“พี่สาว พี่อย่าตายนะ! จะตายตอนนี้ไม่ได้! แข็งใจไว้ก่อน”
“แต่ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนเลือดในกายไหลออกไปเกือบหมด เขาใช้ยาทำแท้งที่รุนแรงแก่ฉัน เขาไม่ได้ฆ่าลูกเท่านั้น แต่อยากฆ่าฉันด้วย”
“หา! พี่โดนกรอกยาทำแท้ง! เดี๋ยวนะ พี่ชื่อกุ้ยเหมย แล้วแซ่อะไร!”
“ฉัน ฉันแซ่โจว อึก! เจ็บ”
เหมือนเสียงตูม! ในหัว เธอสลัดหน้าอย่างแรง เพื่อดูว่าจะตื่นได้ยัง แต่เปล่า ความจริงยังเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า ภาพที่เห็นก็เป็นภาพจริง คนที่เห็นจับแล้วตัวอุ่นมีลมหายใจ
“ให้ตายเถอะ! ฝันอะไรทำไมมันสมจริงขนาดนี้ ฉันอ่านนิยายแล้วเก็บเอามาเห็นเป็นตุเป็นตะแบบนี้เลย”
“ไม่ใช่! เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องจริง!” เพื่อจะปลุกสติตัวเองจึงเกิดความคิดบ้าๆ ชั่ววูบ พุ่งเอาหัวโหม่งเข้าใส่ผนังเต็มแรง
“โอ๊ย!” ความมึนชาและเจ็บแล่นจนทั่วระบบประสาท แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นยืนยันความคิดที่ว่า เธออาจไม่ได้กำลังฝัน เพราะเลือดที่ไหลจากบาดแผลอันมาจากการกระทำคือของจริง
“เสียงอะไร? เฮ้ย!” ยามที่เฝ้าข้างนอกตกตะลึงเมื่อเห็นเด็กหญิงตัวโชกเลือดนอนหายใจรวยรินนิ่งไม่ขยับ
“มีอะไร ทำไมเด็กนี่ถึงคลุ้มคลั่งฆ่าตัวตาย”
“ไม่รู้สิ แต่ไม่หายใจแล้ว”
“ตายแล้ว? คนนั้นล่ะ”
“คนนี้ก็ไม่หายใจ”
“รอเดี๋ยว ฉันไปแจ้งนายท่านก่อน เขาจะให้เอาศพออกไปทิ้งเลยหรือจะฝังในสวน”
ยามสองคนคนหนึ่งไปแจ้งข่าว อีกคนคอยเฝ้าเผื่อว่ามีคนเล่นตุกติกแกล้งตาย จะได้ซ้ำให้ตายจริง
“แย่แล้ว! พวกนี้รอบคอบชะมัด ขอเถอะ! อย่าฝังเลย ให้ลากไปทิ้งไกลๆ อย่างนั้นจะพอหาทางหนีได้”
ไม่นานคนที่ไปกลับมา พร้อมพูดในสิ่งที่ทำลายความหวังอันริบหรี่ของเธอ
“นายท่านบอกให้ฝังที่สวน”
“ตาย ตายแน่ๆ! ทำไมฟ้าถึงใจร้ายกับฉัน แล้วแบบนี้จะหนีไปได้ยังไง”
แม้จะกลัวถูกฝังทั้งเป็น แต่ไม่สามารถทำให้เขารู้ว่าแกล้งตาย ไม่อย่างนั้นเขาจะทำให้มันกลายเป็นจริง จึงนอนนิ่งตัวเกร็ง ปล่อยให้เขาลากออกไป
โฉ๊ะ! โฉ๊ะ! เสียงขุดหลุมมันช่างกระแทกใจคนที่นอนอยู่เหลือเกิน กระทั่งสายลมเย็นวาบพัดมาปะทะ จึงมีความหวังเล็กๆ ในใจ
“เอาล่ะ ได้ที่แล้ว สองคนนี้ผอมตัวเล็ก น่าจะพอ”
พวกเขาจับเธอกับโจวกุ้ยเหมยโยนลงในหลุม สองร่างนอนทับคร่อมกัน เธอใช้จังหวะที่พวกเขาไม่ทันสังเกตเกร็งศอกตั้งฉาก เมื่อดินจำนวนมหาศาลไหลลงมาก็ยิ่งเกร็งตัว เพื่อให้พอมีโพรงได้หายใจไปสักระยะ
“พี่กุ้ยเหมย อดทนไว้นะ อีกเดี๋ยวพอฝนตกเราจะออกไปจากที่นี่ พี่ต้องห้ามตาย ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้แก้แค้นให้ลูก”
เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายแทบทนไม่ไหว จึงใช้ไฟแค้นเป็นตัวกระตุ้น แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมกุ้ยเหมยที่อยู่กับเธอ มีสถานการณ์ต่างจากกุ้ยเหมยในหนังสือ ที่แค่ถูกกรอกยาขับเลือด แต่ยังได้อยู่ในบ้านตระกูลซ่งเป็นภรรยาที่ถูกเหยียดหยาม จนได้แก้แค้นสำเร็จ ไม่ใช่คิดฆ่าให้ตายทันทีเหมือนตอนนี้
“อื้อ” เสียงที่แผ่วเบายังคงตอบสนอง จากที่คิดยอมแพ้ พอได้ยินว่าต้องแก้แค้นให้ลูกจึงกัดฟันอดทน เมื่อใจเป็นนายกายเป็นบ่าว เด็กหญิงแปลกหน้าจึงภาวนาให้ฝนเทกระหน่ำเสียที
ครืนๆๆ เปรี้ยงๆ!!!!!
ดังสวรรค์รับรู้ จู่ๆ เมฆครึ่งลมพัดแรง หยาดพิรุณสาดซัดราวกับฟ้ารั่ว
“ฝนตกแล้วไปเร็วเข้า!” พวกเขาต่างแบกจอบวิ่งเข้าบ้าน ปล่อยให้สายฝนนำเม็ดดินไหลทับลงจนแน่น แต่เมื่อเขาจากไปแล้วมือข้างหนึ่งตะเกียกตะกายแหวกหาทาง เพื่อโผล่หน้าขึ้นให้ได้หายใจ
“รอดแล้ว! ดีนะที่ฝนตก” ดินที่ชุ่มจึงอ่อน เด็กหญิงผู้หลงทางพยายามดึงร่างในดินขึ้นมา
“พี่ลุกไหวมั้ย”
“ฉันจะ.อดทน”
“ดี เราต้องรีบไป แต่ฉันไม่รู้จักทาง”
“ทางนั้น เดินไปเรื่อยๆ จะสามารถออกไปได้”
สองคนเดินผาสายฝน ด้วยความแรงของม่านน้ำกับลมจึงมองเห็นได้ยาก อีกทั้งฟ้ายังมืดราวกลางคืน แต่ก็ช่วยให้พวกเธอไม่ถูกค้นพบ น้ำยังทำลายร่องรอยดินโคลนที่ติดตามร่างกายจนหมดสิ้น
ไม่มีใครในตระกูลซ่งจะคิดว่าทั้งคู่ปีนขึ้นมาจากหลุม
“ให้ตายสิ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน!! แค่อ่านหนังสือ ออกไปซื้อเสี่ยวหลงเปาให้ยาย ก็ได้มาอยู่ในสถานการณ์ที่อธิบายยาก”
เด็กหญิงผู้หลงทาง แบกร่างที่ใกล้หมดสติเดินฝ่าสายฝน มาตามคำบอกเล่าที่ได้ยินก่อนหน้า ที่นี่มีศาลเจ้าร้าง น่าแปลกเหลือเกินที่ด้านในไม่มีคนพักอาศัย ปกติแล้วต้องมีคนเร่ร่อนขอทานพักอยู่บ้าง แต่เธอไม่มีเวลาสนใจเรื่องนั้น
“พี่ค่อยๆ นะ เป็นยังไงมั้ง ตอนนี้รู้สึกเจ็บอยู่ไหม”
“ฉันไม่ยอมตายหรอก ฉันจะต้องแก้แค้นให้ได้ก่อน”
“แต่เลือดพี่ยังไหลไม่หยุด แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ถ้ามียาให้กินคงดี”
“ไม่ได้! ฉันต้องหาคนมาช่วย”
“เธอจะไปไหน อย่าไป!”
“พี่กุ้ยเหมย ฉันรู้ว่ามันเสี่ยง แต่ขืนปล่อยไว้พี่จะตายเพราะเสียเลือดมาก รอฉันนะ สัญญาว่าจะกลับมา”
“เดี๋ยว! โอ๊ย..” แม้จะอยากรั้งคนไว้ แต่ด้วยสภาพที่ย่ำแย่เต็มที จึงทำได้เพียงอดทน ประคองลมหายใจไม่ให้มอดดับ
“จะไปทางไหนดี เอาทางนี้แล้วกัน” อย่างน้อยมาทางนี้คงไม่หลง มันมีจุดสังเกตที่จดจำได้
สายฝนยังคงเทกระหน่ำ แต่พอมองเห็นทาง เธอวิ่งเหยาะหันมองไปรอบๆ แต่ยังไม่พบใครสักคน
“น่าแปลก? บ้านเมืองเยอะขนาดนี้ทำไมจึงเงียบเชียบ ไม่มีการเคลื่อนไหวเลย”
“ภารกิจแรก เริ่มได้!”
“สะเสียงอะไรนะ!”
“หาหมอให้เจอเพื่อช่วยชีวิตโจวกุ้ยเหมยภายในสิบห้านาที ถ้าทำไม่ได้จะถูกฟ้าผ่า แต่ถ้าทำสำเร็จ จะได้รับโฉนดบ้านพร้อมข้าวของเครื่องใช้ขนาดสองคนหนึ่งหลังทันที”
“หา! เอาจริงป่ะเนี่ย” เสียงนั้นไม่มีตัวตน รู้แค่ได้ยินเท่านั้น เธอคิดว่าตนอาจเพี้ยนจนหลอน ระบบหรือ? เรื่องแบบนั้นมีจริงที่ไหน
เปรี้ยงๆๆๆๆ!!!!!
“เหว๋อ!!! ฟ้าจะผ่าหัวแล้ว หมอ! ใครเป็นหมอออกมานะ!!!!”
คราวนี้มีชีวิตเป็นเดิมพันจึงวิ่งพล่านไปทั่วแบบไร้สติ เคาะประตูร้องตะโกนหาหมอ
“เธอเป็นใคร! จะมาขอเงินตอนฝนตก มากไปแล้วนะ ดูสิ เคาะจนประตูแทบพัง”
“ป้า! ที่นี่มีหมอมั้ย ฉันต้องการหมอ!”
“หะหา? มะไม่มี ไปที่อื่นเถอะ”
“เดี๋ยว! บอกฉันมา ที่ไหนมีหมอ ถ้าไม่บอก ฉันจะพังประตูบ้านป้าแน่”
เพราะเคาะมาหลายบ้านแต่ไม่มีใครยอมเปิด ขืนรอหลังต่อไปคนอาจไม่รอด เธอไม่เชื่อว่าเจ้าของบ้านจะไม่รู้
“โอ๊ย! ทำไมตื๊อแบบนี้! อยากเจอหมอก็ไปคลินิกสิ”
“แล้วมันอยู่ทางไหนเล่า ถ้ารู้จะมาแหกปากถามเรอะ!”
“ทางนั้น ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอ”
พอได้ทราบข้อมูลจึงไม่กล้าช้ารีบวิ่งไปทันที หญิงผู้เป็นเจ้าของบ้านลูบอกอย่างขวัญหาย แต่ไม่ได้ด่าทอไล่หลัง อย่างน้อยมาเพราะช่วยคน ไม่ใช่มาขอเงิน
“เหลือเวลาเจ็ดนาที!”
“รู้แล้ว รู้แล้ว! กำลังหาอยู่ อย่าเพิ่งผ่าใส่หัวฉันนะ”
ขาก็สั้น เวลาก็เดินหน้า ตอนนี้เหนื่อยแค่ไหนก็ไม่กล้าหยุด มีแต่ต้องหาหมอให้เจอถึงจะการันตีความปลอดภัย
“เจอแล้ว! คลินิกหมอกั๋ว”
แต่เหมือนคืนที่ไร้ดาว พอเข้าไปใกล้กลับพบว่าประตูใส่กุญแจ ยังเขียนด้วยตัวอักษรว่าปิดหนึ่งวัน
เธอกัดฟันแน่นอย่างหงุดหงิด “บ้าเอ๊ย! ปิดวันไหนไม่ปิด ดันมาปิดวันนี้”
“เหลือเวลา… หกนาที!”
“ช่างเถอะ! ไปที่อื่นก็ได้ แต่จะไปทางไหนเล่า โอ๊ยกลุ้ม!”
วิ่งไปแบบสุ่มๆ มีเสียงนับถอยหลังเป็นนาที เพื่อหาร้านหมอร้านยาที่พอช่วยรักษา ไม่รู้ว่าชะตาแกล้งอำ หรือสวรรค์เล่นตลกกับคนที่เพิ่งหลงทาง
“เหมือนจะวกกลับมาทางเดิม นี่ฉันกลับมาตรงศาลเจ้า ไม่สิ? ดูเหมือนจะมาโผล่อีกทาง” หันซ้ายหันขวาพบว่าศาลเจ้าอยู่ไม่ไกล แต่หัวใจเธอหนักอึ้ง
“จ้าวเฟิงเอ๊ย… แกต้องโดนฟ้าผ่าแน่ แต่พี่กุ้ยเหมยจะตายด้วย ไม่ได้ ฉันจะยอมแพ้ตอนนี้ไม่ได้!”
พอคิดว่ายังมีอีกคนที่รอ จึงกัดฟันมองหาใครสักคน แต่ก็ไม่ออกห่างจากศาลเจ้าอีก เพราะไปอย่างไรก็ไม่ทัน
“เหลือเวลาสามนาที”
“ตายแน่ๆ ฉันจะตายแบบนี้ไม่ได้นะ ต่อให้เป็นภาพหลอนมันยังอนาถเกินไป”
เพล้ง!
“หือ?” ขณะที่พร่ำบ่นอย่างสิ้นหวัง เสียงของแตกได้ดึงดูดความสนใจ เธอจึงวิ่งไปดูและเห็นชายคนหนึ่งนั่งหน้าบึ้งตึงอยู่ในซอกกำแพงที่คับแคบ
“ฝนบ้าฝนบอ! เพราะแกทำให้ฉันไปตามนัดไม่ทัน ดูสิ เพราะแกทำให้ฉันชวดตำแหน่งหมอดีเด่น แค่คนเดียว แค่รักษาคนไข้อีกคนเดียว ฉันจะได้เป็นหมอที่ยอดเยี่ยมของสำนักแพทย์”
“คุณว่าไงนะ! คุณเป็นหมอ”
“แกเป็นใคร! พุ่งเข้ามาแบบนี้ต้องการอะไร!” ชายกลางคนตกใจเมื่อมือที่เย็นเฉียบเกาะกุมแขนเขาไว้แน่น สลัดยังไงก็ไม่หลุด
“ฉันต้องการความช่วยเหลือ พี่สาวของฉันกำลังตกเลือด อีกนิดมันจะไหลหมดตัว ได้โปรดเถอะคุณเป็นหมอ ไปช่วยพี่ของฉันที”
“หะหา เฮ้ยเดี๋ยวสิ! อย่าลาก ผ้ามันจะเปียก”
“เหลือเวลาหนึ่งนาที จะเริ่มนับถอยหลัง เมื่อเหลือสิบวินาทีสุดท้าย”
“ผ้าเปียกยังตากให้แห้งได้ คนจะตายอยู่แล้วรีบมาเถอะน่า!”
จ้าวเฟิงหวาดกลัวสุดขีด ทั้งที่หาหมอเจอแล้วแต่เวลายังคงเดินต่อ นี่แสดงว่าตราบใดที่หมอยังไม่เห็นคนเจ็บ เธอก็ยังไม่ปลอดภัย
ภายใต้ความรีบร้อนกลัวฟ้าจะผ่าใส่หัว จึงดึงแขนหมอวิ่งเร็วจี๋! ทำเขาเกือบหน้าคว่ำหลายครั้ง
“ศาลเจ้าที่อยู่ใกล้แค่ปลายขนตา ทำไมมันถึงไกลนักนะ”
“เธอช้าหน่อย จะล้มแล้ว”
“ล้มไม่ได้ ฟ้าจะผ่าใส่หัว”
“ว่าไงนะ?”
“กำลังนับถอยหลัง”
“สิบ.. เก้า.. แปด..”
“เจ็ด.. หก.. ห้า..”
“สี่.. สาม.. สอง..”
“หนึ่ง...”
“นั่นไงคนป่วย!” จ้าวเฟิงผลักหมอให้เข้าไปในศาลเจ้า ก่อนมีเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง! ตามมาติดๆ
“ยาโถว!”
เขม่าควันลอยฟุ้งแข่งกับหยาดฝน หัวเล็กๆ ที่หดจนติดบ่าค่อยขยับ ดวงตากลอกไปมา เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัย
“โธ่เอ๊ย! ทำตกอกตกใจหมด รีบๆ เข้ามาเร็วเข้าเดี๋ยวฟ้าจะผ่าลงมาอีก”
ตอนไม่พูดยังผ่อนลมหายใจได้ พอได้ยินแล้วขาเล็กสั้นกระโดดจ้ำพรวดเดียวเข้ามาทันที
“ขอบคุณที่เตือน”
“เธอรู้ได้ยังไงว่าฟ้าจะผ่า ถึงผลักฉันเข้ามาก่อน ดีนะที่ผ่าลงพื้น ไม่อย่างงั้นเธอได้ถูกย่างกลางฝนไปแล้ว”
“ขืนไม่ผลักหมอเข้ามา บางทีฉันอาจถูกฟ้าผ่าเข้าจริงๆ”
เหลือเพียงวินาทีสุดท้าย ถ้าตอนนั้นช้าอีกนิด เธอคงไม่รอด
“นี่หมอ นั่นไงพี่สาวของฉัน คุณรีบไปดูเธอที”
“อ้าได้” อย่างไรก็เป็นหมอ มีคนเจ็บป่วยใกล้ตาย แม้ไม่มีเงินจ่ายแต่จะไม่แยแสได้หรือ
โจวกุ้ยเหมยเพียงหมดสติ แต่เธอยังไม่ตาย ทว่าอาการไม่สู้ดีนัก ตัวซีดขาวราวกระดาษ
“เป็นไง พอช่วยได้ไหม”