ตอนที่ 1 : นิยายหลอกลวง

1946 Words
“ทำไมเธอถึงทำแบบนี้” คำถามสั้นๆ จากชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี สายตาเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ! ว่าเธอจะกล้าหักหลังเขา ยังเป็นคนจุดไฟปิดทางหนี จนทุกคนในบ้านนอนกองสำลักควันแทบสิ้นสติ ประคองไว้ได้เพียงเลือนราง “ช่างเป็นคำถามที่… น่าหัวเราะ นายคิดว่าไงล่ะ” เสียงแหบแฝงความเย้ยหยัน นึกย้อนถึงอดีตที่ผ่านมาภาพความสูญเสีย ความเจ็บปวดทั้งกายใจที่เธอได้รับ หากเทียบกับที่พวกเขาเจอยังน้อยไปด้วยซ้ำ “ที่แท้เธออดทน เชื่อฟัง ก็เพื่อรอโอกาสที่จะแก้แค้นงั้นรึ!” เสียงตวาดกร้าวก่อนจะสำลักไออย่างรุนแรง มีเลือดปะปนหลังจากถูกวางยา “นังคนชั่ว! แก แกมันเลว! สมแล้วที่ลูกชายฉันไม่ชอบแก” คุณนายผู้เฒ่าโมโหยิ่งนัก ที่ตอนนั้นตนใจดีเกินไป ยังเก็บผู้หญิงคนนี้ไว้ในบ้านแทนที่จะส่งออกไปให้นอนตายข้างถนน “ไม่ชอบฉัน? แต่ก็บังคับให้เขาแต่งกับฉัน ตอนนั้นใครกันนะที่เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการจะเอาฉันเป็นสะใภ้ให้ได้ ไม่ใช่แม่หรือ มาตอนนี้นึกเสียใจแล้ว เหอะ! พวกแกแต่ละคนไม่มีใครดีสักคน!” พวกเขาไปสู่ขอเธอมาจากปู่บุญธรรม บีบบังคับลูกชายให้ยอมแต่งงานด้วยการขู่ว่าจะทำร้ายคนรักของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่มีสีหน้าที่ดีกับเธอ ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอไม่สบายใจ กับการแย่งคนรักของคนอื่น ได้แต่อดทนต่อการปฏิบัติอันเลวร้ายของสามี หวังเอาความดีชนะใจเขา การแต่งงานนี้เกิดขึ้นจากผู้ใหญ่สองฝ่าย พวกเขาไม่เคยถามความเห็นเธอ เพราะคิดว่าเหมาะสมแล้ว ตอนปู่มีชีวิตอยู่ พ่อแม่สามียังเกรงใจ ไม่สร้างความลำบากให้มากเท่าใด แต่ก็ไม่เคยเห็นเธอเป็นสะใภ้เช่นกัน ในตอนนั้นเธอเข้าใจเพราะชาติกำเนิดตนต่ำต้อย เป็นข้อบกพร่องที่ไม่น่ายกย่อง ในสายตาพวกเขาเธอคือเศษผงในเปลือกตา ฝังลึก อยากเอาออกก็กลัวบาดเจ็บ เมื่อปู่โจวตายลง ซ่งฉีหมิงที่เกลียดเธอจึงไม่รีรอจะทรมานเธอ พ่อแม่ที่ไม่รู้จักพอของเขาแย่งเอาทรัพย์สินของเธอไป อ้างเหตุผลต่างๆ นานา บอกว่าของเมียก็คือของผัว เธอที่หัวเดียวกระเทียมลีบอยู่บ้านสามีย่อมไม่มีปากเสียง ก้มหน้ายอมรับทำตัวให้ดีเข้าไว้ ยิ่งไม่มีใครคอยคุ้มกะลาแล้ว เพราะหวังว่าอย่างน้อยจะได้อยู่อย่างสงบ แต่เธอประเมินความเป็นคนของพวกเขาสูงไป วันคืนดีๆ ไม่มีอยู่จริง ทั้งคำเหยียดหยามดูถูก ตบตีด่าทอ กระทั่งคนรับใช้ยังรังแกเธอ แต่นั่นมันเล็กน้อยมาก เพราะสิ่งที่สร้างความแค้นฝังแน่นแก่เธอคือเรื่องลูก “ยังจำได้มั้ยฉีหมิง ตอนที่นายยัดเยียดข้อหาอัปยศใส่มือฉัน จับฉันโยนขึ้นเตียงผู้บัญชาการหลิว กล่าวหาว่าฉันกับเขาทำเรื่องผิดกฎหมายผิดศีลธรรม ทำให้เขาถูกปลดจับเข้าคุก ส่วนนาย ก็กรอกยาขับเลือดฆ่าลูกของเรา อ้างว่าเขาคือลูกชู้! ทั้งที่นายก็รู้ดีว่ามันไม่จริง” “ฮึกทำไมต้องฆ่าลูกฉันด้วย? นายไม่อยากเป็นพ่อเขาก็ช่างสิ ไม่อยากเป็นก็ไม่ต้องเป็น! ละเว้นเขาสักนิดไม่ได้รึไงกัน เขาคือญาติคนเดียวของฉันนะ คือที่พึ่งเดียวของฉันในโลกนี้” “เพราะเธอมันแพศยาไง? สมควรหรือที่จะอุ้มท้องทายาทตระกูลซ่ง แกไม่มีคุณสมบัตินั้น ทั้งหมดต้องโทษตัวแกเอง” “ใช่! แกทำตัวเองทั้งหมด จะมาโทษเขาได้ยังไง ใครให้แกชอบทำตัวน่าสงสาร เรียกร้องความเห็นใจ จนผู้คนกล่าวหาว่าบ้านเราทรมานสะใภ้ แกเคยช่วยพูดให้บ้างมั้ย” โจวกุ้ยเหมยมองสองแม่ลูกที่น่ารังเกียจ พวกเขาทำเลว แต่กลับโยนมันให้คนอื่น ยังมีทุกคนในบ้านหลังนี้ พวกเขาคือสัตว์นรก! “อย่ามาอ้างหน่อยเลย คือฉันที่ทำตัวให้น่าสงสารหรือเพราะพวกแกที่ไร้เมตตา ทุบตีด่าทอฉันสารพัดเพื่อบีบให้ฉันหย่า!” “ถ้าเธอยอมหย่า ยอมเดินออกไปดีๆ พวกเราก็ไม่ต้องเหนื่อย จะมาพูดตอนนี้ทำไมกัน” แม่สามีไม่คิดจะยอมแพ้ แม้ตอนนี้อ่อนแรงเต็มที ยังสามารถแผดเสียงลั่น “คิดว่าฉันไม่อยากไปหรือ! แล้วใครกันที่แย่งของที่ปู่ให้ฉันไปจนเกลี้ยง ใช้เงินที่ปู่ฉันให้ไว้ไปอย่างสิ้นเปลือง ควงกันออกงานสังสรรค์หน้าชื่นตาบาน ยังลูกชายที่ดีคนนี้ของแก ที่เอาไปปรนเปรอชู้รัก” กว่าจะเข้าใจว่าทำไมทั้งที่พวกเขาไม่ชอบเธอ แต่กลับต้องการเป็นสะใภ้ เพราะหมายตาสมบัติของปู่โจว เขามีเธอเป็นหลานคนเดียว เงินทองทรัพย์สินจึงตกทอดมาถึงเธอแน่ คนตระกูลซ่งเป็นเศรษฐีที่มีแค่เปลือก พวกเขาไม่มีเงินมีแต่หน้าตา ใช้ความน่าเชื่อถือหลอกให้ปู่เชื่อจนยอมเกี่ยวดอง ที่แท้คือเหลือบไรตัวสูบเลือดดีๆ “แล้วมันยังไง แกไม่มีมือเท้าหรือ แค่เดินออกไปเท่านั้นมันคงไม่ต้องมาถึงจุดนี้” “เหอะ! ให้ฉันออกไปตัวเปล่าเนี่ยนะ! นี่มันยุคปฏิวัติแนวคิดใหม่ ผู้คนอดอยากราวใบไม้ร่วงเกลื่อน แบบนั้นมันต่างอะไรกับไปตาย! ยังมีลูกของฉันที่ยังไม่ได้ทวงคืนความยุติธรรมเลย เมื่อต้องลงนรก ฉันไม่ไปคนเดียวหรอก” ดวงตาแดงก่ำเพราะความคั่งแค้นใจ ลูกคือสิ่งเดียวที่ช่วยปลอบประโลมหัวใจที่ปวดร้าว คือของขวัญที่ได้มายาก หากไม่เพราะเขาเมาจนมาหาเธอในคืนหนึ่ง ไหนเลยเธอจะกล้าคิดฝัน อุตส่าห์ได้มาแล้ว พยายามฟูมฟักดูแล เพียงจะได้เห็นเขาเติบโต เรียกว่าแม่สักคำให้ชื่นใจ กลับถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของคนที่ให้กำเนิด เธอจึงนับวันรอ อยู่อย่างเจียมตัวปล่อยให้เขาโขกสับย่ามใจว่าเธอไร้พิษส่ง จากนั้นค่อยๆ วางยาพวกเขาในบ่อน้ำ โดยที่เธอเองก็กินมันด้วย เธอยอมเป็นหญิงร้ายแต่ต้องได้แก้แค้น กระทั่งคืนนี้ถึงเลือกจุดไฟและปิดทางออกทุกทาง “แต่แกทำแบบนี้มันต่างอะไรกัน แกหยุดคิดเรื่องความแค้นโง่ๆ ดับไฟแล้วเปิดประตูเถอะ อย่างน้อยยังไม่ต้องตายอยู่ที่นี่” “กุ้ยเหมย ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากตายหรอก เธอแค่กำลังขู่ใช่ไหม ช่างเถอะ! ฉันอาจใจแข็งเกินไป ขอเพียงเธอยอมเปิดประตู ฉันจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะไม่เอาเรื่องเธอ” “สายเกินไปแล้ว... ประตูเหล็กบานนั้นมันถูกปิดตาย กุญแจนะหรือ ฉันโยนทิ้งไปตั้งแต่ที่มีคนคิดหนี” “ว่าไงนะ! เธอพูดจริงหรือ กุ้ยเหมยถ้าทำแบบนั้นแกก็จะไม่รอด” “ฉันตายไปตั้งแต่ตอนนั้น ที่ยังหายใจอยู่คือผีที่ตามจองเวรพวกแก!” “แกมับบ้า! เสียสติไปแล้ว” “เพราะฉันไม่มีอะไรต้องเสีย! วันนี้พวกแกทุกคนต้องตายไปพร้อมกับฉัน ฮ่า ฮ่า!” “กุ้ยเหมยอย่า!” “ไม่!!!!!” “ตายเถอะ ตายตามคนรักแกไปซะ!” น้ำมันในขวดเล็กถูกปาลงพื้นหกกระจาย สะเก็ดไฟด้านบนพลันตกใส่ ทำให้เปลวเพลิงลุกพรึบ! แล่นตามพื้นเป็นวงกว้างอย่างรุนแรง เพราะมีน้ำมันที่ถูกราดไว้ก่อนหน้าที่เชื่อมโยง เพลิงร้อนคลอกเอาคนที่นอนสิ้นเรี่ยวแรง ให้กระเสือกกระสนยามถูกเผาไหม้ แม้กระทั่งเธอที่เป็นคนทำก็ไม่อาจรอดพ้นชะตากรรม แค่เธอไม่คิดจะหนี เพียงมองผู้คนที่น่ารังเกียจเกลือกกลิ้งร้องโหยหวน สามีที่ไฟท่วมตัวพยายามพุ่งมาหาเธอ ที่กายเนื้อกำลังหลอมละลาย โจวกุ้ยเหมยเหยียดยิ้มท่ามกลางความเจ็บปวด “ในที่สุดก็มีวันนี้ วันที่ฉันจะเป็นอิสระจากความรู้สึกสิ้นหวัง และเกลียดชัง” ภาพสุดท้ายคือเขากอดเธอไว้ แต่ไม่เห็นว่าเขาพูดอะไร เพราะความเจ็บปวดมันจู่โจมพร้อมกลิ่นไหม้ มีเปลวไฟปิดกั้น พรากเอาลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเธอไป “จบสิ้นเสียที การมีชีวิตมันช่างเจ็บปวด” พรึ่บ! เสียงปิดหน้ากระดาษอย่างไม่ใส่ใจ พร้อมสีหน้าที่เบื่อหน่ายทำให้หญิงสูงวัยเลิกคิ้วถาม “เป็นยังไง ไม่สนุกหรือถึงทำหน้าแบบนั้น” “แก้แค้น! แต่เลือกที่จะเผาตัวเองด้วย? ต่อให้สิ้นหวังมันก็ไม่ต้องทรมานตัวเองขนาดนั้น ฉันว่าใช้มีดแทงคอทีเดียวเถอะ อาจน่าหวาดเสียวก็ยังดีกว่าถูกไฟคลอกตายเป็นหมูหัน” “มันก็แค่นิยายเก่าตั้งแต่สมัยโน้น ไม่ใช่เรื่องจริง” “ฉันว่ายายถูกหลอกแล้ว มันไม่ใช่นิยายยุค 70-80 พล็อตน้ำเน่าแบบนี้น่าจะเพิ่งเขียนมากกว่า ไอ้ที่กระดาษดูเก่าซีดคงแช่น้ำโคลนให้ดูสมจริง” “ไม่น่าจะใช่…. ร้านหนังสือนั้นอยู่ในตรอกเก่าดูมีมนต์ขลังเหมือนสมัยที่ฉันยังสาว คนขายเขาก็ยืนยันกับปากว่าเป็นของเก่า” “โธ่คุณยายที่รัก! เขาอยากได้เงินคุณนายคนนี้ จะให้พูดความจริงได้ยังไง บอกมาเถอะ เล่มนี้จ่ายไปเท่าไหร่” หลานสาวนั่งเอียงคอรอฟังคำตอบ ยายเธอชื่นชอบซื้อหนังสือเก่ามาสะสม เพราะเชื่อเหลือเกินว่ามันสามารถทำเงินได้ในอนาคต ถึงขั้นเก็บอนุรักษ์ไว้เป็นมรดกเพื่อลูกหลาน จนตอนนี้ฝาบ้านกลายเป็นชั้นวางวรรณกรรมโบราณอันหลากที่มา ขอเพียงทราบว่าเป็นเก่าจะไม่รีรอซื้อกลับมา หลายครั้งที่โดนหลอก ห้ามเท่าไรก็ไม่ยอมฟัง “ไม่แพงๆ แค่สี่ร้อยหยวนเท่านั้น” “สี่ร้อยหยวน! คุณนายสี่ของฉัน คุณใช้เงินบำนาญอย่างฟุ่มเฟือยแบบนี้ ไม่กลัวเงินหมดก่อนตายรึไง” “ไม่กลัว ฉันยังมีแกอยู่ทั้งคน ถ้าหมดจริงก็ให้แกเลี้ยง ง่ายนิดเดียว” “ยาย! ลืมไปรึเปล่าว่าตอนนี้ฉันตกงาน ไม่มีรายได้ แล้วจะเอาจากไหนมาเลี้ยงเล่า” “เออน่า หาไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ได้เอง” “พูดง่ายจัง ยุคนี้เศรษฐกิจแย่ทั่วโลก ทั้งโรคระบาด ภัยพิบัติ สงครามระหว่างประเทศที่ออกข่าวโครมๆ แค่อยู่ให้รอดยังยากแล้ว” หลานสาวถอนหายใจ มีนักศึกษาที่จบใหม่ว่างงานปีหนึ่งจำนวนมาก ภายใต้การพัฒนา การแข่งขันก็สูงเช่นกัน เธอที่ไม่ได้เก่งแต่ก็ไม่แย่ ติดอยู่ระหว่างกลาง รู้สึกว่าเติบโตในยุคนี้ไม่ง่าย “คุณนายสี่ ยุคของยายมันน่าอยู่ไหม ฉันเห็นภาพเก่าที่ถ่ายเอาไว้มันดูสวยงามจนอยากหลุดเข้าไปเยี่ยมชม” “แน่นอน แม้ว่าจะไม่สะดวกสบายเท่า แต่ด้านวัตถุนิยมยังกดดันน้อย บ้านไหนมีโทรศัพท์เครื่องใช้ไฟฟ้าก็จะถูกมองอย่างอิจฉา ของหรูหรานำเข้ามาในยุคแรกมันวิเศษจริงๆ สมัยนั้นคนชั้นสูงชอบเต้นรำ ฉันเคยถูกขอเป็นคู่เต้นจากหนุ่มๆ ด้วยนะ น่าเสียดายที่ตาไม่ดี ดันเลือกปู่เธอ เพิ่งมารู้ตอนหลังว่าเขานะไม่เอาไหนที่สุด”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD