ตอนที่ 10 Yam part

3207 Words
เมื่อเก้าวันที่แล้วผมร้องไห้แทบขาดใจเมื่อได้ยินว่าคนๆ นั้นจากผมไปอย่างไม่มีวันกลับและเป็นวันที่ดีใจและมีความสุขที่สุดที่เรื่องนั้นไม่ใช่ความจริง และผมยังได้สารภาพความรู้สึกของตัวเองออกไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้พร้อมทั้งรับเอาหัวใจของอีกฝ่ายมาเก็บไว้ในใจอีกดวง รวมเป็นดวงเดียวกัน วันนี้ 10:00 น. หมอนัดธีร์ให้ไปตัดไหมออก จะบอกว่าหมอนัดก็ไม่ได้นะเพราะธีร์มันขอนัดหมอเป็นวันนี้เองเพราะไม่มีเรียน ผมเลยไปเป็นเพื่อน ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวนะ มีไอ้โจ้ ไอ้กิจ ไอ้มินไปด้วย กะว่าตัดไหมเสร็จก็ไปหาอะไรกินกันต่อ พวกผมนัดรวมตัวกันที่คอนโดธีร์โดยผมมากับไอ้โจ้ตั้งแต่เช้า ไอ้กิจไปรับไอ้มินมาถึงก็สายหน่อยๆ กว่าจะไปถึงโรงพยาบาลก็เกือบจะถึงเวลานัดแล้ว ดีที่คนไข้ไม่ค่อยเยอะและไม่ต้องรอคิวนานเพราะพยาบาลเรียกเข้าไปห้องตรวจตรงเวลานัดเป๊ะ “กินไรกันดีวะ หิวแล้วเนี่ย” ไอ้มินเปิดประเด็นเรื่องของกินขึ้นมาทันทีที่ธีร์เดินตามพยาบาลเข้าห้องตรวจ “หิวเหรอมึง ก่อนมากูก็เห็นมึงนั่งกินข้าวอยู่นะ เป็นพยาธิหรือไงเดี๋ยวกิน เดี๋ยวหิว” ไอ้กิจหันไปกัดไอ้มินจนฝ่ายโดนกัดทำปากเบะใส่ “ก็กูหิวอ่ะ มึงจะทำไม” ไอ้มินโมโหหิว “หึหึ ไอ้เตี้ย แดกไรไปไม่เห็นจะโต” ไอ้กิจยังคงกัดไอ้มินต่อทั้งยังหันไปแท็กมือกับไอ้โจ้อย่างถูกใจ ผมกับไอ้โจ้นั่งขำพวกมันไป “มึงอ่ะแยมอยากกินไร” ไอ้โจ้หันมาถามผมเพื่อแยกไอ้สองคนข้างตัวให้เลิกเถียงกันสักทีเพราะเดี๋ยวพยาบาลจะเขม่นเอา “ไปร้านเจ๊น้ำไหม ไม่ได้ไปนานแล้ว จะได้นั่งได้นานๆ ด้วย” พอผมบอกสถานที่เสร็จพวกมันก็พยักหน้ารับกัน เจ๊น้ำที่ผมพูดถึงนี่เป็นรุ่นพี่ของพวกผมเองครับ เรียนสาขาเดียวกับผมแต่แฟนแกเรียนเครื่องกล ตอนผมเข้าปีหนึ่งเจ๊แกอยู่ปีสี่ แต่ก็สนิทกันมากครับเพราะสายรหัสเดียวกัน เจ๊แกชอบแซวชอบเข้ามาหยิกแก้มผมบ่อยๆ แรกๆ นี่ตกใจกลัวแฟนเจ๊แกจะโกรธ ที่ไหนได้กลับส่งเสริมซะงั้น เจอเจ๊แกทีไรแก้มผมช้ำทุกที “ไม่รอถามไอ้ธีร์ก่อนหรือวะ” ไอ้มินทักขึ้นหลังจากเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้มีแค่พวกเราที่จะไปกิน ยังมีคนป่วยในห้องตรวจอีกคนนึงด้วย “ไม่ต้องๆ มันไม่กล้าขัดใจแฟนมันหรอก ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ไอ้กิจสวนขึ้นมาทันทีพร้อมยักคิ้วหลิ่วตาใส่ผมอย่างล้อเลียน น่าโบกหัวสักป้าบ “เออว่ะ กูลืมไป” ไอ้มินก็ร่วมด้วยช่วยกัน เมื่อกี้มันยังทะเลาะกันอยู่เลย มาตอนนี้กลับเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ส่วนไอ้โจ้นั่งหัวเราะคิกคักชอบใจอยู่ข้างๆ กัน ส่วนผมไม่อยากเถียงครับ เพราะมันคือเรื่องจริง นั่งรอไม่นานคนป่วยที่เกือบถูกลืมก็ออกมาจากห้องตรวจในสภาพที่ไหมเย็บแผลหายไปเรียบร้อยแล้ว จะเหลือก็แต่รอยเย็บที่ถ้าไม่ได้นั่งจ้องหน้ากันจริงๆ ก็คงจะมองไม่เห็น “รอแป๊บนะ ไปจ่ายเงินก่อน” ธีร์เดินมาบอกก่อนจะเดินตรงไปยังเคาเตอร์จ่ายเงิน ส่วนพวกผมก็ยังนั่งรอกันอยู่ที่เดิม โม้กันไปเรื่อยเปื่อยส่วนใหญ่จะมีแต่ไอ้กิจกับไอ้มินกัดกัน ไอ้โจ้ก็คอยยุแหย่อีกทาง ไม่นานอดีตคนป่วยก็เดินกลับมาหลังจากจ่ายเงิน พวกผมเลยยกโขยงไปร้านเจ๊น้ำกัน ไม่ไกลมากแค่ชานเมืองลิบๆ เอง ฮ่า ฮ่า ไม่เป็นไรผมไม่ได้ขับรถ จะบอกว่าตอนขามาโรงพยาบาลเราใช้บริการให้คนป่วยขับรถกันมาครับ รถคันเดียวของธีร์อัดผู้ชายตัวโตกันได้ห้าคนพอดีเป๊ะ ขึ้นรถเสร็จก็บอกจุดหมายปลายทางแก่คนขับ “โทรบอกเจ๊น้ำว่าจองโต๊ะหรือยัง เที่ยงแล้วเดี๋ยวคนเต็มนะ” ธีร์หันมาถามพวกผม อึ้งกันไปนิดเพราะลืม “เออว่ะลืม แยมมึงโทรดิ น้องรักเลยมึงอ่ะ” ไอ้โจ้โยนมาให้ผม เลยต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาเจ๊น้ำสักหน่อย รอไม่นานปลายทางก็รับสาย (ว่าไงจ๊ะน้องแย้มคนสวย ไม่โทรหาพี่เลยนะ ลืมพี่น้ำคนสวยแล้วหรือจ๊ะ) รับสายปุ๊บมาเป็นชุดเลย ผมได้แต่หัวเราะแหะๆ “สวัสดีครับเจ๊ คิดถึงสิครับ เนี่ยพวกผมยกพลไปบุกร้านพี่น้ำเลยนะ จองโต๊ะให้ด้วยนะครับ ห้าคนนะ” ได้ยินปลายสายหัวเราะคิกคักกลับมาพอบอกว่าคิดถึง (ได้ๆ แล้วนี่ถึงไหนกันแล้วล่ะ แล้วใครมาบ้าง อยากเจออ่ะคิดถึงๆ) “เพิ่งออกกันมาครับ น่าจะสักเกือบๆ ชั่วโมงคงถึง มีผม ธีร์ โจ้ กิจ มินครับ” ปลายสายรับคำก่อนรับปากว่าจะหาโต๊ะทำเลดีไว้ให้ก่อนจะขอวางสายไปรับลูกค้าต่อ “เจ๊น้ำบอกคิดถึงพวกมึง เรื่องโต๊ะเดี๋ยวแกเลือกไว้ให้” วางสายเสร็จผมก็หันไปบอกพวกนั้น หลังจากนั้นพวกผมก็พูดคุยกันต่อ โม้บ้าง กัดกันบ้างจนถึงร้านเจ๊น้ำ คนเยอะพอสมควรแต่ดีที่ธีร์หาที่จอดรถได้หลังจากที่วนหาจนเกือบครบรอบ “อ๊าย เด็กๆ มาๆ เข้ามาก่อน” เสียงเจ๊น้ำดังมาก่อนตัวหลังจากที่เห็นพวกผมกำลังเดินเข้าร้าน คนในร้านเยอะใช้ได้เลยครับ มีว่างแค่ 2-3 โต๊ะ “สวัสดีครับเจ๊” พวกผมยกมือไหว้สวัสดีเจ๊น้ำเมื่อเดินเข้ามาในร้าน เจ๊แกก็ยกมือรับไหว้ก่อนหันไปสำรวจพวกผมทีละคนอย่างพินิจพิจารณา “ไม่เจอกันนานหล่อขึ้นว่ะพวกเอ็ง โดยเฉพาะเอ็งไอ้ธีร์ เงาะถอดรูปเลยว่ะ” พวกผมนี่แทบจะตัวลอยเลยครับโดยเฉพาะพ่อเงาะน้อยข้างตัวผมยิ้มแฉ่งเลย เพราะเจ๊น้ำแกไม่ค่อยจะชมใครว่าหล่อหรอกครับ นอกจากแฟนตัวเอง “แน่นอนครับเจ๊ พวกผมอ่ะหล่อมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ ยิ่งโตยิ่งหล่อครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ไอ้โจ้เริ่มยกหางตัวเอง เจ๊น้ำได้ฟังแล้วทำหน้าเบื่อหน่ายประมาณว่าเหม็นขี้หน้าคนหล่อ พวกผมนี่ฮากันครืน หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอเจ๊น้ำนำพวกผมไปยังโต๊ะที่จองไว้ โต๊ะที่พวกผมได้นั่งนั้นอยู่นอกตัวร้าน เป็นโต๊ะกลมใต้ร่มไม้ลมเย็นสบาย แต่ละโต๊ะก็ห่างกันพอสมควรทำให้ไม่แออัดกับลูกค้าคนอื่น และที่สำคัญพวกผมสามารถคุยกันเสียงดังได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะไปรบกวนลูกค้าคนอื่น จับจองที่นั่งของตัวเองเสร็จสรรพก็มีพนักงานนำเมนูมาให้ พวกผมก็เริ่มสั่งอาหารที่ตนเองอยากกินกัน ส่วนเจ้าของร้านขอตัวไปรับลูกค้าด้านในร้านก่อนบอกว่าจะมาคุยด้วยเป็นระยะ นั่งรอไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ ไม่รู้ว่าเจ๊น้ำลัดคิวให้พวกผมก่อนหรือเปล่าเพราะรอไม่นานจริงๆ ทั้งที่ลูกค้าเยอะพอสมควร เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะหนึ่งเมื่ออาหารเข้าปาก ต่างคนต่างสนใจอาหารตรงหน้ามากกว่าเพื่อนร่วมโต๊ะ จะมีก็แต่พ่อเงาะถอดรูปข้างตัวผมนี่แหละที่คอยตักนู่นตักนี่ให้จนจะล้นจานอยู่แล้ว “พอแล้ว จะล้นจานอยู่แล้วเนี่ย” ผมต้องรีบห้ามก่อนเพราะเห็นอีกฝ่ายกำลังตักไก่ทอดชิ้นโตมาให้ “กินเยอะๆ ผอมไปนะรู้ตัวหรือเปล่า” ธีร์หันมาบอกผมเสียงนิ่งพร้อมกับวางไก่ทอดชิ้นนั้นลงในจานข้าวของผม อีกนิดเดียวแล้ว อีกนิดเดียวจริงๆ ที่ผมจะหาข้าวในจานไม่เจอเพราะกับข้าวบังซะมิดจาน “ไอ้แยมมึงอ่ะแดกไปเยอะๆ เลย ทั้งเตี้ยทั้งผอมเลยมึงอ่ะ” ไอ้มินตะโกนข้ามโต๊ะทั้งที่ในปากยังเคี้ยวข้าวอยู่ตุ้ยๆ แล้วอีกอย่างที่มันพูดออกมานั้นคือมันไม่ได้ดูตัวมันเองเลยว่าตัวมันก็เท่าๆ กับผมนั่นแหละ “โถไอ้เตี้ย ทำเป็นว่าคนอื่น มึงอ่ะเตี้ยกว่ามันอีกไอ้มิน” ไอ้กิจคงทนไม่ไหวที่ไอ้คนข้างตัวพูดได้ไม่ดูตัวเอง เลยกัดกลับไปดอกนึงแถมด้วยไก่ทอดอีกชิ้นโตอีกชิ้น “กูไม่ได้เตี้ย กูหล่อ” คนไม่เตี้ยแต่หล่อกัดไก่ทอดเข้าปากแล้วเงียบไป นั่งกินไปได้สักพักพนักงานก็เอาเก้าอี้มาเสริมให้โต๊ะพวกผมอีกสองตัว มีเจ๊น้ำกับพี่บอสสามีของแกเดินตามหลังมา พี่บอสก็เป็นรุ่นพี่ของพวกผมเหมือนกันแต่เรียนเครื่องกล ทั้งสองแต่งงานกันตั้งแต่เรียนจบได้ไม่นาน ตอนนั้นผมยังได้ไปร่วมงานแต่งของทั้งสองด้วย พอแต่งงานกันได้ไม่นานพี่บอสก็เปิดร้านอาหารแห่งนี้ให้เจ๊น้ำดูแลส่วนตัวพี่บอสเองเปิดร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างอยู่เยื้องๆ กับร้านอาหารนี่แหละ พอว่างจากร้านนู้นก็กลับมาช่วยงานที่ร้านนี้ “ไงพวกมึง หายหน้าหายตาไปนานเลยนะ กว่าจะเสด็จมาได้” พี่บอสเริ่มต้นทักพวกผม ไม่เถียงแกหรอกครับเพราะพวกผมก็ไม่ได้มาที่นี่นานแล้วเหมือนกัน เกือบปีเห็นจะได้ “สวัสดีครับเฮีย” นี่คือคำที่พวกผมใช้เรียกพี่บอสเขาล่ะ พี่แกก็พยักหน้ารับไหว้พวกผมแล้วกวาดตามองพวกผมทุกคนก่อนจะหยุดค้างอยู่ที่พ่อเงาะถอดรูปข้างตัวผม “ไอ้ธีร์ นี่มึงเหรอวะ ทำกูจำเกือบไม่ได้ หล่อขึ้นนี่หว่า” พี่บอสเดินมาตบไหล่ธีร์เบาๆ พร้อมกับมองอย่างพินิจพิจารณาอีกรอบแล้วเอ่ยชื่นชมความหล่อที่ถอดรูปแล้วออกมา “นิดนึงครับเฮีย” ธีร์ตอบยิ้มๆ พี่บอสก็กลับไปนั่งข้างเจ๊น้ำ นั่งได้ไม่นานพนักงานก็ยกเบียร์มาเสริฟที่โต๊ะ “พวกผมยังไม่ได้สั่งครับ” ไอ้โจ้หันไปบอกพนักงานทำให้อีกฝ่ายชะงักไปนิดนึง “กูสั่งมาเองแหละ เบียร์ฟรีแต่ค่าอาหารเคลียร์กับคนนี้เอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พี่บอสว่าพลางยกเบียร์ขึ้นจิบแล้วพยักเพยิดไปทางเจ๊น้ำที่นั่งยิ้มน้อยๆ อยู่ข้างกัน “เล่นแต่หัววันเลยหรือครับเนี่ย” ผมถามเพราะมันยังเที่ยงอยู่เลย แล้วเหลือบไปเห็นไอ้คนข้างตัวทำท่าจะยกเบียร์ขึ้นซด “ขับรถ อย่าดื่มเยอะ” ธีร์มีชะงักก่อนจิบนิดหน่อยแล้ววางลง ที่จริงผมไม่อยากให้ดื่มหรอกนะ แต่ก็ไม่ได้ห้ามน่าจะคิดเองได้ “เออ...ว่าแต่พวกมึงสองคนญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ กูเห็นเมื่อก่อนแทบจะมองหน้ากันไม่ได้” พี่บอสหันมาถามพวกผมทันทีที่ผมพูดจบ เหมือนแกจะจ้องผมสองคนอยู่นานแล้วและคงคิดได้ว่าทำไมพวกผมถึงนั่งติดกันได้โดยที่ไม่ทะเลาะอะไรกันเลย “เฮียไม่รู้อะไรซะแล้ว ไอ้คู่นี้มันอินเลิฟกันอยู่ มันไม่กัดกันหรอกแต่ถ้าจูบกันอ่ะไม่แน่” ไอ้โจ้หลังจากที่เงียบมานานก็เริ่มพูดได้เมื่อเบียร์เข้าปาก ผมหันมองหน้าแต่ละคนเลิกลักจนธีร์ต้องจับมือผมเอาไว้เหมือนปลอบ ไอ้โจ้ก็นั่งมองหน้าผมแล้วยิ้มล้อใส่ “เฮ้ย จริงสิ ติดแล้วเหรอวะไอ้ธีร์ มึงแน่ว่ะ อย่างนี้ต้องฉลองสิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เอ๊ะ อะไร ยังไง พี่บอสพูดเหมือนรู้เรื่องเมื่อก่อนหน้านี้ “ครับ” ธีร์ตอบออกไปแต่ยิ้มแก้มแทบปริ ส่วนผมทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งเขินปล่อยให้พวกนั้นแซวไป พี่บอสกับเจ๊น้ำนั่งคุยเล่นกับพวกผมอยู่พักใหญ่ก็ขอตัวไปดูร้าน ส่วนเจ๊น้ำต้องออกไปรับลูกค้ากรุ๊ปใหญ่ที่จองโต๊ะสำหรับกินเลี้ยงไว้ “เฮ้ย งานกีฬามหาวิทยาลัยใครลงเล่นอะไรบ้างวะ” ไอ้มินถามขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกแค่สองสัปดาห์ก็จะเริ่มกิจกรรมกีฬาแล้ว “กู ไอ้โจ้ ไอ้ธีร์ ไอ้ทศลงบาส” ไอ้กิจบอกขึ้น “กูลงด้วย” ไอ้มินยกมือบอก พวกผมหันขวับไปมองหน้ามันทันทีโดยเฉพาะไอ้กิจกับไอ้โจ้ถึงกับขำก๊ากกันเลยทีเดียว “แหม พูดไม่ดูส่วนสูงเลยนะน้องมินนี่ มึงจะลงทำไม เอื้อมมือถึงลูกเปล่าเถอะ” ไอ้โจ้คงหมั่นใส้คนไม่เจียมความสูง ส่วนผมรู้ตัวดีครับว่าความสูงไม่พอและที่สำคัญผมไม่ค่อยชอบเล่นกีฬาเท่าไหร่ เหตุผลง่ายๆ คือ เหนื่อย “มึงอ่ะแยม ลงไรกับเขาบ้าง” ไอ้กิจหันมาถามผม “ไม่ว่ะ ขี้เกียจ เป็นกองเชียร์พวกมึงแล้วกัน” ผมตอบก่อนหันไปจิ้มกุ้งชุบแป้งทอดกินต่อ “ไม่ลงนั่นแหละดีแล้ว มีแต่คนตัวใหญ่ๆ ลงเล่น อันตรายเปล่าๆ” ธีร์หันมาบอกผมก่อนที่เสียงโทรศัพท์มือถือของมันจะดังขึ้น ธีร์หันไปรับสายก่อนจะพูดแค่ไม่กี่คำก็กดวางไป “เป็นอะไร ใครโทรมา ทำไมทำหน้าเครียดๆ” ผมถามเพราะตอนคุยโทรศัพท์อยู่มันทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา “คนของพ่อน่ะ ให้มันช่วยงานนิดหน่อย” ผมพยักหน้ารับไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ ไม่นานพวกผมก็เรียกเก็บเงิน และเป็นไปตามคาดคือเจ๊น้ำกับพี่บอสไม่เอาเงิน พวกผมเลยยกโขยงกันเข้าไปในร้านอีกรอบเพื่อไปขอบคุณเจ้าของร้านผู้ใจดีและฝากเจ๊น้ำขอบคุณพี่บอสด้วย เดินทางกลับคอนโดก็บ่ายแก่แล้ว เรียกว่าถึงคอนโดปุ๊บก็เตรียมหามื้อเย็นกันได้เลย ธีร์ยังเป็นคนขับรถเหมือนเดิม ระหว่างทางผมเผลอหลับไปนิดหน่อยก็ต้องตกใจตื่นเมื่อเสียงโทรศัพท์ไอ้โจ้ดังขึ้น จับใจความได้ว่าสาวโทรตามให้ไปหา นั่งรถต่อได้ไม่นานธีร์ก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดตรงลานจอดรถของคอนโด เป็นไปตามคาดไอ้โจ้ทิ้งผมไว้ที่นี่เพราะมันลงรถปุ๊บก็กระโดดขึ้นรถตัวเองขับออกไปหาสาวปั๊บ ส่วนไอ้มินกับไอ้กิจยังไม่กลับแต่ขึ้นไปกระดกเบียร์ในห้องธีร์ต่ออีกเกือบสองชั่วโมงก็แยกย้ายกันกลับบ้าน “กินเยอะไปแล้ว” ผมร้องห้ามเมื่อเห็นว่าธีร์ทำท่าจะยกกระป๋องเบียร์ในมือขึ้นซดอีก “นิดนึงนะน้องแย้ม นี่เพิ่งกระป๋องที่สองเองนะ ไอ้พวกนั้นเล่นซดเกือบหมดตู้เย็น” ก็ใช่ครับ ไอ้กิจกับไอ้มินสองคนเล่นขนเบียร์ในตู้เย็นออกมาเกือบสิบกระป๋อง โดยที่เจ้าของห้องได้แตะแค่สองกระป๋อง ส่วนผมแค่กระป๋องเดียวยังไม่หมด ที่จริงผมกินได้นะพวกเหล้าเบียร์ แถมเมาช้าด้วย แต่แพ้อยู่อย่างเดียวคือพั๊นซ์ แค่นิดเดียวก็สามารถทำให้ผมเมาหัวทิ่มได้แล้ว “อย่าให้เมาแล้วกัน ขับรถไปส่งด้วย” ผมว่าแต่ก็ยังคงจ้องกระป๋องเบียร์ในมือมันอยู่ จนฝ่ายโดนจ้องวางเบียร์ลงบนโต๊ะแล้วหันมาเผชิญหน้ากับผมแล้วรวบมือผมทั้งสองข้างมากุมไว้ “รู้สึกดีจัง” อยู่ๆ ธีร์ก็พูดพร้อมกับยิ้มให้ “เมาแล้วเหรอ” ผมว่าแต่ปากกลับส่งยิ้มไปให้อีกฝ่าย “เมารัก” เหวอไปสิครับ แต่ก็เขินนะ ไม่คิดว่าคนโหดๆ แบบมันจะทำอะไรเสี่ยวๆ แบบนี้เป็นกับเขาด้วย “ที่จริงอยากบอกตั้งแต่สองปีที่แล้วแล้วนะ แต่การเจอกันของเราไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่” ธีร์ยังคงพูดในสิ่งที่ทำให้ผมอึ้ง “คิดมาตลอดว่าจะทำไงให้สมหวังหรือแค่หันมามองกันก็ยังดี” ธีร์ยังคงเล่าไปเรื่อยๆ พร้อมกับจ้องหน้าผม เหมือนมนต์สะกดให้ไม่อาจละสายตาไปได้ “ตอนนี้สมหวังแล้ว และเกินหวังไปไกลแล้วด้วย ธีร์อาจจะพูดหรือเอาใจไม่ค่อยเก่งหรอกนะ คนแรกเลยเนี่ย” ดูเหมือนไอ้โหดของผมจะเขิน หน้าแดงหูแดงใหญ่ ผมเลยดึงมือข้างนึงออกจากการกอบกุมแล้วเอื้อมไปจับแก้มอีกฝ่ายไว้ ธีร์ก็ตอบรับโดยการวางมือลงบนหลังมือของผมพร้อมกับเอียงหน้ามาจูบลงบนฝ่ามือ ผมยิ้มให้กับกิริยานั้น “และอยากจะบอกว่ารักมาก” สิ้นคำพูดผมโถมตัวเข้าไปกอดอีกฝ่ายจนล้มลงไปบนโซฟาตัวยาวใหญ่ด้วยกัน หน้าแนบอกอีกฝ่ายจนรับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่แรง เช่นเดียวกันกับหัวใจของผมที่ทั้งเต้นแรงไปกับคำว่ารักที่อีกฝ่ายมอบให้ไม่แพ้กัน “เหมือนกัน” เสียงของผมอู้อี้อยู่กับอกของธีร์จนอีกฝ่ายต้องยกตัวผมขึ้นมาจากอกแล้วจ้องมองด้วยรอยยิ้ม “จูบนะ” ไม่ทันรอฟังคำตอบ ธีร์ก็ฉกวูบลงบนเรียวปากบางของผม ลากไล้ไปตามริมฝีปากขบเม้มเบาๆ ก่อนแทรกลิ้นร้อนเข้าไปเกี่ยวเล่นกับลิ้นของผม สร้างความซาบซ่านแปลกใหม่ทั้งที่นี่ก็ไม่ใช่จูบแรกของเราสองคน แต่เป็นจูบแรกที่เราสองคนทำไปด้วยความรัก ธีร์เริ่มรุกหนักขึ้นเมื่อฝ่ามือหนาไม่ได้หยุดอยู่กับที่เหมือนเมื่อแรกเริ่ม กลับปัดป่ายลูบไล้ตามแผ่นหลังของผมอย่างถือสิทธิ์ และท่าทางของเราสองคนตอนนี้ก็ช่างล่อแหลมซะเหลือเกิน เมื่อผมนอนทับร่างของธีร์ไว้ ร่างกายแนบไปกับร่างกายอีกฝ่ายอย่างแนบชิด “อือ...อื้ม” จนผมเริ่มที่จะหายใจไม่ออกต้องครางประท้วงออกมา ธีร์เลยยอมปล่อยริมฝีปากให้เป็นอิสระ หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ธีร์มองหน้าผมยิ้มๆ ดวงตาพราวระยับก่อนไล้นิ้วไปริมฝีปากที่ผมคิดว่าคงจะแดงและบวมเป่งเพราะฤทธิ์จูบเมื่อกี้ “คราวหน้าจะไม่หยุดแค่จูบแล้วนะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD