บทที่ 2 ใครคนหนึ่ง

2299 Words
วันต่อมา วันนี้ยัยแฟร์มาถึงก่อนฉันอีกแล้ว ฉันที่เพิ่งมาถึงก็เดินยิ้มเข้าไปหาเพื่อนสนิทที่นั่งรออยู่หน้าตึก ใบหน้าอิ่มเอมเปี่ยมไปด้วยความสุขทำให้เพื่อนรักเบะปากด้วยความหมั่นไส้ แฟร์คงรู้ว่ารอยยิ้มของฉันนั้นเกิดขึ้นเพราะใคร เมื่อวานเพิ่งจะเล่าเรื่องพี่แต๊งให้แฟร์ฟังแล้ววันนี้ก็เดินยิ้มมาขนาดนี้ “ตกลงเป็นแฟนกันแล้วเหรอ ถึงได้เดินยิ้มมาขนาดนั้นเลย” แฟร์ถามด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้กวนอะไรฉัน “เปล่า แค่เมื่อกี้พี่แต๊งไปรับที่คอนโดมาส่ง แล้วเดี๋ยวตอนเย็นก็จะมารับกลับ พี่แต๊งเขาเทคแคร์เวอร์อ่า” ฉันยิ้มกว้างไม่หุบ แม้จะยังไม่ได้รู้สึกกับพี่แต๊งจนอยากมีสถานะแฟน แต่ก็ยอมรับว่าเขาเทคแคร์ฉันดีมากจริง ๆ ดีซะจนบางทีฉันก็รู้สึกว่ากำลังค่อย ๆ ได้รับการเติมเต็ม ตลอดเวลาที่ฉันโสดมาเป็นปีก็เคยมีคนมาคุยด้วยอยู่เรื่อย ๆ แต่ก็ไม่รู้สึกว่าจะคลิกกันได้ และไม่เคยมีใครเทกแคร์ฉันได้น่ารักแบบนี้ และฉันไม่เคยสานสัมพันธ์กับใครได้นานเท่าพี่แต๊ง พอรู้สึกว่าไม่ใช่ก็เลิกคุยทันที “คนนี้สงสัยจะมาแรง” แฟร์มองหน้าฉันแล้วยิ้มดีใจไปด้วย “แต่ก็อยากดู ๆ ไปเรื่อย ๆ ค่อย ๆ เปิดใจให้ทีละหน่อยไปก่อน ไม่รีบ” “ก็ดี แต่ระวังจะโดนคาบไปเถอะ มัวแต่เล่นตัว” แฟร์มองจิกฉันแบบไม่ได้จริงจังนัก อันที่จริงฉันก็ไม่ได้เล่นตัวสักหน่อย แต่หัวใจที่เคยห่อเหี่ยวจะให้ฟูฟ่องในเวลาอันรวดเร็วได้ยังไงกันล่ะ ฉันไม่ยอมถูกจิกคนเดียว เลยปรายตามองแฟร์กลับไปและเปิดไอจพร้อมกับยื่นหน้าจอสมาร์ตโฟนให้นางดู “มึงก็ระวังคนนี้จะโดนคาบไปเหมือนกัน!” ฉันชี้ชื่อของคนที่มาเมนต์รูปเจ้าฮันนี่แมวของแฟร์ที่เพิ่งโสต์ลงเมื่อเช้านี้ ฟร้องตามเมนต์ทุกรูปที่แฟร์ลงขนาดนี้ มีใจให้กันชัวร์! และฉันก็คิดว่าไม่นานแฟร์ก็คงตกลงเป็นแฟนกับฟร้องแน่ ๆ เพื่อนรักมองโทรศัพท์ในมือของฉันแล้วใบหน้าของเธอก็แดงระเรื่อ “คาบก็คาบไปสิ” แฟร์พูดไม่เต็มเสียงและไม่กล้าสบตากับฉันแล้ว อาการแบบนี้มีพิรุธขั้นสุด “ขอให้โดนคาบจริง ๆ เถอะ” แฟร์หันมาถลึงตาดุใส่ฉัน ฉันก็เลยยิ่งแซวหนัก หากไม่ได้คิดอะไรกับน้องเขาจริง ๆ ทำไมต้องทำหน้าดุใส่ฉันด้วยล่ะ “เลิกคุยเรื่องนี้เลย” แฟร์พูดเสียงเข้มขึ้นพยายามดุเพื่อไม่ให้ฉันแซวต่อ “ศุกร์นี้ไปคลับเปิดใหม่กัน” นางเลยเปลี่ยนเรื่องชวนไปคลับพร้อมกับเปิดรูปในเฟซให้ฉันดู เป็นคลับเปิดใหม่ลงโพสต์โพรโมตในเฟซบุ๊ก ฉันดูแล้วก็รู้สึกว่าน่าไปเหมือนกัน “ไปดิ น่าสนใจดี” ฉันตอบเพื่อนรักไปทันทีอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด พอถึงตอนเย็นพี่แต๊งก็มารอรับฉันไปส่งที่คอนโด เขาไลน์มาบอกว่ามาถึงแล้วตั้งแต่ที่ฉันยังเรียนอยู่ พอเลิกเรียนฉันก็รีบลงมาหาเขาตรงจุดที่เขาจอดรอ “เจอกันพรุ่งนี้มึง กลับดี ๆ” ฉันบอกลาแฟร์ที่เดินมาด้วยกัน “โอเค หมั่นไส้คนมีหนุ่มมารับจริง ๆ” แฟร์แซวขำ ๆ แล้วยิ้มให้ก่อนเดินแยกออกไป “มาเร็วจังเลยค่ะพี่แต๊ง” ฉันเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งหน้าคู่กับเขา หนุ่มหล่อที่นั่งหลังพวงมาลัยหันมายิ้มให้ “กลัวมาไม่ทัน เดี๋ยวเดียร์จะรอนาน” “ก็เลยกลายเป็นว่าพี่แต๊งมารอเดียร์นานเลย” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเกรงใจ ฝ่ามือหนายื่นมากุมมือฉันไว้ “ไม่เป็นไรเลย ไม่ต้องทำหน้าเกรงใจพี่ขนาดนั้น วันนี้พี่ว่างทั้งวันมารอได้อยู่แล้วครับ” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนจนรู้สึกอบอุ่นใจ มือที่กุมมือฉันอยู่ก็ย้ายไปจับเกียร์แทน แล้วรถก็เคลื่อนตัวออกมา พี่แต๊งขับมาส่งฉันที่คอนโด เขาไม่ได้ขอขึ้นไปที่ห้อง แค่มาส่งที่ลานจอดรถเท่านั้น “ขอบคุณค่ะ ขับรถดี ๆ นะคะ” ฉันเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้เขาด้วย “วันไหนพี่ว่างพี่จะมารับอีกนะ” ฉันพยักหน้าให้โดยที่ยังมีรอยยิ้มอยู่ก่อนเปิดประตูลงมาจากรถ แล้วหยุดยืนมองตามรถที่แล่นออกไปจนสุดสายตา คืนวันศุกร์ [บทบรรยายเปเปอร์] คลับแห่งใหม่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยที่ผมกำลังเรียนอยู่ ผมมาที่นี่ในคืนแรกของการเปิดร้าน ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะอยากลองเที่ยวที่ใหม่ ๆ แต่เพราะที่นี่เป็นคลับของเฮียโนเอล พี่ชายแท้ ๆ ของผมเอง เราอายุห่างกัน 8 ปี ผมยืนมองจากระเบียงชั้นสอง ข้างล่างเริ่มมีนักเที่ยวพากันเดินเข้ามาแล้วเลือกที่นั่งที่ตัวเองต้องการและคิดว่าเป็นส่วนที่ดีที่สุดของตัวเอง ส่วนใหญ่จะนั่งกันตรงหน้าเวที เพราะตรงนั้นได้ใกล้ชิดกับนักร้องชื่อดังที่เฮียโนเอลเชิญมาสร้างบรรยากาศสนุก ๆ ในค่ำคืนนี้ “คนมาเยอะเกินกว่าที่คิด” เฮียโนเอลเดินมายืนอยู่ข้าง ๆ ผมแล้วเอ่ยขึ้นมาพลางทอดสายตามองลงไปยังจุดเดียวกัน ผมหมุนตัวพิงระเบียงแล้วมองหน้าพี่ชายพร้อมส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ “กำไรเยอะแล้ว เฮียให้โต๊ะผมฟรีแล้วกันนะ” คืนนี้ผมก็นัดกับเพื่อนมาดื่มที่นี่ด้วยกัน คลับเปิดใหม่และยังเป็นคลับของคนในครอบครัวผมแบบนี้เพื่อนผมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว “มึงควรอุดหนุนกู” เฮียโนเอลทำหน้าเอือม “เลี้ยงน้องกับเพื่อนน้องแค่นี้ เฮียเลี้ยงไม่ไหวเหรอ” ผมใช้สายตาเชิงดูถูกในการกดดันให้เขาตอบตกลง มั่นใจว่าเฮียต้องไม่ยอมถูกหยามแน่ ๆ “กูไม่เลี้ยง!” เฮียโนเอลตอบเสียงเข้มและจ้องหน้าผม สีหน้าผิดหวังของผมทำให้เฮียยกยิ้มที่มุมปากอย่างร้ายกาจ ฝ่ามือหนาของพี่ชายตบลงที่บ่าแกร่งของผม เขาบีบไหล่แล้วตบอีกสองสามครั้งแบบไม่แรง “กูไม่เลี้ยงเพราะหมั่นไส้มึง” เฮียพูดจบแล้วปล่อยมือออกจากบ่าผม สอดมือของตัวเองเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินลงไปตรวจดูความเรียบร้อยของคลับ แล้วเฮียหมั่นไส้ผมเรื่องอะไร หรือเป็นเพราะผมพูดกดดันเมื่อกี้ ผมทิ้งความสงสัยลงแล้วล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือที่สั่นในกระเป๋ากางเกงออกมาดูชื่อคนที่โทร.เข้ามา เป็นไอ้ฟร้อง “มากันแล้วเหรอวะ” ผมรับสายแล้วเอ่ยถามพร้อมกับกวาดสายตามองลงไปยังชั้นล่างที่ตอนนี้สลัวรางเหลือเกิน [เออมากันแล้ว] ปลายสายตอบ ฟร้องมันมาที่นี่พร้อมผมและนั่งอยู่ข้างล่างตั้งแต่แรก ส่วนคนที่เพิ่งมาถึงคือ บอส โยและสิน ผมไม่ค่อยสนิทกับสามคนนี้สักเท่าไหร่ เที่ยวด้วยกันดื่มด้วยกันได้ แต่เรื่องส่วนตัวมีแค่ไอ้ฟร้องเท่านั้นที่รู้เพราะเราสนิทกันมานานหลายปีแล้ว “เดี๋ยวลงไป” ผมกดวางสายและเดินลงไปข้างล่าง โต๊ะที่ฟร้องนั่งอยู่นั้นเป็นทางมุมหนึ่งของร้าน พื้นที่ตรงมุมก็ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัว แต่ก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับนักร้องหน้าเวทีเหมือนโซนตรงกลางด้านหน้า พวกเพื่อนมันไม่ได้สนใจตรงนั้น แค่มาดื่มมาเอาบรรยากาศสนุก ๆ และส่องสาวกัน หากเจอคนที่ถูกใจก็จะได้สานต่อ โดยเฉพาะสามคนนั้นที่มาแต่ละครั้งต้องได้ไลน์สาวสักคนติดมือกลับไปด้วย ส่วนผมและฟร้องไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แม้แต่การนั่งยังนั่งหันหลังไปทางผู้คน หันหน้าเข้ากับผนัง ไม่เห็นใครและไม่สนใจใครเลย ผมเอนตัวพิงกับเก้าอี้ด้วยท่าทางสบาย ๆ แล้วยกแก้วเครื่องดื่มสีอำพันที่ไอ้ฟร้องมันเพิ่งชงมาวางไว้ให้ ผมกระดกดื่มไปหนึ่งอึกแล้วตักกับแกล้มกินตามไปด้วย “โห สวยฉิบหาย” บอสเอ่ยขึ้นมา สายตาของมันมองไปทางด้านหลังของผม แววตาของมันประกายขึ้นมาและค่อนข้างจะสื่อไปทางหื่นกาม มันสะกิดเพื่อนอีกสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกันให้มองด้วยเหมือนกัน “กูจอง” สินเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับลุกขึ้นยืนเหมือนกับว่าจะพุ่งไปหาคนที่บอสกำลังมองอยู่ “ไม่ได้” โยรีบพูดแทรกขึ้นมา นี่ก็คงเป็นอีกคนที่แย่งชิงด้วย สินคว้าแขนโยไว้ไม่ให้เดินไปก่อน “พวกมึงหยุดเลย กูเห็นก่อนกูจอง” คนที่เห็นคนแรกรีบพูดขึ้นมาคงกลัวว่าเพื่อนจะตัดหน้าแย่งจีบสาวคนที่ตัวเองเล็งไว้ซะก่อน “สวยขนาดไหนเชียววะ” ฟร้องทนความอยากรู้ถึงความสวยจนทั้งสามคนเอ่ยปากแย่งกันแบบนี้ไม่ไหว ก็เลยหันไปมองบ้าง “คนไหน” ฟร้องหันกลับไปถามแล้วมองไปยังเป้าหมายที่ตัวเองสงสัย “เดรสแดงที่กำลังจะนั่ง” บอสตอบ “ที่มากับคนเสื้อครอปดำใช่ไหม” ฟร้องถามต่อ สายตายังมองไปทางเดิม “เออ” บอสยืนยันตำแหน่ง ฟร้องได้คำตอบจากบอสจนมั่นใจแล้วว่าคนไหน ก็สะกิดแขนผมให้หันไปมองด้วยอีกคน คิ้วผมกระตุกและย่นเข้าหากันด้วยความสงสัย เพราะปกติฟร้องก็รู้ว่าผมไม่ได้สนใจใครไม่ว่าจะสวยขนาดไหนก็ตาม แต่ทำไมตอนนี้ถึงต้องสะกิดให้ผมหันไปมองด้วย ผมกระดกเหล้าดื่มแล้วหันไปมองตาม คนแรกที่ผมเห็นในความสลัวรางคือสาวชุดแดงที่บอสพูดถึง เธอสวยโดดเด่นจนไม่ต้องมองหาว่าเป็นคนไหน สีชุดขลับกับสีผิวที่ขาวผ่อง เส้นผมสลวยปล่อยสยายและใบหน้าที่แต่งมาค่อนข้างจัดแต่กลับดูสวยสะกดจนไม่อยากหันไปมองทางไหนอีก ความสวยของเธอนั้นน่าจะเรียกสายตาของคนอื่นได้หลายคู่ คงไม่ได้มีแค่พวกผมที่กำลังให้ความสนใจแน่ ๆ “พี่เดียร์” ผมพึมพำชื่อของเธอคนนั้นและหันไปสบตากับฟร้อง แล้วค่อยเลื่อนสายตากลับไปที่พี่เดียร์เหมือนเดิม เธอมาเที่ยวคลับกับแฟร์เพื่อนสนิทของเธอ แต่เธอยังไม่รู้ตัวว่าผมกำลังนั่งมองอยู่ตรงนี้เพราะทั้งสองคนไม่ได้มองมาเลย พวกเธอไม่ได้สนใจคนอื่นสักเท่าไหร่ มองแค่ดีเจที่อยู่บนเวที “คนนี้อย่าไปยุ่งเลย เชื่อกู” ฟร้องเอ่ยขึ้นมา ผมหันกลับไปร่วมคุยกับมันด้วย “ทำไม มึงรู้จักเหรอ” บอสย่นคิ้วแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย สินกับโยก็รอคำตอบด้วยเช่นกัน “รู้จักดี บอกได้แค่ว่าอย่าไปยุ่ง” ฟร้องย้ำอีกที ฟร้องมันรู้จักเธอคนนั้นดีเลยละ แต่ผมรู้จักมากกว่า เราสองคนรู้จักพี่เดียร์และแฟร์มานาน เพราะพี่เดียร์เคยเป็นแฟนผม “เซ็งเลยกู” บอสพูดด้วยความเสียดาย และมองสาวชุดแดงคนนั้นด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่พอโยสะกิดให้มองไปอีกทาง แววตาของบอสก็ประกายขึ้นราวกับว่าเจอสาวใหม่ที่ถูกใจไม่น้อยไปกว่าสาวชุดแดงคนนั้น ผมคอยหันไปมองพี่เดียร์พลางคิดถึงเมื่อเย็นวันก่อนที่ผมเห็นว่ามีผู้ชายท่าทางดูดีมีภูมิฐานมาส่งเธอที่คอนโด หน้าตาของเธอยิ้มแย้มดูมีความสุขดี ผมเห็นเธอเป็นแบบนั้นก็น่าจะยินดีไปด้วยแต่ในหัวใจมันกลับปวดหนึบซะอย่างนั้น ขนาดตอนนี้แค่นึกถึงยังรู้สึกเจ็บที่หัวใจขึ้นมาอีกแล้ว ถอนหายใจออกพยายามไม่คิดมากและหันกลับมายกแก้วเหล้ากระดกดื่มราวกับต้องการให้รสขมช่วยลบความเจ็บปวดในหัวใจลงไปได้บ้าง เมื่อก่อนไอ้ฟร้องมันก็คอยบอกเล่าเรื่องของพี่เดียร์ให้ผมฟังมาตลอดในตอนที่ผมไม่อยู่ แม้แต่เรื่องหนุ่มใหม่คนนี้ฟร้องมันก็บอกให้ผมรู้แล้ว ตอนนั้นก็พยายามที่จะไม่คิดอะไรมากและยังพอหักห้ามใจได้ แต่พอได้มาเห็นและรับรู้ด้วยตาตัวเองกลับทำใจแทบไม่ได้เลยสักนิด “พอแล้วมึง” ไอ้ฟร้องมันแย่งขวดเหล้าจากมือผมไป เพราะผมส่งแก้วไปให้มันแล้วมันไม่ยอมชงให้ ผมก็เลยจะชงดื่มเอง “เดี๋ยวก็เมาหรอก” สินเตือนสติ “กูไม่เคยเมา” ผมพูดเสียงเรียบแล้วยื่นมือไปหาฟร้อง มันเลยจำใจต้องส่งขวดให้เพราะไม่มีทางที่จะห้ามผมได้อยู่แล้ว หากมันไม่ให้ขวดนี้มาผมก็เดินไปเอาขวดใหม่มาเองก็ได้ จะยากอะไร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD