลทุกคนอย่างดีเยี่ยม มองเธอเป็นน้องสาว ใส่ใจอ่อนโยนใจดีแต่แอบดุและเข้มงวด
หลายครั้งที่จ้าวเฟิงเหมือนจะมองเห็นย่าผู้ล่วงลับผ่านโจวกุ้ยเหมย เธอเคยเจอท่านเพียงสองครั้งตอนเด็ก รู้แค่ท่านเป็นคนที่สวยมากใจดี ต่างจากปู่ที่เย็นชา ก่อนจะพบอีกครั้งที่งานศพ
เธอถูกเลี้ยงโดยตายาย นานครั้งพ่อแม่จะพาไปเยี่ยมปู่ย่า ไม่ได้ถูกกีดกัน แต่เพราะพวกท่านอยู่ในบ้านชนบทที่ห่างไกล ไม่สะดวกต่อการเดินทาง
“ใจลอยไปไหนแล้ว แม่ค้ารอเก็บเงินอยู่นะ” เสียงของโจวกุ้ยเหมยดึงสติที่หลุดลอยให้กลับมาสู่ปัจจุบัน
“โอ๊ะโอ! ขอโทษค่ะ” จ้าวเฟิงล้วงเหรียญออกมาจ่ายค่าสินค้า
พ่อค้าแม่ค้ามองเธอแล้วยิ้ม “เด็กคนนี้อุทานได้แปลกประหลาดแต่กลับน่ารัก ฉันมองแล้วหน้าตาเธอไม่เลวแค่ผอมไปหน่อย อีกไม่กี่ปีจะกลายเป็นสาวน้อยแสนสวย”
“ถึงตอนนั้นพี่สาวอย่างเธอ จะต้องเข้มงวดสักหน่อย”
“ฉันก็คิดแบบนั้น แม้ว่าวัฒนธรรมใหม่จะเปิดกว้าง แต่ไม่ควรแสดงความเป็นตัวเองเกินไปนัก ถ้าเปิดหมดจะไม่มีให้ลุ้น”
“พูดได้ดี! หนูน้อย เธอเชื่อฟังพี่สาวเถอะ นี่เป็นความคิดที่ไม่กดดันและไม่เปิดเผยจนเกินไป” พ่อค้าร้านข้างเห็นด้วยกับความคิดนี้ เขาเห็นเด็กสาวยุคใหม่พุ่งเข้าใส่ผู้ชายแล้วส่ายหน้า รู้สึกว่าใจกล้าจนน่ากลัว
มีผู้ชายหลายคนที่เริ่มกลัวการสารภาพรักจากสาวๆ พวกเขาหนักใจกับการเอ่ยปฏิเสธ แต่พอเงียบกลับถูกตื๊อจนไม่สงบ ถ้าพูดตรงจะโดนมองว่าไร้มารยาท ใจร้ายบ้าง ตัวอย่างคือลูกชายที่น่าภาคภูมิใจของเขาเอง ที่บ่นให้ฟังเกือบทุกวัน
“ค่ะ ฉันจะเชื่อฟัง”
“ให้มันจริง กลัวถึงเวลาถือไม้เรียวไว้ก็ยังปีนหน้าต่างหนี”
“ไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน ห้องของฉันอยู่ชั้นสองได้ตกลงมาขาหักสิ”
ทุกคนได้ฟังต่างหัวเราะ กว่าจะกลับถึงบ้านฟ้าเริ่มมืดแล้ว หมอฝูเดินวนเวียนรออยู่หน้าบ้าน พอเห็นสองคนกลับมาเสียทีจึงหายห่วง มาช่วยถือของเข้าบ้านปิดประตูลงกลอนแน่นหนา
ตอนนี้สถานการณ์ความอดอยากอาจดีขึ้น แต่ยังไม่หายไปหมด ต้องระวังพวกหัวขโมยกับคนแปลกๆ ที่ใช้สารพัดวิธีขูดรีดตบทรัพย์
พวกเขาโทษว่าตัวเองลำบาก ขณะที่บางคนสุขสบายอ้างความไม่ยุติธรรม ทำไมคนร่ำรวยไม่ช่วยคนยากจน? ข้อเรียกร้องอาจฟังดูธรรมดา แต่อย่าลืมว่าเงินมีเจ้าของ ไม่ใช่หล่นจากฟ้า หากเขาอยากช่วยแน่นอนเขาจะช่วยแน่ แต่ต้องเป็นคนที่เขาคิดว่าสมควรได้รับ
เพราะบางคนใช้จุดนี้ของความเมตตาสงสาร แต่ไม่คิดจะทำอะไรเลย เพียงนั่งร้องไห้ นอนกลิ้งไปกลิ้งมาเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ โลกนี้มีเรื่องดีเช่นนั้นด้วย? อาจมีนะ แต่เมื่อธาตุแท้ปรากฏคนย่อมเบื่อหน่าย ใจดีเกินไปจะกลายเป็นยาพิษทำลายตัวเอง
ดังนั้น พวกเขาจะถอยออกไป เปลี่ยนความมีน้ำใจเป็นเฉยชา นานวันเข้าต่อให้เห็นคนลำบากอีกก็เข็ดขยาดไม่อยากช่วยแล้ว ช่วยไปไม่มีบุญคุณ มีแต่จะขอเพิ่ม พอไม่ได้ดังใจก็สาปแช่ง อยู่ใครอยู่มันจึงดีที่สุด
คราวนี้ล่ะ… คนที่เดือดร้อนจริงๆ จะไม่ถูกเหลียวแล เหตุเพราะคนที่เห็นแก่ตัวแบบไม่รู้จักพอ เปลี่ยนคนใจดีให้เป็นคนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
“อืมๆ อร่อยจัง”
“ระวังอย่ากินเผ็ดเยอะ เดี๋ยวจะปวดท้องได้” โจวกุ้ยเหมยเห็นจ้าวเฟิงกินเผ็ดมากจึงเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“บ้านเรามีหมอ ถ้าฉันป่วยจะถูกรักษาได้ทันท่วงที”
“แน่นอน ฉันจะฝังเข็มให้เธอ รับรองว่าหายทันควัน”
“ไม่เอานะ! ฉันกลัวเข็ม จะกินให้น้อยลงอีกนิด”
“ดูเธอสิ นึกว่าจะแน่ ฮ่า ฮ่า!”
กินข้าวอิ่มแล้ว หมอฝูนำดินสอออกมาขีดเขียนจดบันทึกสิ่งที่ต้องทำ เพราะการใช้พู่กันต้องรอให้หมึกแห้ง แต่การจดบันทึกมีจำนวนมาก
โจวกุ้ยเหมยเข้าครัว เตรียมจัดการหมูที่ซื้อมาก ร่วมสิบกิโลกรัม ทำไมต้องซื้อเยอะ เพราะสังหรณ์ใจว่าราคาจะขยับขึ้นอีก เนื่องจากมีข่าวเรื่องการเคลื่อนไหวของสายลับ
ผู้คนจะหวาดกลัว อาจเริ่มกักตุนอาหาร แบบนี้สินค้าย่อมขึ้นราคา ไม่ว่าข่าวลือจะจริงหรือลวงย่อมกระทบกับการใช้ชีวิตอยู่ดี ไม่ใช่แค่เนื้อสัตว์ แต่รวมถึงข้าวสารเครื่องปรุงแป้ง
วันนี้แบกกันจนหลังแอ่น ปวดเมื่อยไปหมด แต่ต้องรีบทำกลัวของจะเสีย
จุดเตาตั้งกระทะให้ร้อนจนควันเริ่มขึ้น นำแผ่นด้านหนังหมูกดถูลากไปมากับกระทะ เพื่อทำให้สุกเล็กน้อย ตอนแล่ออกจากชั้นไขมันหนังจะแข็ง เวลาหั่นเป็นชิ้นจะได้ง่ายขึ้น ยังแล่เอาส่วนที่เป็นเนื้อติดมันแยกไว้ทำหมูน้ำค้างกับหมูรมควัน
แต่ต้องจัดการกับก้อนไขมันให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะต้องรอให้เนื้อติดมันสะเด็ดน้ำจนแห้ง ถึงจะนำไปหมักกับเครื่องเทศ ตอนนี้อากาศเย็นเพราะใกล้เข้าหนาว หลังบ้านมีลมดี สามารถห้อยหมูได้จำนวนมาก ยังมีรั้วกำแพงสูงที่ปีนยาก
หลังจากหั่นพวกไขมันเสร็จ พบว่าเนื้อแห้งแล้ว จึงตั้งกระทะเอามันที่หั่นเสร็จลง เติมน้ำเล็กน้อยเจียวเอาน้ำมัน ค่อยหันมาหมักเครื่องใส่เนื้อที่เตรียมไว้ ก่อนทำยังนำผ้ามาซับเนื้อให้แห้ง จากนั้นก็หมักด้วยเกลือ พริกไทยเสฉวน เหล้าขาวจีน โป๊ยกั้ก กานพลู อบเชย หมักไว้สักพัก หันไปเตรียมทำรมควันต่อ
“ทำมากขนาดนี้ ทำไมถึงไม่รอฉันเลย”
“ทำเองเร็วกว่า เห็นเธอบอกแน่นท้องไม่ต้องมาช่วยหรอก มันเกะกะเปล่าๆ”
“พี่ดูคล่องจังเลยนะ ทำบ่อยหรือคะ”
“ใช่แล้ว แม้ตระกูลโจวจะร่ำรวยแต่ก็สมถะ กินอยู่ไม่หรูหราฟุ่มเฟือยถึงได้มีเงินเก็บ ปู่สอนฉันเสมอว่าเราไม่ควรหว่านเงินเล่น แต่ก็ห้ามปล่อยให้ท้องหิว แบบนั้นจะกลายเป็นคนโง่”
“ดังนั้นปู่กับฉันจึงมักซื้อวัตถุดิบมาเตรียมพร้อม ตอนที่บ้านเมืองเกิดความเปลี่ยนแปลง ท่านได้เก็บเสบียงทั้งหมดซุกไว้ในช่องกำแพง นำออกมาทีละนิดเพื่อไม่ให้ถูกแย่ง เราจึงผ่านพ้นช่วงที่ยากลำบากมาได้”
“โอ้! ปู่ของพี่กุ้ยเหมยเป็นคนรอบคอบมาก น่าเสียดายที่เขายังมองคนตระกูลซ่งไม่ออก”
“อืม ท่านเก่งเรื่องการใช้ชีวิต แต่ตามแผนการภายใต้ใบหน้าที่เสแสร้งไม่ทัน”
“รวมถึงฉันด้วย ใครจะคิดว่าพวกเขามีแต่เปลือก บรรพบุรุษของเขายังเป็นวีรบุรุษ แต่ลูกหลานตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง”
พูดไปมือทำ ไม่นานมันในกระทะหดตัว มีน้ำมันใสออกมาครึ่งหนึ่ง โจวกุ้ยเหมยนำหมูที่หมักไว้มามัดเพื่อเตรียมเอาไปแขวน
“ฉันช่วย จะแขวนให้เอง ตรงนี้ยังมีกระทะที่ตั้งไป พี่ดูเถอะ”
“ได้ เกาะเก้าอี้แน่นๆ ล่ะ ระวังจะร่วงทั้งคนทั้งหมู”
“รู้แล้วน่า ฉันไม่ได้ซุ่มซ่ามขนาดนั้น” ถูกเอ่ยเย้าจึงทำหน้างอ
จ้าวเฟิงเดินหอบถาดหมูที่หนักไปหลังบ้าน นำขึ้นแขวนบนราวที่ทำไว้แล้ว เธอซู๊ดปาก! เมื่อเห็นความแตกต่างจากคนปลายยุค 70 กับเจนใหม่อย่างเธอ
ผู้หญิงสมัยเก่าล้วนเชี่ยวชาญงานบ้านงานเรือน ขณะที่เธอคลิกหน้าจอมือถือไม่กี่ครั้งจะได้ตามความต้องการ ขืนให้ทำเองทั้งบ้านคงตลบอบอวลด้วยพวงหมู
เมื่อวิถีการใช้ชีวิตเปลี่ยน ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยเช่นกัน
“พี่กุ้ยเหมย ทำเสร็จหมดแล้วหรือ”
“เสร็จแล้ว”
“แต่เหมือนจะมีฝนอยู่บ้าง หมูจะไม่เสียแน่นะ”
“ไม่เสียหรอก ที่นี่ลมโกรกดี ฝนไม่สาดเข้าหลังบ้าน อากาศที่เย็นแสดงว่าจะเข้าหนาวแล้ว พอแดดออกก็เอาออกมาตากรับแสง ต่อไปเธอจะได้กินเนื้อทุกวัน”
“ดี ชีวิตฉันขาดเนื้อไม่ได้”
“ดึกแล้ว ล้างมือเปลี่ยนเสื้อไปพักผ่อนเถอะ”
“อื้ม”
เพราะอยู่ในครัว เลี่ยงไม่ได้ที่ผมจะเหม็น ควัน จึงยกกะละมังน้ำอุ่นเข้ามาเพื่อสระทั้งคู่ ผลัดกันเช็ดจนแห้ง ดีที่ผู้หญิงยุคนี้ไม่ได้ไว้ผมยาวนัก เพื่อให้ง่ายต่อการดูแล
“ค่อยยังชั่ว ถ้าไม่สระคงนอนไม่ได้แน่ เหม็นซะขนาดนั้น”
“นี่พี่กุ้ยเหมย ได้ยินว่าในห้างมีพวกเครื่องบำรุงผิว สีทาปากกับน้ำหอม วันหลังเราไปดูกันดีมั้ย”
ถึงจะอยู่ในร่างเด็กแต่จ้าวเฟิงยังอยากรักสวยรักงาม และคิดว่าโจวกุ้ยเหมยก็หน้าตาดี เพียงลำบากตรากตรำเป็นทาสรองมือรองเท้าคนบ้านสามี ถ้าจับแต่งตัวขึ้นมาย่อมดูดี
“ไว้หลังจากที่จัดการเรื่องร้านก่อนเถอะ รอทุกอย่างเข้าที่เข้าทางค่อยเที่ยวเล่นยังไม่สาย อย่าลืมว่าแต่ละวันเธอจ่ายออกไปเท่าไหร่”
“ทราบแล้วค่ะ พรุ่งนี้พี่จะไปกับฉันไหม เผื่อว่าจะเบื่อไม่อยากอยู่บ้าน”
“ไม่ล่ะ ฉันจะรอแดด ต้องย้ายหมูออกมาตาก เธอนะไปทำธุระเสร็จให้รีบกลับบ้าน อย่าเถลไถลที่ไหนจนเกิดเรื่องอีก เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจแล้ว ขี้บ่นจริง”
“เดี๋ยวเถอะเด็กคนนี้ มานี่ ผมแห้งแล้วใช่มั้ย มานอนได้แล้ว”
“ค่ะ”
ดีเนาะ! มีพี่สาวเหมือนได้แม่ด้วย จ้าวเฟิงล้มลงนอน โจวกุ้ยเหมยจึงห่มผ้าให้ สองคนต่างหลับไปด้วยความเหนื่อย
อรุณเบิกฟ้า… ผู้คนจึงดิ้นรนหาเลี้ยงชีพกันต่อไป เช่นเดียวกับสามชีวิตที่ยังคงต้องสู้ เพราะแผนที่วางไว้ไม่เป็นไปดั่งหวัง จนกระทั่งผ่านมาหลายวันยังติดแหง็ก! แก้ปัญหาไม่ได้เสียที
ยามเช้าตรู่ของวันใหม่ มีเสียงเคาะประตู โจวกุ้ยเหมยที่อยู่หน้าบ้านวางกาน้ำชา เดินไปดูว่าใครมาแต่เช้า จะใช่เต๋อข่ายมาเยี่ยมถามไถ่เช่นที่ทำประจำหรือไม่ สรุปว่าไม่ใช่
“คุณเป็นใคร?”
“ผมเป็นคนสวนชื่ออาเซีย มาพบคุณจ้าว ได้ยินว่าเธอย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว”
“คนสวนหรือ?”
“ใช่ๆ ผมเป็นคนดูแลสวนสมุนไพร รับคำสั่งจากเจ้าของเดิมให้นำโฉนดที่ดินมาส่งมอบแก่เจ้าของใหม่ หลังจากเขาเสียชีวิต จะว่าไปทายาทคนนี้หาตัวยากนัก กว่าจะเจอทำผมหงอกไปหลายเส้น”
“เชิญเข้ามาก่อนค่ะ” หลังจากแน่ใจว่ามาหาคนแน่จึงเชิญเข้าบ้าน รินชาให้เขาจิบแก้กระหาย
“ดื่มน้ำอบอุ่นร่างกายก่อน ตัวคุณอาเปียกน้ำค้างไป หมด ฉันจะเข้าไปตามเสี่ยวเฟิง เธอน่าจะอยู่ข้างบน”
เดินเข้าบ้านไปไม่ทันไร หมอฝูที่ได้ยินเสียงจึงถามว่าใครมา
“มีคนมาหรือ ฉันได้ยินเสียง”
“ใช่ค่ะ เขามาหาเสี่ยวเฟิงเพื่อส่งต่อมรดก ถือว่าโชคหล่นทับอีกชั้นเพราะคราวนี้คือสวนสมุนไพร ที่มีคนดูแลอย่างชำนาญ”
“วะ ฮ่า ฮ่า! เด็กคนนี้คือเทพเจ้าแห่งโชคลาภจริงๆ ฉันกำลังกลัดกลุ้มที่หาแหล่งซื้อสมุนไพรมาขายไม่ได้ กลับมีคนมาหาถึงหน้าบ้าน”
ไม่ใช่เพราะหมอฝูไร้ความสามารถ แต่เขาประเมินคู่แค้นร่วมสำนักต่ำเกินไป ไม่คิดว่าพอได้ข่าวเรื่องที่เขาจะเปิดร้าน จึงใช้สายสัมพันธ์ทั้งหมดเพื่อปิดกั้นไม่ให้ทำการค้าได้สำเร็จ ทำให้ตอนนี้ไม่มีวัตถุดิบจะทำยาหม่องยาดมด้วยซ้ำ
ทั้งที่วางแผนติดต่อไว้อย่างดิบดี เรื่องนี้ทำเขานอนไม่หลับต้องหลายคืน แต่จู่ๆ กลับได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดาย
จ้าวเฟิงที่นั่งคว่ำหน้าอยู่บนเตียง รู้สึกหงุดหงิดอย่างยิ่ง ปากเล็กจิ้มลิ้มบ่นกระปอดกระแปด