ตอนที่ 4 : ผ่านได้หวุดหวิดกับภารกิจหนีตาย

2063 Words
สีหน้าของหมอเดี๋ยวแดงเดี๋ยวคล้ำ หัวคิ้วคลายเข้าออกสลับกัน “ใครกันที่ชั่วร้ายขนาดนี้! ถึงขั้นใส่ยาแรงเพื่อฆ่าทั้งแม่และลูก” “เฮ้อ! เด็กนะไม่อยู่แล้ว แต่ว่าเธอคนนี้ยังพอมีทางรอด นี่คงเข้มแข็งใจสู้มาก ถึงอดทนรอจนฉันมาเจอ” “คุณหมอ ถือว่าฉันคุกเข่าให้ ขอร้องล่ะ! คุณต้องช่วยพี่สาวนะ ชีวิตเธอน่าสงสารเหลือเกิน คนพวกนั้นไม่เพียงบังคับทำแท้งเลือดเนื้อของตัวเอง เขายังฝังเธอทั้งเป็น ถ้าฝนไม่ตกตอนนั้น ฉันกับพี่คงตายเป็นอาหารหนอนดิน” “ว่าไงนะ! สารเลวที่สุด วางใจเถอะยาโถว ถึงฉันจะไม่ใช่หมอเทวดา แต่อาการของพี่สาวเธอพอมีหวัง ตอนนี้ฉันจะฝังเข็มห้ามเลือดและพยุงอาการไว้ก่อน แต่ที่นี่ไม่เหมาะสมที่จะรักษาตัว” หมอนั่งลงฝังเข็ม ยังกล่าวอย่างหนักใจ ที่นี่ไม่สามารถให้คนที่ป่วยหนักพักฟื้น เสี่ยงอย่างยิ่งที่จะทำให้อาการทรุดลง “ไหนบอกว่าจะให้บ้านไง ทำไมถึงเงียบเล่า” จ้าวเฟิงที่คิดว่าจะทวงรางวัลจากระบบที่มองไม่เห็น แต่ไม่รู้จะทวงยังไง และเหมือนระบบจะเข้าใจสถานการณ์ที่ยากลำบาก ไม่ปล่อยให้เธอกลัดกลุ้มนาน “ยินดีด้วย! ภารกิจแรกสำเร็จ!” “ของรางวัลจะถูกนำไปให้ในทันที กรุณาหันหลัง” “หือ? ข้างหลัง งั้นหรือ” เสียงบ่นงึมงำก่อนจะหายสงสัย เมื่อชายคนหนึ่งเดินกางร่มเข้ามายืนต่อหน้าเธอ ท่าทีของเขาดูกระตือรือร้นสูง “สวัสดีครับคุณจ้าว! ที่แท้คุณมาหลบอยู่นี่เอง” “เอ๋?” (ใครนะ? ทำไมถึงรู้จักฉัน) “บ้านมรดกของคุณ ตอนนี้ได้ทำการเปลี่ยนโฉนดเรียบร้อย คุณจะย้ายเข้าไปทันทีเลยมั้ยครับ ผมได้นำรถลากมาแล้ว” แจ๋ว! แบบนี้มีบ้านที่อบอุ่นก็สามารถให้คนป่วยพักฟื้น รอจนเธอดีขึ้น ค่อยคิดหาทางรับมือกับพวกตระกูลซ่ง เชื่อว่าคนขี้ระแวงอย่างเขาจะต้องตรวจสอบในภายหลัง “หมอคะ เราสามารถเคลื่อนย้ายพี่สาวไปตอนนี้ได้เลยไหม” “ได้ ขอแค่ระมัดระวัง อย่าให้สะเทือนรุนแรง แต่คิดว่ามีรถลากจะไม่เป็นไร” “เช่นนั้น คุณเอ่อ….” เธอไม่รู้จะเรียกเขาแบบไหนถึงจะสุภาพ “เรียกผมว่าเต๋อข่ายเถอะครับ นั่นคือ…” “พี่สาวของฉัน คือพี่น้องบุญธรรมนะคะ จะเป็นการรบกวนไหมถ้าฉันอยากขอให้คุณช่วยพาเธอไปที่บ้าน” “ได้สิครับ ช่วยคนดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ดูท่าจะป่วยหนัก” จ้าวเฟิงเป่าปากดูโล่งใจ ตอนนี้แก้ปัญหาเรื่องที่อยู่กับหมอที่จะรักษาได้ แต่ปัญหาต่อไปคือเงิน “โอ้! อันนี้ปัญหาใหญ่ของการมีชีวิตก็ว่าได้” ไม่รู้เพราะระบบอ่านสถานการณ์ไว้อย่างละเอียด หรือเขารอบคอบ เพราะมีรถลากสามคันอยู่ด้านนอก และทุกคันก็มีร่มไม่ให้ต้องตากฝน แม้ว่าจะเปียกอยู่แล้วก็ตาม ตัวคนลากเองยังมีชุดกันฝนที่ทำจากใยของต้นชก สวมหมวกปีกกว้างอย่างหนาป้องกันละอองฝน จ้าวเฟิงนั่งประคองร่างโจวกุ้ยเหมย สายตาคอยสอดส่องไปรอบๆ กลิ่นอายที่คุ้นเคยแต่ไม่คุ้นเคย มันยังมีความผสานระหว่างวัฒนธรรมเก่าและใหม่ที่กำลังแทรกตัวเข้ากัน ดูสวยงามอย่างประหลาดดุจมีมนต์ “เห็นมีเสาไฟฟ้าบ้างแล้ว แต่รูปทรงต่างกับปัจจุบันไปไกล ตกลง มันยุคไหนกันแน่นะ” “คำอธิบายเพื่อปรับตัว ตอนนี้คุณอยู่ในยุค 70 ตอนปลาย ช่วงที่สถานการณ์ค่อนข้างอ่อนไหว แต่เริ่มผ่อนปรนในเรื่องของคูปองอาหาร แต่ย้ำว่าในที่ลับเท่านั้น” “แบบนี้เขาเรียกผ่อนปรนตรงไหนกัน” “แน่นอนว่ามี เศรษฐกิจดีขึ้นกว่ายุค 60 แม้การใช้ชีวิตจะลำบาก แต่ด้วยการปฏิรูปประเทศใหม่ในหลายด้าน ให้ทิศทางที่ดีขึ้น มีการให้สิทธิจัดสรรที่ดินทำกิน ผู้คนจึงไม่หิวโหยอดอยากเหมือนช่วงก่อน” “แล้วตอนนี้คือปีไหนกันแน่ ฉันจำได้ว่า 1979 ถึงจะมีการเปิดให้ทำการค้าเสรี ต่างประเทศจะเข้ามาลงทุนคนได้รับการศึกษาเพิ่มขึ้น เรียนจบก็มีงานทำเลย เพราะเป็นช่วงที่ต้องการแรงงาน” “ยินดีด้วย! ปีนี้คือ ค. ศ. 1978 เดือนสิบเอ็ด คุณเพียงอดทนรออีกนิดจะสามารถทำการค้าส่วนบุคคลได้อย่างอิสระ หากคุณต้องการ ยังสามารถสอบเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย” “ให้กลับไปเรียนใหม่หรือ? แสดงว่าฉันต้องใช้ชีวิตทั้งหมดอยู่ที่นี่ ออกไปจากฝันไม่ได้” “ออกไปได้ นั่นคือคุณตายแล้วไปเกิดใหม่” “ถ้าจะตอบแบบนี้ พูดว่าไม่คำเดียวเถอะ ใครเขาอยากตายกัน!” จ้าวเฟิงอยากเห็นหน้าตาของระบบเหลือเกิน ฟังเสียงแยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง รู้แค่น่าโมโห! ทว่าเสียงของเต๋อข่าย ดึงเธอให้กลับมาสนใจบ้านหลังข้างหน้า “ถึงแล้วครับ” บ้านกลางเก่ากลางใหม่ประตูไม้ปิดสนิท เขาลงจากรถลากไขกุญแจเปิดออก ลานบ้านไม่ถือว่าคับแคบนัก ยังมีบ่อน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค นอกจากนั้นเห็นมีกระถางเก่าเรียงซ้อนกัน กับเก้าอี้ไม้ตัวเตี้ย คาดว่าน่าจะเอาไว้นั่งเล่น ข้างๆ มีโต๊ะขนาดไม้ใหญ่พิงอยู่ สภาพค่อนข้างดีแม้จะผ่านกาลเวลาอันยาวนาน เห็นมีรอยรอยแตกบิ่น เหมือนถูกกระแทกอย่างรุนแรง “บ้านหลังนี้ได้รับการซ่อมแซม หลังถูกลูกหลงจากการวางระเบิดช่วงสงคราม ในช่วงหนึ่งกลุ่มเยาวชนใช้บ้านหลังนี้เป็นที่กบดาน เพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ จึงอาจมีร่องรอยเหลือไว้ให้เห็น” “ที่มาไม่ธรรมดาเลย น่าสนใจค่ะ” “ผมได้พาพี่สาวคุณไปพักในห้อง แต่เสื้อผ้าเธอเปียก เกรงว่าคงนอนไม่สบายนัก” “โอ้จริงด้วย! คือตอนนี้ฉันยัง เอ่อ…ไม่มีเงิน” “ไม่เป็นไรครับ ผมคือผู้มีหน้าที่ส่งมอบบ้านให้คุณ หากมีปัญหาหรือเดือดร้อนคุณสามารถไปหาผมที่ตึกชุนเหลา” “ไว้จะไปรบกวนนะคะ” จ้าวเฟิงพูดอย่างหน้าหนา แต่เธอยังเด็ก ดูแล้วร่างใหม่นี้อายุแค่สิบกว่าปี มันยากมากที่จะพึ่งพาแค่ตัวเอง “ผมยังมีธุระ ไว้จะมาเยี่ยม จริงสิ หมอเขาเรียกหาคุณ” “เข้าใจแล้วค่ะ แต่คุณอย่าเรียกฉันคุณจ้าวเลย เรียกเสี่ยวเฟิง ให้เห็นเป็นลูกหลานก็พอ” “ได้ งั้นเธอเรียกฉันว่าอา เราจะได้คุยกันง่ายขึ้น ฉันไปนะเสี่ยวเฟิง” “ขอบคุณมากนะคะคุณอา” จ้าวเฟิงออกไปส่งเต๋อข่ายตามมารยาท ก่อนจะปิดประตูหน้าเดินกลับเข้าตัวบ้าน หมอฝูยืนรอเธออยู่ เขากวักมือเรียกเพื่อเร่งเธอให้ไปเปลี่ยนเสื้อคนป่วย กลัวว่าโจวกุ้ยเหมยจะเป็นไข้ แบบนั้นอาการจะยิ่งแย่ “ดีจัง ในบ้านมีเสื้อผ้าทั้งของฉันกับของพี่กุ้ยเหมย เหมือนจะเตรียมของใช้ให้พร้อมสรรพ อย่างน้อยช่วงที่ยังหาเงินไม่ได้ ก็ไม่ต้องลำบาก” เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนเสื้อ จ้าวเฟิงต้องตกใจอีกครั้ง ร่างกายของโจวกุ้ยเหมยเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ มีตั้งแต่รอยจ้ำเล็กๆ ไปจนถึงปื้นใหญ่เป็นทางยาว “นี่มันรอยเฆี่ยนไม่ใช่หรือ! ช้ำจนขนาดนี้เลย” ในใจพลันเดือดดาลอย่างยิ่ง พวกเขาคือปีศาจไม่มีคุณธรรม ไม่แม้จะมีความเป็นคน โดยเฉพาะตัวยุแยงอย่างจางหรูอี้ พูดขึ้นคำหนึ่งก็ทำให้คนอื่นต้องลำบากจนเจ็บตัว แม้จะรู้ว่าโจวกุ้ยเหมยถูกครอบครัวสามีรังแก แต่พอได้เห็นบาดแผลการกระทำทั้งหมด ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงเลือกจะเผาตัวเองให้ตายไปด้วย ไม่ใช่เพราะหัวใจที่ถูกบีบจนแหลกสลายเท่านั้น แต่เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถลากทุกคนไปลงนรกด้วยกันสำเร็จ “กรอด! พวกคนตระกูลซ่ง แกชิงสุนัขมาเกิดเป็นคนชัดๆ” การเปลี่ยนเสื้อใช้เวลาไม่นาน เพราะจ้าวเฟิงสังเกตเห็นขนตามตัวโจงกุ้ยเหมยลุกชัน คาดว่าเธอคงหนาว ยังดีที่เลือดหยุดไหลแล้ว ไม่อย่างนั้นคงเปรอะเปื้อน ไว้รอหมอตรวจเสร็จค่อยนำน้ำอุ่นมาเช็ดตัวอีกครั้ง “หมอฝูคะ พี่กุ้ยเหมยจะหายเป็นปกติไหม” “ฉันบอกได้แค่ เธอจะหายแน่ ส่วนเรื่องที่ว่าจะมีลูกได้อีกหรือเปล่า คงต้องหาหมอที่เชี่ยวชาญโรคสตรี” “รุนแรงขนาดนั้นเลย! พวกเขาโหดเหี้ยมจริงๆ” “ยาโถวเอ๊ย! การที่พี่เธอรอดมาได้ก็ปาฏิหาริย์แล้ว พิษนั้นร้ายแรง ถ้าเป็นคนอื่นคงตายไปตั้งแต่ชั่วโมงก่อน” “คือว่า… ฉันไม่มีเงินเลย เรื่องค่ารักษาขอแปะไว้ก่อนได้มั้ยคะ ฉันจะรีบหางานทำเพื่อนำมาจ่ายในภายหลัง” “เด็กอย่างเธอนอกจากรับจ้างเล็กน้อย เมื่อไหร่กันจะพอจ่ายให้ฉัน เอาแบบนี้ ให้ฉันพักที่บ้านเธอสิ ฉันกำลังมองหาบ้านเช่า ถือเป็นการประหยัดเงินในกระเป๋า” หมอฝูให้เหตุผลว่าเขามาเพื่อแข่งขันกับเพื่อนร่วมสำนัก ใช้วิชาแพทย์แผนเก่าช่วยคน ใครที่รักษาคนได้มากกว่าจะชนะ เพียงแต่เขาขาดไปหนึ่งคนจึงพ่ายแพ้ แม้ว่าจะพบโจวกุ้ยเหมยในตอนหลังก็ตาม ถึงอย่างนั้นเขายังต้องอยู่ที่เมืองนี้ไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อช่วยงานในสำนักแพทย์ จ้าวเฟิงย่อมยินดีต้อนรับเขา ไม่เพียงอุ่นใจที่มีหมออยู่ใกล้ แต่ยังทำให้คนแถวนี้ยำเกรงไม่กล้ามาวุ่นวาย “ระบบ ฉันควรทำอย่างไรต่อไป” “....” เงียบ… ไม่มีเสียงตอบกลับมา “เฮ้อให้มันได้อย่างนี้!” ดูเหมือนเธอจะเรียกหาระบบไม่ได้ ต้องรอให้ปรากฏขึ้นมาเอง คืนนั้นจ้าวเฟิงนอนเฝ้าโจวกุ้ยเหมย หมอฝูอยู่ห้องข้างๆ เขาบอกว่าถ้าเธอมีไข้ให้รีบบอก หลังจากคอยดูจนแน่ใจจึงหลับไป กระทั่งกลางดึกได้ยินเสียงครางอือๆ “พี่กุ้ยเหมย โอ๊ะ! มีไข้นี่นา ตัวร้อนผ่าวเลย” ที่ครางเพราะพิษไข้นี่เอง จึงรีบไปเคาะประตูเรียกหมอฝู เขาก็เหมือนเตรียมตัวลุกออกมาพร้อมถุงย่าม “ยังดีที่เธอรู้ตัวเร็ว ไข้สูงขนาดนี้ทำให้ชักตายได้ เอาล่ะ หมั่นเช็ดตัวให้บ่อยๆ ก็ไม่เป็นไรแล้ว” “แล้วอีกนานไหมกว่าพี่เขาจะรู้สึกตัว” “ไม่น่าจะเกินสามวัน ระหว่างนี้ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เลี่ยงไม่ให้เกิดอาการแทรกซ้อน” “เข้าใจแล้วค่ะ” “ยาโถวเอ๊ย ลำบากหน่อยนะ” หมอฝูตบบ่าเล็กอย่างห่วงใย เด็กคนนี้จิตใจอ่อนโยนมาก ช่วยคนที่ไม่ได้เป็นญาติ คนที่เพิ่งรู้จักอย่างจริงใจ ทั้งที่ตัวเองก็ลำบาก ในสายตาของหมอฝูจึงชื่นชมเธอ จ้าวเฟิงยิ้มรับ “ขอแค่พี่เขาหาย ฉันไม่เหนื่อยเลย คนเราเห็นว่าเขาทุกข์ ยังถูกรังแกขนาดนี้ หากหันหลังให้อีกคน ชีวิตจะไม่พังทลายหมดหรือ” “นั่นสินะ” โดยไม่รู้เลยว่าทุกคำพูดทุกการกระทำของจ้าวเฟิง โจวกุ้ยเหมยพอรับรู้ และสัมผัสได้ น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกหางตา เป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง ที่อย่างน้อยสวรรค์ไม่ได้ทอดทิ้งเธอ ยังส่งเด็กคนนี้เข้ามาเป็นแสงสว่างในตอนที่มืดมน “หมอฝู กินข้าวได้แล้ว!” “อ้าดีๆ กำลังหิวอยู่เชียว อ้าวแล้วเธอไม่กินเรอะ?” เห็นคนเตรียมจานให้ที่เดียว จึงถาม “ฉันต้องไปดูพี่กุ้ยเหมยก่อน ไว้ค่อยกินทีหลังได้แต่หมอต้องไปทำงาน กินเถอะค่ะ” “แล้วนี่แบ่งไว้รึยัง” “เรียบร้อย ฉันไม่ปล่อยให้ตัวเองอดหรอก” นับว่าระบบไม่ใจร้าย ในครัวมีข้าวสารแป้งถั่วธัญพืช อาหารแห้งหมักดองหลายชนิด เพียงพอสำหรับสามคนไปสักระยะ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD