[บทบรรยายเปเปอร์]
แววตาของพี่เดียร์วูบไหวราวกับกำลังกลัวในการที่ต้องอยู่ในอ้อมแขนของผมแบบนี้ ผมมองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง สลัดความ ยียวนทิ้งเพราะสิ่งที่ต้องการพูดกับเธอนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ แม้จะรู้ดีว่าหากพูดเรื่องนี้ออกไปจะได้คำตอบมายังไง แต่ผมก็อยากพูด อยากพยายามให้เธอเห็นถึงความจริงจังของผม
เมื่อตอนสายที่ผมออกจากห้องมาตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะมาเคาะประตูเรียกพี่เดียร์เพื่อจะคุยด้วย ผมขี้ขลาดมานานจนเธอมีคนคุยที่ดูเหมือนว่าเธอจะสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะคนอื่น ๆ ที่เธอเคยคุยด้วยฟร้องบอกว่าคุยได้ไม่กี่วันก็เลิกคุย แต่กับเขาคนนี้เธอคุยนานกว่านั้นอีกทั้งยังให้รับส่งถึงคอนโดด้วย
ผมซื้อคอนโดห้องตรงข้ามพี่เดียร์ไว้ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะบอกเลิกเธอไปแต่ยังไม่ทันได้ย้ายเข้ามาอยู่ก็มีเหตุให้ผมต้องบินไปฮ่องกงซะก่อน และพี่เดียร์ก็ไม่เคยรู้ว่าผมมีห้องอยู่ตรงข้ามกับห้องของเธอด้วย
เมื่อคืนเราได้เจอหน้ากัน แฟร์บอกผมว่าให้ผมหาเวลาที่เหมาะสมคุยกับพี่เดียร์ ผมคิดมาทั้งคืนว่าเวลาที่เหมาะสมคือตอนไหน ผมได้คำตอบแล้วว่าเวลานี้แหละ ถ้ายืดไปนานกว่านี้แล้วเดียร์ตกลงคบกับเขาคนนั้น ผมก็จะหมดสิทธิ์ในทันที
แต่เผอิญว่าเมื่อตอนสายออกมาแล้วเจอพี่เดียร์เข้าพอดีก็เลยได้มีเวลาเรียกคะแนนให้ตัวเองก่อนที่จะได้พูดเรื่องสำคัญ แต่ผมไม่แน่ใจเลยว่าที่แสดงให้พี่เดียร์เห็นว่าผมยังใส่ใจ ยังจดจำเรื่องของเธอได้แม่นนั้นจะเรียกคะแนนได้บ้างหรือเปล่า ดูจากการที่เธอไล่ให้ออกจากห้องนั้น ผมว่ายังเรียกมาไม่ได้เลยสักคะแนน
พี่เดียร์หันมาสบตากับผม พอเธอเห็นว่าคราวนี้ผมมีสีหน้าและแววตาที่จริงจัง คิ้วเรียวก็ย่นเข้าหากันราวกับสงสัยว่าทำไมผมถึงแสดงสีหน้าแบบนี้
“พี่เดียร์ให้โอกาสเปอร์ได้ไหม” น้ำเสียงจริงจังที่ถามเธอออกไปนั้นคาดหวังกับคำตอบพอสมควร แม้จะทำใจไว้ก่อนแล้วแต่ก็อยากให้ได้คำตอบที่ทำให้หัวใจกลับมามีชีวิตชีวาไก้อีกครั้ง
ทว่าคนตรงหน้ากลับเงียบ ไม่มีแว่วเสียงออกมาให้ได้ยินเลย หัวใจของผมหน่วงขึ้นมาทันที เพราะรู้ว่าคำตอบตอนนี้ไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังแน่นอน
“ให้โอกาสเปอร์สักครั้งได้มั้ยครับ” ผมถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เจือความอ้อนวอนอยู่ด้วย
“โอกาสบ้าอะไร” เดียร์ถามกลับมา สีหน้าของเธอมีความเคืองขุ่นอยู่ คิ้วเรียวย่นเข้าหากันขมวดเป็นปม แววตาก็แข็งขึ้นเหมือนโกรธเคืองผมมาก หรือว่าคำถามของผมจะทำให้เธอโมโหขึ้นมาเพราะนึกถึงสาเหตุที่เราต้องแยกทางกัน
“ให้เปอร์ได้จีบพี่เดียร์อีกสักครั้งได้มั้ย” ผมรู้ดีว่าถ้าขอกลับมาคบคงเป็นไปได้ยาก ก็เลยขอจีบใหม่ก็ยังดีอาจจะพอมีหวังให้ทำคะแนนไปเรื่อย ๆ ให้ผมได้ทำให้เธอใจเต้นแรงจนตอบตกลงคบเป็นแฟนอีกครั้งก็ยังดี
“เหอะ” พี่เดียร์แค่นหัวเราะ สีหน้ายังคงมีความรู้สึกขุ่นเคืองอยู่เหมือนเดิม เธอหันมองไปทางอื่น ไม่รู้ว่าไม่อยากเห็นหน้ากันแล้วหรือยังไง
“ขอจีบใหม่ได้มั้ยครับ” ผมยังคงตื๊อขอจีบอีกครั้ง ขอแค่โอกาสแล้วผมจะทำให้ดีที่สุด พี่เดียร์ตวัดสายตากลับมาจ้องหน้าผมเขม็ง
“ออกไป!” พี่เดียร์ไม่ตอบคำถามแต่ไล่ผมแทน เธอรวบรวมแรงที่มีดันอกของผมให้ถอยออก แล้วชี้นิ้วไปที่ประตู ผมรู้สึกว่าการไล่ผมคราวนี้จริงจังกว่าที่ไล่ตอนแรกหลายเท่า หน้าตาของเธอก็แสดงความโกรธออกมาอย่างชัดเจน
“พี่เดียร์แค่ตอบเปอร์เองว่าขอจีบใหม่ได้ไหม” จะว่าผมดื้อก็ได้แต่ผมอยากได้คำตอบที่พอจะช่วยให้โลกของผมมันสดใสขึ้นมา
“ออกไปจากชีวิตของฉัน!” เสียงของพี่เดียร์ที่ตะคอกใส่หน้าผมนั้นทำให้หัวใจของผมกระตุกหน่วง ดวงตาของเธอมีน้ำตาคลออยู่
“เปอร์สัญญาว่าครั้งนี้ไม่จบแบบครั้งที่แล้วแน่นอน” ผมพยายามจะพูดอ้อนวอนเพราะดูจากที่เธอมีน้ำตาคลอทำให้เดาว่าเธอคงฝังใจกับการเลิกของเรามาก
“ออกไป” เดียร์ยังพูดแต่คำเดิม ผมรู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้ตึงเครียดเกินไป
“เป็นเพราะเขาใช่ปะ พี่เดียร์ถึงไม่ตอบเปอร์” ผมทำหน้างอง้ำเหมือนเด็ก ทำให้พี่เดียร์มีท่าทางที่อ่อนลงบ้างแล้วกลอกตาไปมาด้วยความรำคาญผม
“ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น ออกไปได้ละ” ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้นก็น่าจะแปลว่าไอ้พี่คนนั้นก็ยังไม่มีหวังที่จะคบกับพี่เดียร์ใช่มั้ย
“ออกไป” พี่เดียร์เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ผมคิดว่าตอนนี้ผมควรกลับห้องก่อน หากพยายามตื๊อหรืออ้อนวอนในตอนนี้อาจจะทำให้เราต้องทะเลาะกันหนักก็ได้ ผมจะเดินหน้าจีบใหม่แบบไม่ขออนุญาตพี่เดียร์ก่อนก็แล้วกัน
“ไปก็ได้ครับ แต่เปอร์ไม่ไปจากชีวิตพี่เดียร์แน่นอน ไม่ว่าพี่เดียร์จะไล่เปอร์ยังไง เปอร์ก็ไม่ไป” ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงด้วยความจริงจัง และระบายยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
ผมรู้ว่าเธอคงเข็ดกับครั้งก่อน ต้นเหตุของการเลิกกันก็มาจากตัวผมเอง ผมก็จะพยายามเต็มที่เพื่อให้ได้พี่เดียร์กลับมา ไม่มีทางที่ผมจะออกไปจากชีวิตของเธอแน่นอน
ผมมองหน้าพี่เดียร์จนบานประตูปิดลงสนิท ยืนมองประตูห้องเธออยู่สักครู่แล้วเดินคอตกกลับเข้ามาที่ห้องของตัวเอง แต่พอเข้ามาในห้องแล้วมันรู้สึกเคว้งคว้างมากกว่าเดิม คงเป็นเพราะเพิ่งผ่านความผิดหวังมาเมื่อสักครู่ ผมเลยออกไปหาฟร้องที่ร้านพี่ฟาร์แทน
พี่ฟาร์คือพี่ชายแท้ ๆ ของฟร้อง เขามีร้านแต่งรถบิ๊กไบค์ขนาดใหญ่เพราะทั้งพี่ฟาร์และฟร้องชื่นชอบบิ๊กไบค์มากเลยตัดสินใจเปิดร้านซะเลย นอกจากสร้างร้านขึ้นมาแล้ว เขายังทำสนามขนาดใหญ่ไว้ขี่รถเล่นกันเองที่ทางด้านหลังของร้านอีกด้วย ผมไม่ได้ชอบบิ๊กไบค์ขนาดนั้นก็เลยไม่ได้ซื้อไว้เลยสักคัน หากต้องการเข้ามาขี่เล่นเพื่อระบายอารมณ์ก็จะขอยืมของพี่ฟาร์สักคันมาขี่ได้
พี่ฟาร์รักและเอ็นดูผมเหมือนน้องชายคนหนึ่งของเขา เขาถึงได้ให้ยืมได้ง่าย ๆ อยากขี่คันไหนก็เลือกได้ตามที่ผมต้องการเลย
ใจพี่ฟาร์โคตรได้ เขาไม่หวงรถกับผมเลยสักนิด
“สวัสดีครับพื่ฟาร์” ผมยกมือไหว้พี่ชายของฟร้องที่กำลังแต่งรถให้ลูกค้าอยู่
“หวัดดีเปอร์ ไอ้ฟร้องอยู่ข้างในน่ะ เข้าไปหามันได้เลย”
“ครับ” ผมเดินเข้ามาในห้องที่ทำไว้พักผ่อนของสองพี่น้อง เจอฟร้องกำลังนั่งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถืออยู่พอดี มันเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมแล้วอมยิ้ม
“มาหาถึงที่นี่มีอะไรหรือเปล่า” ฟร้องถามขึ้นมา ผมคิดว่ามันน่าจะรู้ว่าทำไมผมถึงมาที่นี่
“คงไม่ได้มาเพราะอยากมาเจอกูหรอกเนอะ” คำพูดของฟร้องกำลังบอกว่ามันรู้ทันว่าทำไมผมถึงโผล่มาที่นี่ได้
“กูขอโอกาสพี่เดียร์แล้วเขาปฏิเสธว่ะ” ฟร้องเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม ผมก็เลยพยักหน้าให้ด้วยสีหน้าที่หม่นหมอง ไม่มีความสดชื่นเอาซะเลย แม้ผมคิดเอาไว้แล้วว่ายังไงก็จะต้องจีบพี่เดียร์ให้ได้ แต่พอเห็นเธอไล่เสียงแข็งขนาดนั้นก็กังวลใจไม่น้อยเลย
“แล้วที่มาที่นี่ก็อยากจะมาระบายอารมณ์” ฟร้องถามต่อ สีหน้าของคนรู้ทันนี่โคตรกวนเลย
“เออ” ผมตอบกลับไปมันก็หัวเราะ คงจะดีใจที่ตัวเองพูดถูกทุกอย่าง
“เอาคันไหนก็ไปเลือกเลย” ฟร้องบอกแล้วลุกพาไปเลือกบิ๊กไบค์ของพี่ฟาร์ที่จอดอยู่หลายคัน ผมเลือกคันที่เคยขี่มาแล้ว และไม่ลืมสวมหมวกกันน็อคเพื่อความปลอดภัยด้วย ไอ้ฟร้องก็เดินไปหยุดอยู่ที่รถคันของตัวเองแล้วสวมหมวกกันน็อคก่อนเช่นกัน
ผมตวัดขาขึ้นคร่อมรถแล้วบิดออกมาด้วยความเร็วจนฟร้องต้องรีบบิดตามมา แรงลมที่ปะทะเข้ากับตัวพอช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ทุกครั้งที่ผมเครียดหรือรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ผมก็มักจะมาที่นี่จนพี่ฟาร์และไอ้ฟร้องรู้ทันว่าผมมาเพื่อที่จะระบายอารมณ์
ในหัวของผมยังมีแต่เรื่องพี่เดียร์เหมือนเดิม เพียงแต่ความเศร้าหมองที่เกาะกินหัวใจเริ่มลดน้อยลงมาได้บ้างแล้ว หากมัวแต่เศร้าผมคงต้องพ่ายแพ้และเสียพี่เดียร์ให้คนอื่นไปแน่ ๆ ผมขี่วนอยู่หลายรอบก็เลยหยุดพักแล้วลงไปนั่งที่พื้นหญ้าข้าง ๆ
“ขี่โคตรเร็วเลยนะมึง เครียดมากเลยหรือไง” ฟร้องเดินเข้ามานั่งด้วย น้ำเสียงของมันเหมือนอยากจะดุที่ผมออกตัวด้วยความเร็วที่มากเกินไป แต่คำถามของมันก็ยังมีความห่วงใยเจืออยู่ด้วย
“มาก” ผมตอบแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“แต่ก็จะสู้” ผมพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อ้อนหนัก ๆ อ้อนเหมือนเมื่อก่อน พี่เดียร์เขาแพ้เวลามึงอ้อนนี่”
“จะได้ผลเหรอ อีกคนเขาทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ แล้วกูจะอ้อนเหมือนเด็กได้เหรอวะ” ผมถามเพราะไม่แน่ใจว่าตอนนี้ความชอบของพี่เดียร์เปลี่ยนไปหรือยัง วันนี้ผมก็ลองอ้อนเธอดูเห็นว่าก็มีที่เธอใจอ่อนลงบ้าง แต่ก็ยังสับสนว่าเธอใจอ่อนหรือแค่ตัดรำคาญกันแน่ เพราะเธอก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะกลับมาสนใจผมเหมือนเดิมสักหน่อย
“ได้ดิวะ มึงอ้อนให้เต็มที่เลยเชื่อกู เดี๋ยวพี่เดียร์ก็ต้องใจอ่อนให้มึงแน่ ๆ” ไอ้ฟร้องพูดด้วยความมั่นใจ เอามือมาตบบ่าผมราวกับว่าเรียกความมั่นใจให้ผมด้วย
“ขอบใจมาก จะลองดูแล้วกัน” ผมคิดว่าผมจะทำตัวให้เหมือนเมื่อก่อน ที่มีทั้งความนิ่งเงียบและขี้อ้อนเวลาอยู่กับพี่เดียร์ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้ชอบอ้อนพี่เดียร์นัก พอคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะเป็นเพราะว่าเวลาที่พี่เดียร์ปฏิเสธอะไรแล้วพอผมอ้อนเธอก็จะใจอ่อน เลยทำให้ผมอ้อนเธอตลอดมา
“แต่ถ้าไม่อยากชักช้ามากนัก กูว่ามึงบอกเหตุผลที่ทำให้ต้องเลิกกันไปเลยก็ดีนะ” เสียงของฟร้องมีความจริงจังขึ้นมา ผมหันไปมองหน้ามันทันที
“ไม่ดีหรอก กูว่าไม่บอกน่ะดีแล้ว” ผมพูดพลางหันกลับมามองทางเดิม และทอดสายตาออกไปไกล ๆ อย่างไร้จุดหมาย
“ทำไมวะ”
ผมไม่ได้ตอบคำถามของฟร้องและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่วันนี้ไม่ค่อยมีแดด ค่อนข้างจะครึ้ม ๆ คิดว่าอีกสักพักฝนคงจะตก
“เลิกกันแล้วมึงหายไปเฉย ๆ เป็นปี พี่เดียร์อาจจะค้างคาใจตรงนี้ก็ได้ ถ้ามึงบอกพี่เดียร์ไปตรง ๆ เขาก็อาจจะเข้าใจแล้วยอมกลับมาคบได้ไวขึ้นไง” ฟร้องอธิบายเหตุผลที่ควรบอกความจริงกับพี่เดียร์ ผมเองก็เคยคิดแบบนี้ แต่พอคิดอีกทีก็ไม่กล้าที่จะพูด ไม่ใช่ทุกคนที่จะรับได้ในสิ่งที่ผมเป็น
“แต่ถ้าพี่เดียร์ไม่เข้าใจ เธอก็อาจจะตีตัวออกหากมากขึ้นก็ได้” ผมเถียงฟร้องกลับไป เพื่อนรักคิดตามที่ผมพูดแล้วถอนหายใจออกมา เรื่องของผมและครอบครัวเป็นเรื่องที่ผมกังวลมาตลอด หากพี่เดียร์รู้ เธอจะทำยังไงต่อ เธอจะรับได้ไหม เธอจะเป็นกังวลหรือเปล่า ผมคิดมากจนไม่กล้าบอกเรื่องนี้
“พี่เดียร์อาจจะไม่โอเคหรือรับไม่ได้ที่รู้ว่าจริง ๆ แล้วป๊ากูเป็นอะไร”
แว่วเสียงของผมมีความกังวลอย่างชัดเจน หากไม่กังวลว่าเธอจะไม่สบายใจผมคงบอกไปนานแล้ว