"กูรักมึงนะธีร์ แยมรักธีร์นะ ได้ยินไหม"
ทุกคนได้ยินเหมือนผมไหม หูผมไม่ได้ฝาดใช่ไหม แยมบอกว่ารักผม ถึงแม้สถานการณ์กับสถานที่จะไม่ได้โรแมนติกแต่แค่ได้ยินคำว่ารักจากคนที่เราก็รักเขา ผมว่าแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว และตอนนี้ผมก็มีความสุขมาก
หลังจากกลับจากโรงพยาบาล ไอ้โจ้ไปส่งผมที่มหาลัยเพื่อกลับไปเอารถที่จอดทิ้งไว้ ไม่ใช่แค่ไอ้โจ้คนเดียวหรอกที่ไปส่งก็ไปด้วยกันหมดนั่นแหละครับ จากนั้นผมขอแยกกลับเลยแต่พวกนั้นไม่ยอมเลยกลายเป็นว่าขับรถตามกันไปสามคันเลย ไอ้โจ้ขับนำ ไอ้กิจกับไอ้มินรั้งท้าย ส่วนผมกับแยมอยู่ตรงกลางโดยที่แยมเป็นคนขับให้
ระหว่างผมกับแยมเราสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากแค่ถามอาการของผมเป็นบางครั้ง แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงในน้ำเสียงที่เอ่ยถาม สัมผัสได้จากแววตาที่คอยมองมาที่ผมและรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าหวานนั้นว่าตัวเองก็มีความสุข แค่นั้นผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองลอยอยู่ในอากาศ หึหึ ผมไม้ได้เพ้อนะ แต่นั่นเป็นความรู้สึกของผมจริงๆ
หลังจากส่งผมเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันกลับที่พักของตนเองโดยไม่ลืมที่จะกำชับให้ผมกินยาให้ตรงเวลาและเรื่องห้ามแผลโดนน้ำ ก่อนกลับแยมยื่นมือที่ผมรู้สึกว่าสั่นน้อยๆ มาแตะตรงแผลผมเบาๆ ก่อนยืดตัวขึ้นจูบหน้าผากผมอย่างแผ่วเบาแล้วยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ผมอยากจะเก็บรอยยิ้มและความอ่อนโยนที่ได้รับจากแยมเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ไม่อยากให้ใครได้รับมันอีกแม้ว่าผมจะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวก็ตาม
ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ตรงกับวันพฤหัสบดีโดยที่ผมลาหยุดเรียนสองวันเพราะรู้สึกปวดที่แผลและเมื่อยตามตัว ที่จริงก็ไม่ได้อยากจะขาดเรียนสักเท่าไหร่แต่ประกาสิทธิ์จากอาจารย์วิฑูรย์ที่ทราบเรื่องของผมท่านได้อนุมัติให้ผมลาหยุดได้สองวันเพื่อให้รักษาตัวให้หายทันแข่งกีฬาสีของมหาวิทยาลัย
แยมขับรถมาหาผมตั้งแต่หกโมงเช้าพร้อมข้าวต้มปลาถุงใหญ่ นั่งรอจนผมกินหมดตามด้วยกินยาก่อนที่จะตรงไปมหาวิทยาลัยเพื่อไปเรียนในช่วงเช้า แยมมักจะใส่ใจในทุกๆ คนที่อยู่ใกล้จนบางครั้งผมก็อิจฉาที่ไอ้โจ้ได้รับความใส่ใจจากแยมอยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้ผมไม่ต้องไปอิจฉาใครแล้วเพราะ ผมได้รับความห่วงใย ความใส่ใจ และความรักจากแยม
แยมเลิกเรียนตอนเที่ยงก็ตรงมาหาผมที่คอนโดพร้อมกับข้าวสองสามอย่างเพื่อมากินพร้อมกับผม
“อันนี้กินได้ไหม” แยมถามผมพร้อมกับชูถุงกับเข้าให้ผมดู
“ได้สิ ธีร์กินได้หมดแหละถ้าได้กินกับแยม” ผมเลยหยอดกลับไปนิดนึง ได้เห็นหน้าแดงๆ ของแยมแล้วมีความสุข ที่ผมชอบแกล้งชอบแซวเพียงเพราะนั่นทำให้ผมได้เห็นหน้า ได้อยู่ใกล้ชิดมากกว่าการได้แต่แอบมอง
“เสี่ยว” แยมย่นจมูกใส่ผมก่อนลงมือแกะถุงกับข้าวเทใส่จาน ผมเดินไปเอาน้ำในตู้เย็นมาให้ก่อนพวกเราจะลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าจนหมด แยมอาสาล้างจานแต่ผมบอกไม่ต้องล้างเดี๋ยวผมล้างเองแยมก็ไม่ยอม ดึงดันจะล้างเองจนได้ ผมเลยอยู่ช่วยจนเสร็จแล้วพวกเราก็ย้ายกันไปนั่งดูทีวีที่ห้องนั่งเล่น
“อาบน้ำหรือยัง” อยู่ๆ แยมก็ถามขึ้น
“อาบแล้ว” ผมตอบแต่ก็ยังมองหน้าแยมอย่างงงๆ
“ใครใช้ให้อาบน้ำ ทำไมไม่เช็ดตัวแทน ตัวรุมๆ อยู่เดี๋ยวก็ไข้ขึ้นหรอก” แยมโวยขึ้นหลังจากได้ยินคำตอบจากผม
“ก็มันเหนียวตัว เมื่อวานกลิ้งไปหลายรอบ” ผมตอบเสียงอ่อยเพราะจากน้ำเสียงและท่าทางดูไอ้หน้าหวานของผมจะฉุนไม่น้อย
“สระผมด้วยหรือเปล่า” แยมถามต่อแต่น้ำเสียงเริ่มอ่อนลง ผมได้แต่ส่ายหน้า แยมยื่นมือมาลูบๆ ตรงเส้นผมของผมเบาๆ
“สระให้หน่อย” ผมเอ่ยขอ แยมนิ่งไปนิดก่อนพยักหน้ารับ ผมเลยยิ้มออก
ผมเดินนำแยมเข้าไปในห้องน้ำเห็นแยมกำลังพับขากางเกงของตัวเองอยู่ ผมเลยเดินไปหยิบกางเกงขาสั้นเอวยืดของผมให้แยมเปลี่ยน แยมรับไปเปลี่ยนก่อนจะไปนั่งรอผมอยู่ในอ่างอาบน้ำพร้อมกับเปิดฝักบัวเพื่อปรับระดับความแรงของน้ำให้พอเหมาะ ส่วนผมเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาสองผืนสำหรับของผมและแยมก่อนจะถอดเสื้อออกเหลือแต่กางเกงขาสั้น
“มานั่งนี่สิ เอาคอพาดตรงนี้ไว้” แยมตบที่หน้าขาของตัวเองเพื่อบอกตำแหน่งให้ผมเอาคอไปวางได้สะดวก โดยที่ผมนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กนอกอ่างอาบน้ำเพื่อจะได้ไม่เปียกไปทั้งตัว แยมจัดที่จัดทางอีกนิดหน่อยก่อนจะเริ่มลงมือสระผม
แยมราดน้ำลงไปบนผมก่อนใช้มืออีกข้างที่ว่างลูบไล้เส้นผมเบาๆ และต้องคอยระวังไม่ให้น้ำไปโดนแผลโดยที่ไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะเปียกแค่ไหน มือบางลูบไล้ไปมาบนเส้นผมของผมอย่างเบามือทำให้ผมเคลิ้มก่อนจะได้กลิ่นแชมพูที่ผมใช้เป็นประจำ แยมเทแชมพูใส่ฝ่ามือแล้วขยี้เบาๆ ก่อนนำมาสระให้ผม รับรู้ได้ถึงสัมผัสที่อ่อนโยนจากฝ่ายตรงข้าม มันทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ จนอยากจะหยุดเวลาไว้แค่ตรงนี้จริงๆ ตรงที่ๆ มีผมกับแยมแค่สองคน
“เจ็บแผลหรือเปล่า” แยมถามด้วยเสียงแผ่วเบา ผมส่ายหน้าปฏิเสธไป แยมจึงได้นวดผมให้ผมต่อ ก่อนจะล้างฟองแชมพูออกจนสะอาดแล้วใช้ผ้าขนหนูซับให้อีกนิดหน่อยกันน้ำหยดลงบนแผล แยมทำท่าจะลุกออกจากอ่างอาบน้ำแต่ผมคว้ามือเอาไว้ก่อนทำให้ต้องนั่งอยู่กับที่ตามเดิม
“มีอะไร” แยมถามพร้อมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“เมื่อวานคิดว่าธีร์ตายจริงๆ เหรอ” ผมถาม แยมชะงักไปนิดนึง
“ก็สถานการณ์มันชวนให้คิดนี่ แล้วถามทำไม” แยมอ้อมแอ้มตอบก่อนจะเงยหน้าถามผมกลับ
“แล้วถ้าธีร์ตายไปจริงๆ แยมจะ...” เสียงของผมขาดหายไปก่อนที่จะได้ทันพูดจบประโยคเพราะคนตรงหน้ายกมือขึ้นมาปิดปากของผมเอาไว้
“อย่าพูด” แยมเสียงแข็งใส่พร้อมกับทำตาขวางใส่ผม
“ทำไมล่ะวันนึงคนเราก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น” ผมดึงมือแยมออกแล้วพูดต่อ
“ก็บอกว่าอย่าพูดไงล่ะ” แยมโวยออกมาแล้วลุกออกจากอ่างอาบน้ำไป แล้วหยุดหันมาพูดก่อนจะพ้นประตูห้องน้ำ
“ผมน่ะจะเช็ดไหม เดี๋ยวก็ไข้ขึ้นหรอก รีบๆ ออกมาเลย” ผมเลยลุกตามออกไปพร้อมกับหากางเกงตัวใหม่ให้แยมเปลี่ยนเพราะตัวก่อนหน้านี้ปลายกางเกงเปียกน้ำเสียแล้ว
ผมมานั่งรอแยมอยู่ตรงโซฟาตัวยาวหน้าทีวีโดยที่ผมนั่งบนพื้นพรหมรอแยมมาเช็ดผมให้ แยมออกมาหลังจากเปลี่ยนกางเกงตัวใหม่แล้วขากางเกงยาวกว่าตัวก่อนหน่อยนึงปิดเข่าพอดีก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวที่ผมพิงอยู่ ผมตบลงตรงที่ว่างบนโซฟาที่เว้นไว้ให้พร้อมกับชี้มาที่ผ้าขนหนูบ่งบอกว่าเช็ดผมให้หน่อย แยมยกยิ้มมุมปากออกมาพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ แต่ก็เลื่อนเข้ามานั่งในที่ที่ผมบอกก่อนจะหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดผมให้ผมอย่างเบามือ
“แยม”
“หือ” เสียงตอบรับในลำคอแต่มือก็ยังเช็ดผมอย่างต่อเนื่อง
“แยม”
“เรียกทำไม” แยมหยุดชะงักไปนิดแต่ก็ยังคงเช็ดผมให้ต่อ
“แยม”
“ก็พูดมาสิ มีอะไร” คราวนี้หยุดมือก่อนจะจับหน้าผมให้หันไปหา ผมเลยจับมือนั้นไว้ก่อนจูบซับมือนั้นเบาๆ เรียกรอยยิ้มจากคนตรงหน้าได้ไม่น้อย จะรู้ตัวไหมนะว่าเวลายิ้มแล้วน่ารักชะมัด ผมนั่งมองรอยยิ้มนั้นและดูเหมือนแยมจะเขินเพราะแก้มซับสีแดงจางๆ น่ามอง
“ตกลงว่ามีอะไร” แยมถามหลังจากที่ผมเรียกแล้วไม่ยอมพูดเอาแต่จ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ ผมยกมือบางมาจูบซับอีกครั้งก่อนจะนั่งลูบมือข้างนั้นเบาๆ เจ้าของมือจึงหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ไม่ได้ชักมือกลับแต่อย่างใด
“เป็นอะไรหรือเปล่า หือ” แยมยังคงถามผมเหมือนเดิมคงคิดว่าผมผิดปกติอะไรแน่นอน ผมไม่ตอบแต่กลับลุกขึ้นไปนอนหนุนตักแยมซะดื้อๆ อีกฝ่ายก็ดูจะตกใจไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้ค้านอะไรก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบผมของผมเล่นอย่างเบามือ
“เฮ้อ สบาย” ผมครางออกมาเมื่อสามารถจัดที่จัดท่านอนได้อย่างพอดี
“เป็นอะไรกันแน่ หือ จะบอกได้หรือยัง” แยมยังไม่ลดความพยายามในการถามเอาคำตอบจากผม
“รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำให้คนอื่นเขาคลั่งจะแย่อยู่แล้ว” ผมพูดออกไปพร้อมกับเงยหน้าเพื่อดูปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม
“ทำอะไร แล้วคลั่งอะไร ใครคลั่ง” แยมขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนรัวคำถามออกมาด้วยความสงสัยว่าผมพูดอะไรออกไป
“ตอนนี้ธีร์อยู่กับใครก็คนนั้นนั่นแหละ รู้ไหมว่ารักมากจนจะคลั่งตายอยู่แล้ว ยิ่งเวลาใครเข้าใกล้น้องแย้มของพี่ธีร์ยิ่งคลั่งใหญ่ ฆ่าได้ฆ่าไปแล้ว หึหึ” ผมพูดออกมาก่อนจะหัวเราะตัวเอง ไม่เคยคิดว่าวันนึงตัวผมจะต้องมาพูดอะไรแบบนี้ออกมา
“หึหึ ปัญญาอ่อน” แยมหัวเราะออกมาเมื่อฟังผมพูดจบ
“ว่าแฟนตัวเองปัญญาอ่อนเหรอห๊ะ” ผมแกล้งพูดให้ดูเหมือนไม่พอใจที่โดนว่า แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมืออีกฝ่ายให้เป็นอิสระ
“แฟนเหรอ ใครเป็นแฟนใคร” แยมเลิกคิ้วถาม ผมจ้องหน้ากลับ
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ ก็เราสองคนเป็นแฟนกันไง” ผมจ้องหน้าแยมนิ่งหลังจากพูดจบ
“เมื่อไหร่ ถ้าไม่นับเรื่องแฟนปลอมๆ นั่น เคยขอเป็นแฟนแล้วเหรอ” แยมยักคิ้วใส่ ผมลุกขึ้นนั่งหลังจากที่อึ้งไปนิดหน่อย
“เออว่ะ ยังไม่ได้ขอเลยนี่หว่า” ผมก็ลืมไปว่ายังไม่ได้พูดเรื่องขอเป็นแฟนอย่างเป็นจริงเป็นจัง อีกฝ่ายนั่งหัวเราะเมื่อเห็นผมเด้งตัวขึ้นนั่งแล้วเห็นผมบ่นพึมพำออกมา ผมเลยเอื้อมมือไปรวบมือทั้งสองข้างของแยมมากุมไว้
“แยม เป็นแฟนกับธีร์นะ” ผมเอ่ยขอออกไปพร้อมกับมองสบตาคู่สวยของแยมสื่อให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความรู้สึกทั้งหมดของผม
“อืม” แยมตอบผมแค่นั้นแล้วยิ้มให้ผม รอยยิ้มที่ออกมาจากใจ หัวใจของผมพองโตคับแน่นในอก รู้สึกเหมือนตัวเองลอยได้ เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่แยมจะหลบตาผมพร้อมแก้มที่ซับสีเรื่อ อดใจไม่ไหวหอมแก้มขาวนั้นไปฟอดนึง แยมเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาดุๆ แต่ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร
ผมดึงร่างบางเข้ามากอดแนบอกแยมกอดตอบผม เราสองคนกอดกันอยู่อย่างนั้น ณ ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลกเพราะคนที่ผมรักเขาก็รักผมเช่นกัน
“ธีร์รักแยมนะ” ผมบอกรักทั้งที่เราสองคนยังกอดกันอยู่
“อืม เหมือนกัน” แยมตอบรับคำบอกรักของผมด้วยการกอดผมแน่นขึ้น
“เหมือนกันอะไร” ผมแหย่เล่น
“หึหึ ต้องให้บอกอีกเหรอ…รักเหมือนกัน” แม้จะบอกไปอย่างนั้นแต่สุดท้ายแยมก็ยอมบอกรักออกมาให้ได้ยิน
“มีความสุขจัง” คำพูดสั้นๆ แต่แทนความรู้สึกทั้งหมดของหัวใจของเราสองคน
เราสองคนนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยจนถึงตอนเย็น ผมชวนแยมออกไปหาอะไรกินกันข้างล่างแถวๆ คอนโด ไม่อยากยื้อเวลาไว้นานเพราะไม่อยากให้แยมขับรถตอนกลางคืนถึงแม้ว่าผมจะไม่อยากให้กลับก็ตาม
หลังจากกินข้าวกันเสร็จผมส่งแยมที่รถ แยมกำชับผมเรื่องกินยาหลังอาหารและห้ามแผลโดนน้ำถึงจะยอมขึ้นรถ รอจนแยมขับรถออกสู่ถนนใหญ่ผมจึงเดินกลับเข้าในตัวคอนโด ก่อนจะรู้สึกถึงการสั่นเตือนว่ามีข้อความเข้าของโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง
โจ้
ทะเบียนรถที่เฉี่ยวมึง
XX-XXXX กทม
ผมกดอ่านข้อความนั้นก่อนกดโทรหาใครบางคน รอไม่นานปลายทางก็รับสาย
(ครับเฮีย)
“กูมีงานให้ทำ ว่างหรือเปล่า” ผมถามปลายสาย
(ว่างครับเฮีย งานอะไรอ่ะ) ปลายสายตอบกลับมาอย่างกระตือรือร้น
“งานง่ายๆ ทะเบียนรถ XX-XXXX กทม สืบให้กูหน่อย” ผมบอกจุดประสงค์ให้ปลายสายรับรู้
(ได้ครับเฮีย ว่าแต่เฮียรีบหรือเปล่า)
“เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้”
(ครับเฮีย)
ผมกดวางสายหลังจากที่บอกจุดประสงค์และอีกฝ่ายรับปากจะจัดการให้ก่อนเดินเข้าไปในคอนโดตรงไปยังห้องของตัวเองอย่างมีความสุข