ตอนที่ 2 : ฉันอยากเห็น

1944 Words
พอนึกถึงสามีที่ตายไปก็หงุดหงิด ไม่รู้ทำไมตอนนั้นเธอถึงเลือกคนที่เชยในกลุ่ม แค่คิดว่าเขาไม่เจ้าชู้จึงตกลงแต่งให้ ที่แท้เขาเป็นประเภทไม่สนใจอะไรเลย ขาดความกระตือรือร้น ปล่อยให้เธอต้องออกหน้าเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว กัดฟันส่งเสียลูกจนเรียนจบ ส่วนเขานะหรือ นอกจากนั่งสูบยา คือเดินไปตกปลา สุดท้ายหน้ามืดจมน้ำดับสลด แทบจะจุดประทัดฉลองเชียวล่ะ “ได้ยินว่านักศึกษาในยุคนั้นได้รับความสำคัญมาก ยายเองก็เป็นคนหนึ่งที่เรียนจบปริญญา” “แค่วิทยาลัยเขต เพราะตาของแกที่คอยถ่วงฉัน เขาไม่มีความสามารถจะดูแลลูกๆ เลย ถ้าฉันไปเรียนมหาวิทยาลัย ถึงอย่างนั้นยังได้งานในหน่วยกิจการพลเรือนเป็นคนทำบัญชี เลี้ยงพ่อแม่แกจนแต่งงานมีแกออกมาเป็นภาระอีกคน เพื่อให้พวกเขาได้เรียนอย่างเต็มที่” “ตอนนั้นพวกมีความรู้จะถูกชื่นชมสรรเสริญ ไปทางไหนคนแทบจะแบกใส่บ่าแห่ไปรอบๆ นักศึกษาไม่ต้องเครียดเพราะกลัวตกงาน แต่การใช้ชีวิตในเขตชนบทก็ลำบากไม่น้อยเหมือนกัน ยิ่งตอนที่มีการส่งยุวชนไปเรียนรู้วิถีดั้งเดิม โอ้บอกได้คำเดียวว่ามือแตก” “แต่ฉันก็ยังอยากสัมผัสบรรยากาศที่คลาสสิกแบบนั้น ฉันคิดว่าในยุคที่วัฒนธรรมใหม่เข้ามา แนวคิดที่เปิดกว้างแข่งขันกับทุนอนุรักษนิยม เราจะมองเห็นการผสมผสานที่ลงตัว” “เป็นแบบนั้น โดยเฉพาะเสื้อผ้าการแต่งตัวและดนตรีที่หลั่งไหลเข้ามา ฉันยังจำได้ครั้งแรกที่ได้เข้าดิสโก้มันสนุกจนไม่อยากออกมา” “ยายเคยหนีเที่ยว! จุ๊ๆ ร้ายไม่เบา” “มันก็ต้องมีบ้าง ฉันคือสาวสวยคนหนึ่งของหมู่บ้านเลยนะ” ผู้เป็นยายเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เออนี่ๆ ฉันอยากกินเสี่ยวหลงเปา แกออกไปซื้อที่หน้าปากซอยให้ทีสิ” “ตอนนี้เหรอ หึไม่เอาหรอก! วันนี้หนาวจะตาย ไม่อยากออกจากบ้าน สั่งมาได้รึเปล่า” “ไม่ต้องมาทำหน้างออิดออด ฉันจ้างแกก็ได้ ไปซื้อมาไวๆ ฉันอยากกินของร้านนั้น” “ก็ได้ เพื่อแสดงความกตัญญู” แบมือขอเงินแล้วจึงสวมเสื้อคลุมหนา เดินฝ่าความหนาวออกจากบ้านซึ่งอยู่ชั้นสิบหกลงลิฟต์ไปยังหน้าปากซอย กว่าจะได้ของที่ต้องการก็เสียเวลาไปไม่น้อย ขณะที่เดินอยู่ กลับไม่ได้สังเกตว่ามีแม่ค้าคนหนึ่งสาดน้ำขัดล้างพื้นจนไหลมายังจุดที่เธอจะเดิน ฟองของน้ำยาขัดล้างเจอกับพื้นที่เรียบ ทำให้ยิ่งลื่น “ว้าย! ลื่นๆ” ถึงจะพยายามทรงตัวแต่มันทำได้ยากมาก กระทั่งเสียงศีรษะกระแทกพื้นดังราวกับแตงโมที่หล่นจากที่สูง ตุบ! “แย่แล้ว! มีคนล้มหัวแตก ดูเลือดออกเยอะมาก โทรตามรถพยาบาลเร็วเข้า!” ร่างหนึ่งนั่งย่อตัว สองมือกุมหัวเพราะตกใจ แต่ไม่รู้สึกเจ็บเท่าไร มือยังคงคลำหาสิ่งผิดปกติ เพราะเสียงแตกเมื่อครู่ทำให้อดจินตนาการไปไกลแสนไกล ว่าคงมีแผลใหญ่หรือรอยยุบของหัวกะโหลก “ไม่มี? ไม่มีแผลหรือเลือดเลย” ไม่พบความชื้นแต่อยากตรวจสอบ จึงแบมือสองข้างออกมาดู ยิ่งต้องตกใจตาเหลือก มันไม่ใช่มือฉัน! เกิดคำถามขึ้นมาทันที เพราะมองอย่างไรมือคู่นี้มาจากร่างกายของเธอ แต่…. จะเป็นไปได้อย่างไรเมื่อ? มันคือมือของเด็ก… “บ้าน่า! ฉันอาจแค่ตาฝาด ไม่ก็… กำลังฝันอยู่” ใช่… เธอคือนักศึกษาที่ว่างงานมาปีครึ่ง ไม่ใช่เด็กที่ผอมแห้งตัวสกปรก เห็นเล็บที่ฉีกหักทั้งดำรู้สึกไม่ค่อยดี นี่ต้องไม่ใช่เธอ มันก็แค่ภาพลวงตา แต่ในฝันมันมีกลิ่นด้วยหรือ เหม็นจัง! “ตื่นๆ ตื่นสิ ตื่นได้แล้ว! ออกไปจากฝันบ้าๆ นี่ซะ” เธอพยายามตบหน้าเรียกสติตัวเอง แต่แตะเพียงสองที กลับถูกดึงดูดจากสิ่งที่ได้ยิน “กรี๊ด!!!!” เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากหลังกำแพง ทำให้เธอสะดุ้งตกใจ เสียงนั้นดูหวาดกลัวและสิ้นหวัง ยังมีเสียงด่าทอดังออกมา แต่จับใจความไม่ได้เลย “มีคนตีกันแน่ ไปดูสักหน่อยคงไม่เป็นไร ยังไงมันก็แค่ความฝันเท่านั้น” เธอยังคงเชื่อว่าตนเองเพียงติดอยู่ในห้วงนิทรา เมื่ออยู่ในฝันเราสามารถทำได้ทุกอย่าง ถ้าคือฝันนะ เดินมองตามแนวกำแพง จนเห็นช่องเล็กๆ ที่แตกออก ส่องผ่านรูแคบดูว่าข้างในมันเกิดอะไรขึ้น แต่ภาพที่เห็นทำให้เธอตกใจสุดขีด “นี่มัน!” ภาพหญิงสาวตัวผอมนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น ของเหลวสีแดงเจิ่งนอง อาบย้อมเสื้อสีเทาจนน่ากลัว มีชายหนุ่มวัยยี่สิบปลายๆ ยืนมองดูเธออย่างไม่แยแส นัยน์ตาเขาฉายแววความพึงพอใจ ด้านหลังมีหญิงสาวคนหนึ่ง ในชุดกระโปรงยาวเสมอเข่าลายลูกไม้ ลอบยิ้มพึงพอใจก่อนจะตีหน้าเศร้า ข้างกันยังมีชายหญิงหลายคนแต่งตัวธรรมดา ที่คล้ายชมละครสนุก ที่สะดุดตาเธอคือการแต่งกายของพวกเขา มันคือการแต่งตัวยอดนิยมในยุควัฒนธรรมใหม่ แนวคิดใหม่ ผู้ชายยังใส่ชุดฟอร์มจงซาน เว้นคนที่หน้าตาดีที่ใส่ชุดเลนินกับรองเท้าหนัง ผู้หญิงจะสวมชุดกระโปรงยาว ชุดกี่เพ้าผ่าข้างเซ็กซี่และหรูหรา อวดสัดส่วนที่เย้ายวน หลังรัฐบาลอนุญาตให้ยกเลิกการรัดหน้าอกอันเป็นวัฒนธรรมเดิม “ที่เรียกกันว่าขบวนการทวงคืนเต้านม” ส่งผลให้มีการออกกฎหมายห้ามรัดหน้าอกในเวลาต่อมา เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียม พัฒนาประเทศให้ทันสมัย และไม่ให้ถูกมองว่ากดขี่ทางเพศในสายตาคนต่างประเทศ ผู้หญิงสมัยใหม่ได้แสดงภาพลักษณ์ความมั่นใจในตนเอง ยกระดับสถานะทางสังคม ลบภาพจำของสตรีที่ถูกกดขี่ข่มเหงในอดีต “นี่คือการถ่ายซีรีส์ใช่ไหม ทำไมมันสมจริงจังเลย ฟุดฟิดๆ ไม่สิ กลิ่นนั้นมัน เลือด!” กลิ่นคาวรุนแรง เป็นกลิ่นที่ทุกคนย่อมแยกออกในทันที มันคือกลิ่นเลือดจริงๆ หากเป็นการแสดงไม่ใช่ต้องใช้เลือดเทียมหรือ แต่ทำไมพวกเขาถึงทำแบบนั้น! “นี่มันฝันที่สมจริงมาก” ยิ่งได้เห็นคนร้องขอความช่วยเหลือเธอยิ่งกังวล บางที มันอาจไม่ใช่การถ่ายทำในฝันอย่างที่เข้าใจ เช่นเดียวกับที่เธอกลายเป็นเด็ก ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดไร้สาระ ต่อให้เป็นฝันก็ไม่ควรนิ่งดูดาย “หมายความว่าคนพวกนั้นเขาจะฆ่าเธอ! แย่แล้วๆ เอาไงดี ตำรวจล่ะ แถวนี้มีตำรวจไหม” “ใครอยู่ตรงนั้น!” “...!” ดูเหมือนเธอจะคิดดังไป เสียงจึงลอยไปเข้าหูพวกเขา ไม่ต้องห่วงคนอื่นแล้ว ตอนนี้รู้แค่ต้องหนี แม้จะเป็นแค่ฝันแต่ก็น่ากลัว จึงจะหาที่หลบซ่อน “จะไปไหนหืม?” ทว่าขาที่สั้นมันไม่ทันใจ เพียงออกตัววิ่งกลับพบชายตัวโตสองคนยืนดักขวาง พวกเขากระชากคอเสื้อจนร่างเล็กๆ ลอยสูงตีขากลางอากาศ หายใจไม่ค่อยออก “แหะๆ ฉันแค่เดินผ่านมา” “งั้นหรือ” พริบตาเดียว! เธอก็ถูกโยนลงไปกองข้างคนที่นอนร้องครวญคราง “คือขอทานสกปรกคนหนึ่งครับ” “มีคนเดียว? แกแน่ใจนะ” “แน่ใจครับ แถวนี้ไม่มีคนอื่น” “จริงครับนายท่าน” “ดี” ดวงตาคมปลาบอันตราย จ้องมองคนที่แส่ยุ่งเรื่องคนอื่น เธอเห็นแล้วหวาดกลัว มีคนมากมายล้อมอยู่พวกเขาคิดฆ่าคนปิดปาก เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าหากโดนฆ่าในฝัน อาจจะตายจริงข้างนอกก็ได้ “ฉัน อย่าฆ่าฉัน! ขอร้องล่ะ ฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย แค่ผ่านทางมาเท่านั้น” “คิดว่าฉันจะเชื่อแกรึ จับมันสองคนมัดไว้ด้วยกัน” “หา! อย่านะ! ไม่เอาอย่ามัดฉัน ไม่!” แม้จะดิ้นรนอยากวิ่งหนีแต่เด็กอย่างเธอจะสู้ผู้ใหญ่ตัวโตได้อย่างไร จึงโดนเขาลากออกไปพร้อมคนเจ็บ หรูอี้บีบน้ำตาจนเอ่อคลอ ช้อนมองซ่งฉีหมิง แสร้งเอ่ยอย่างเป็นห่วง “พี่ฉีหมิงคะ คุณนายเธอเสียเลือดมากเลย ถ้าไม่รีบตามหมอมารักษา เธออาจตายเพราะตกเลือดก็ได้” “แบบนั้นสิดี ยังไงตอนนี้กุ้ยเหมยไม่มีประโยชน์อีกแล้ว” คำพูดของชายที่เป็นสามีช่างโหดร้ายป่าเถื่อน ภรรยาที่เจ็บปวดอยู่ในคาบเกี่ยวของประตูผี กำลังจ้องกลับอย่างเคียดแค้นขณะถูกพาตัวออกไป ยังเค้นเรี่ยวแรงเพื่อตะโกนออกมา “เพื่อเธออึก! คุณใส่ร้ายฉัน หาว่าว่าฉันคบชู้ ฉีหมิง นายมันไม่ใช่คน” “ต้องโทษที่เธอไม่ได้เรื่อง ถ้าตอนนั้นเธอยอมจากไปดีๆ ก็คงไม่ต้องลากคนอื่นมารับเคราะห์ ทั้งหมดคือแกที่ทำตัวเอง ลากมันออกไป!” เขาคิดว่าจะต้องให้โจวกุ้ยเหมยตายอย่างทรมานที่สุด ในเมื่อให้โอกาสแล้วไม่รับไว้ ก็ช่วยไม่ได้…. “พี่ฉีหมิง พี่คิดจะขังเธอไว้ในบ้านหรือ ทำไมไม่ส่งเธอไปที่อื่น หรือพี่ยังเป็นห่วงเธอ แบบนั้นยิ่งไม่ควรขังคน” “หรูอี้ เธอหึงหรือ? วางใจเถอะในใจฉันมีแต่เธอเท่านั้น ที่ให้พาไปขังไว้เพราะทำแบบนั้นไม่ได้ จนกว่าเธอจะยอมหย่าดีๆ ไม่ก็ตาย เพื่อให้ฐานะภรรยาว่างลง ถึงจะสามารถแต่งเธอเข้ามาอย่างถูกต้อง ไม่โดนใครนินทา” “พี่ดีกับฉันจริงๆ! แต่ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ เรื่องผู้บัญชาการหลิว ไม่กลัวว่าจะถูกเขากลับมาแก้แค้นหรือ” “หมอนั่นคือผลพลอยได้ ใครให้เขามาขวางทางคนอื่น ฉันจึงใช้โอกาสที่มีกำจัดทิ้งทั้งคู่ อีกอย่างฉันไม่ปล่อยให้เขากลับมาหรอก” “แต่ว่าความผิดของเขามันไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนั้น ไม่นานเขาจะเป็นอิสระ ถึงตอนนั้นเราควรให้อภัยเขา เพื่อแสดงความเมตตา” “เธอจิตใจดี มักเห็นอกเห็นใจคนอื่น ดูสิ ฉันผิดต่อเธอขนาดนี้ให้สถานะภรรยาไม่ได้เธอยังอดทนลำบากอยู่ข้างนอก รออีกนิดเราจะได้อยู่ด้วยกัน ไม่มีใครมาพรากออกห่างได้อีก” “แต่แม่พี่จะยอมแน่? ฉันกลัวทำให้ท่านไม่สบายใจ” “ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น แม่แค่ต้องการสมบัติของตระกูลโจว ถึงให้ฉันแต่งงานกับหลานสาวบุญธรรมของตาแก่นั่น แม่ไม่ได้ชอบเด็กกำพร้าอย่างกุ้ยเหมยเลย ตอนนี้ก็ได้ทุกอย่างมาแล้ว ดังนั้นท่านจะไม่ขัดขวางเราอีก” “อืมฉันเชื่อพี่ จะรอวันที่เราได้อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผยสักที” หญิงสาวเอนซบอกชายคนรัก ความอ่อนโยนบอบบางของเธอบริสุทธิ์อย่างยิ่งในสายตาของซ่งฉีหมิง หากแต่เธอคือดอกไม้ที่อาบยาพิษ ความงามที่แสดงออกมาเพื่อหลอกล่อภู่แมลงให้มาติดกับ ให้กลายเป็นอาหารอันโอชะ ขณะเดียวกันสองคนถูกลากไปขังในห้องใต้ดิน ที่เหม็นอับและชื้น โจวกุ้ยเหมยอ่อนแรงลงทุกที ลมหายใจก็แผ่วเบาลงเรื่อยๆ คล้ายว่าพร้อมจะจากไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD