ตอนที่ 13 Tee part

3904 Words
บทที่ 13 Tee part ท่าทีที่แปลกไปของแยมใช่ว่าผมจะดูไม่ออกว่ามีเรื่องให้กลุ้มใจหรือวิตกกังวล เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร และไม่อยากจะคาดคั้นถ้าหากแยมยังไม่พร้อมหรือไม่อยากจะบอก วันนั้นผมนั่งทำงานอยู่ในห้องสโมฯ จนถึงเย็น แยมก็นั่งอยู่ในห้องกับผมด้วยโดยไม่ยอมออกจากห้องไปไหนจนผมทำงานเสร็จถึงได้ออกจากมหาวิทยาลัย หลังจากกินข้าวกันเสร็จผมก็ไปส่งแยมที่คอนโด แยมดูสบายใจขึ้นมากจนเหมือนจะปกติทุกอย่าง แต่ผมรู้ว่าที่จริงแล้วมันยังไม่ปกติเหมือนที่แสดงออกมา ผมเดินไปส่งแยมที่ห้องเลยถือโอกาสไปเยี่ยมไอ้โจ้เลย เพราะมันโทรมาบอกแยมเมื่อตอนสี่โมงเย็นว่าไม่สบายให้ซื้อข้าวซื้อยาไปให้มันด้วย ร้อยวันพันปีไอ้โจ้ไม่เคยป่วยกับใครเขา แต่วันนี้ผมเห็นมันนอนคลุมโปงอยู่บนเตียง หน้าซีดกับตัวรุม ๆ เลยได้รู้ว่ามันป่วยจริง แยมเลยจัดการให้คนป่วยได้กินข้าวกินยาแล้วปล่อยให้มันนอนต่อ มันบอกเดี๋ยวมันก็หายทันแข่งบาสรอบชิงชนะเลิศแน่นอน ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรแค่มันหายป่วยก็พอแล้ว ผมกลับถึงคอนโดตัวเองประมาณสองทุ่ม จัดการอาบน้ำทำธุระอะไรต่าง ๆ เสร็จก็เดินออกมานั่งตรงโซฟาหน้าทีวี ไม่ได้ดูทีวีหรอกแต่หยิบโน้ตบุคออกมาเช็คข่าวสารบ้านเมืองอะไรนิดหน่อยจนรู้สึกถึงแรงสั่นของโทรศัพท์ครูดไปมาบนโต๊ะหน้าโซฟา เปิดออกมาดูปรากฏว่าเป็นข้อความไฟล์ภาพจากเบอร์แปลก ชั่งใจนิดหน่อยเพราะผมไม่ค่อยสนใจพวกเบอร์แปลกเท่าไหร่ แต่ก็ตัดสินใจกดดู ผมนั่งนิ่งจ้องมองภาพในโทรศัพท์นั้นด้วยความรู้สึกหลากหลายตีวนกันอยู่ในอก ภาพที่แยมถูกไอ้เด็กนั่นหอมแก้ม นั่นทำให้ผมรู้ทันทีว่าไอ้อาการแปลก ๆ ที่แยมแสดงออกมาในวันนี้มันมาจากสาเหตุใด คิดว่าผมจะโกรธแยมเหรอที่ไม่ยอมบอกผมว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เปล่าเลย ผมไม่โกรธแยมเลยสักนิด ผมเข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมแยมถึงเลือกที่จะปิดผม แต่คนที่ทำให้ผมโกรธคือไอ้เด็กเวรนั่นต่างหาก ดูก็รู้เลยว่ามันตั้งใจที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้แล้วมันก็ตั้งใจที่จะถ่ายรูปนี้เพื่อส่งให้ผมดู คงคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะทำให้ผมกับแยมทะเลาะกัน แต่ไม่หรอก เพราะผมมีเหตุผลพอที่จะไม่ทำตัวงี่เง่าให้มันได้ใจเป็นอันขาด RRRRRRRRRRR เสียงโทรศัพท์ในมือดังขึ้นทำลายความเงียบและความคิด ก่อนตัดสินใจรับสายเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรมา “ว่าไง” (ได้เรื่องแล้วครับเฮีย) “ใช่ที่กูบอกไหม” (ใช่เลยเฮีย รายละเอียดอยู่ที่ผม เฮียจะมาเอาเองหรือให้ผมส่งไปให้) ปลายสายถามกลับ “ส่งมาแล้วกัน กูไม่ว่างไปเอา” ปลายสายตอบรับก่อนขอตัววางสายไป ผมจึงต่อสายหาแยมเพื่อบอกฝันดีก่อนเข้านอน คุยกันนิดหน่อยให้พอชื่นใจจะได้นอนหลับฝันดี วันนี้ช่วงเช้าผมมีแข่งบาสเก็ตบอลกับสีเหลือง รอบนี้ไอ้โจ้ไม่ได้ลงแข่งด้วยเพราะมันยังไม่หายป่วย ผมเลยต้องเป็นกัปตันทีมแทน เกมส์วันนี้ก็ไม่ได้หนักเท่ารอบแรก สีของผมชนะไปได้อย่างสบาย ๆ รอแข่งรอบชิงชนะเลิศอีกทีวันมะรืน ส่วนแยมก็ยังคงทำหน้าที่ที่เต็นท์พยาบาลช่วงเช้าทุกวัน ผมก็มานั่งเสนอหน้าที่เต็นท์ทุกเช้าเหมือนกัน เรียกว่ามาเฝ้าเลยก็ได้เพราะชอบมีพวกที่เข้ามาตอดเล็กตอดน้อยให้รำคาญสายตาอยู่บ่อย ๆ แม้แยมจะไม่เล่นด้วยไปกับพวกนั้นก็เถอะ แต่ผมก็ไม่ชอบอยู่ดี เห็นแล้วมันหงุดหงิด ก็หึงนั่นแหละครับ ผมเลยมานั่งให้เห็นซะเลยว่าคน ๆ นี้น่ะของผม ห้ามใครยุ่ง พอตกบ่ายก็ลากแยมไปอยู่ที่ห้องสโมฯ ผมต้องเคลียร์งานให้เหลือน้อยที่สุดเพราะหลังจากเสร็จกีฬาสีแล้วอีกสองอาทิตย์ก็จะเข้าสู่ช่วงสอบระหว่างภาค เพราะฉะนั้นมีเวลาเมื่อไหร่ก็ต้องรีบเคลียร์งานเพื่อจะได้เตรียมตัวสอบได้อย่างเต็มที่ และช่วงนี้ผมต้องหากำลังใจจากไอ้หน้าหวานสักหน่อยเพราะเดี๋ยวต้องแข่งบาสเก็ตบอลรอบชิงวันมะรืน กลัวไม่มีแรงลงแข่ง ในที่สุดการแข่งขันบาสเก็ตบอลก็มาถึงรอบชิงชนะเลิศ วันนี้ทีมสีฟ้าซึ่งเป็นทีมที่ผมอยู่แข่งกับทีมสีเขียว ก่อนหน้านี้ช่วงเช้ามีแข่งไปแล้วคู่นึงเป็นการแข่งชิงที่สาม คู่ของผมแข่งช่วงบ่าย บรรยากาศในวันนี้คึกคักเป็นพิเศษตั้งแต่เช้าแล้ว วันนี้ผมอยู่ที่สนามกีฬาทั้งวันเพราะคนเยอะเป็นพิเศษเนื่องจากมีการแข่งกีฬารอบชิงชนะเลิศกันหลายรายการ ต้องคอยสอดส่องเพื่อป้องกันเหตุวุ่นวาย ส่วนวันพรุ่งนี้มีเก็บตกบ้างนิดหน่อย ที่เหลือก็เป็นการมอบเหรียญรางวัลและพิธีปิด ช่วงเช้าผมเดินไปหาแยมที่เต็นท์เป็นระยะ ๆ เพราะไม่สามารถมานั่งเฝ้าได้ทั้งช่วงเลยฝากไอ้มินกับแก๊งนางคว้าให้ช่วยกันไอ้พวกตอดเล็กตอดน้อยให้หน่อย ซึ่งพวกนี้ก็เต็มใจทำให้เต็มที่เพราะพวกนี้ก็ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับไอ้หน้าหวานของทุกคนเหมือนกัน วันนี้ผมพลาดอยู่อย่างนึงคือ ผมไม่รู้เลยว่าไอ้เด็กเฟิร์สอยู่ทีมบาสเก็ตบอลสีเขียว ซึ่งเป็นทีมที่ผมจะแข่งด้วยในช่วงบ่าย เกมส์ที่ผ่านมาผมแค่ลงแข่งเสร็จก็ต้องไปเคลียร์งานที่ห้องสโมฯ เลยไม่ได้ดูอีกสองทีมแข่งกัน เลยไม่รู้ว่าแต่ละสี แต่ละทีมมีใครลงแข่ง แยมอยู่กับผมตลอดช่วงพักกลางวัน ที่จริงผมหนีบไว้เองแหละ ไม่อยากให้ไปไหน ไม่อยากให้ห่างตัว ผมหวงของผม ซึ่งแยมก็เข้าใจผมดี อยู่ด้วยกันตลอดทั้งชั่วโมง คงไม่อยากให้ผมเสียสมาธิก่อนลงแข่ง เหลือเวลาอีกสิบนาทีก่อนลงแข่ง ตอนนี้ทีมผมทั้งหมดนั่งทำสมาธิกันอยู่ที่ห้องเก็บตัวนักกีฬาประจำสีของตัวเอง ก่อนหน้านี้ไอ้โจ้นัดรวมพลวางแผนการแข่งกันเรียบร้อยแล้ว วันนี้มันก็มาเป็นกัปตันทีมเหมือนเดิมครับเพราะหายป่วยแล้ว “ธีร์” ผมหันไปตามเสียงเรียก ฟอด โดนจู่โจมที่แก้มโดยไม่ทันตั้งตัว ตกใจนิดหน่อย ไม่คิดว่าไอ้หน้าหวานจะให้กำลังใจกันแบบนี้ อาจเป็นเพราะตอนนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจใครกันด้วยเลยกล้าทำแบบนี้ได้ แต่ผมก็ชอบนะ ที่จริงอยากได้มากกว่านี้อีก แต่อดใจไว้ก่อนรอขอรางวัลตอนชนะทีเดียว “สู้ ๆ นะ” ให้กำลังใจผมแต่ตัวคนให้กำลังใจเขินหน้าแดงมาก ๆ เห็นแล้วหมั่นเขี้ยวอยากจับมาจูบมาหอมให้ปากช้ำแก้มช้ำ แต่ก็ต้องอดใจไว้เพราะที่นี่ในมหาวิทยาลัยเราต้องให้เกียรติสถานที่หน่อย “ถ้าธีร์ชนะ แยมมีรางวัลให้หรือเปล่าครับ” ผมแกล้งหยอดขอรางวัลเผื่อไว้ แยมนิ่งคิดไปนิด “ให้ชนะก่อนเถอะแล้วค่อยมาขอรางวัล” “แล้วถ้าชนะล่ะ แยมจะให้อะไร” ผมยังไม่เลิกเซ้าซี้ ที่จริงก็ไม่ได้หวังจะได้รางวัลอะไรหรอกครับ แค่แกล้งไปอย่างนั้นแหละ เห็นอีกฝ่ายเขินหน้าแดงแล้วอดแกล้งไม่ได้ “จะเอาอะไรล่ะ ชนะให้ได้ก่อนเถอะอยากได้อะไรเดี๋ยวให้หมดเลย” แยมบอกออกมา แบบนี้ก็เข้าทางผมสิ “อย่าคืนคำล่ะ” ผมแปะโป้งสัญญาไว้ แยมหัวเราะขำกับท่าทางแปะโป้งแบบเด็ก ๆ ของผม “อย่าแพ้เขาล่ะ” แยมโบกมือให้ก่อนขอตัวออกจากห้องพักนักกีฬาไปหาที่นั่งข้างสนามเพื่อรอเชียร์พวกผม “ครับ” ผมตอบรับและรอเวลากรรมการเรียกนักกีฬาทั้งหมดลงสนาม “พร้อมนะ” ไอ้โจ้เดินมาตบไหล่ผม ก่อนพยักเพยิดไปทางอีกฝั่งของสนาม “กูพร้อมเสมอ” ผมตอบ “ใจร่ม ๆ ไว้นะมึง กูอยากให้มึงชนะทั้งในเกมส์และนอกเกมส์” ไอ้โจ้บอกผมอย่างเตือนสติ “ก็ถ้ามันเล่นตามกติกากูก็พร้อมที่จะเล่นกับมันตามกติกาเหมือนกัน” “เอาเถอะ เดี๋ยวพวกกูจะคอยระวังให้ มึงก็อย่าอารมณ์ร้อนล่ะกัน” ไอ้โจ้ตบไหล่ผมอีกสองสามทีก่อนไปยืนประจำตำแหน่งของตัวเอง ผมและคนอื่น ๆ ก็ไปประจำในที่ของตัวเองเหมือนกัน และเหมือนที่ผมคาดไว้ไม่ผิด เพราะคนที่ประกบผมคือไอ้เฟิร์ส ก่อนหน้านี้ตอนที่วางแผนการแข่งขันกันอยู่นั้นไอ้ปืน เพื่อนสาขานิเทศศาสตร์พ่วงด้วยตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยแอบมากระซิบว่าให้ระวังตำแหน่งของผมไว้เพราะตัวประกบตำแหน่งนี้เก่งใช้ได้ และแน่นอนผมเดาเอาไว้ถูกด้วยว่ามันต้องเป็นไอ้เฟิร์ส “ระวังของรักจะพรากจากอกนะครับท่านประธาน กูขอเตือนด้วยความหวังดี” ตอนนี้มันกำลังยืนประจันหน้ากับผมอยู่กลางสนาม ไอ้เฟิร์สมาประจำตำแหน่งของมันนั่นคือการตามประกบผมไม่ให้ห่าง “กูก็ขอเตือนมึงด้วยความหวังดี อย่ายุ่งกับกูให้มากนัก กูไม่ได้ใจดีอย่างที่มึงเห็นหรอกนะ” ผมไม่ได้ขู่ ก็แค่เตือน “หึ กูไม่ได้อยากยุ่งกับมึงหรอกนะ คนที่กูจะยุ่งด้วยคงไม่ต้องบอกมึงหรอกนะว่าใคร” มันยังคงยั่วโมโหผมแล้วเสมองไปยังทิศทางที่ไอ้หน้าหวานยืนอยู่ และฝ่ายนั้นก็มองมาทางผมอยู่เช่นกัน ดูจากสีหน้าแล้วไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คงกลัวผมมีเรื่อง “กูเตือนมึงดีดีแล้วนะ ถ้ามึงไม่หยุดรังควานคนของกู มึงไม่ตายดีแน่” ผมพูดเสร็จมันทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเกมส์การแข่งขันกำลังเริ่มขึ้น ผ่านไปสองควอเตอร์ที่เรียกได้ว่าหืดขึ้นคออย่างมาก แม้ว่าสีของพวกผมจะชนะทั้งสองควอเตอร์ก็ตาม แต่ก็ชนะแบบเฉียดฉิว ฝ่ายตรงข้ามเก่งมากชนิดที่ว่าทำให้ไอ้โจ้เครียดได้ เพราะปกติไอ้โจ้จะเล่นเพื่อความสนุกมากกว่าจะคิดเรื่องแพ้ชนะ แต่ครั้งนี้ต่างกันมันดูจริงจังและเอาจริงเอาจังกับการแข่งขันครั้งนี้มาก จนพวกผมที่เป็นลูกทีมยังพลอยเครียดตามไปด้วย ระหว่างพักครึ่งก่อนจะขึ้นควอเตอร์ที่สาม แยมเดินมาหาผมตรงที่พักนักกีฬาพร้อมด้วยไอ้มินและแก๊งนางคว้ารวมถึงไอ้ปืนก็ตามมาด้วยเช่นกัน “ไหวไหม” แยมนั่งลงข้าง ๆ ผมพร้อมกับยื่นขวดน้ำเกลือแร่ขวดเล็กให้ ผมรับมาดื่มจนหมดขวด “ก้มหน้าลงหน่อย” แยมสั่ง ผมเลยหันหน้าไปตามคำสั่งก่อนเห็นว่าอีกฝ่ายถือผ้าเช็ดขนหนูผืนเล็กไว้ในมือ ผมเลยก้มหน้าให้อีกฝ่ายเช็ดหน้าให้อย่างเต็มใจ เรียกเสียงแซวจากเพื่อนร่วมทีมและพวกเพื่อน ๆ ในกลุ่มได้เป็นอย่างดี คนข้างตัวของผมก็เขินหน้าแดงใหญ่แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนผมก็เขินนะ แต่ดีใจมากกว่าที่อีกฝ่ายแสดงออกว่าเราสองคนรักกันให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้ “สู้ ๆ นะ ถ้าชนะจะเอาอะไรบอกมาได้เลย” แยมว่าออกมาอย่างใจป้ำ แบบนี้ผมก็สู้ไม่ถอยสิครับ ไม่ชนะไม่ได้แล้ว “สัญญาแล้วนะ คอยดูชัยชนะของพี่ธีร์ก็แล้วกันนะครับน้องแย้ม” ผมพยายามพูดให้ติดตลกเลยได้รอยยิ้มหวาน ๆ ตอบกลับมาให้ชื่นใจ หมดเวลาพักครึ่ง พวกผมทั้งหมดรวมตัวกันเพื่อเรียกพลังและเรียกขวัญกำลังใจก่อนลงไปแข่งในควอเตอร์ที่สาม ควอเตอร์นี้พวกผมต้องชนะมีคะแนนนำให้เยอะที่สุดเพื่อที่ว่าจะได้อุ่นใจในควอเตอร์ที่สี่ แม้ว่าจะเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้แต่พวกผมก็ต้องพยายามกันให้เต็มที่ ผ่านไปแค่ห้านาทีแรกเกมส์ก็บุกหนักมาก ทีมสีฟ้าและสีเขียวเริ่มเปลี่ยนตัวนักกีฬากันบ้างแล้วเพราะแรงกดดันมีมากขึ้นทำให้นักกีฬาแต่ละฝ่ายเครียดกับการแข่งขันทำให้พลาดกันได้ง่าย ๆ สีฟ้ายังคงมีผมกับไอ้โจ้ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนตัว และแน่นอนว่าสีเขียวก็ยังคงมีไอ้เฟิร์สอยู่ในสนามเช่นกัน มันอึดพอควร พลัก ตุบ “โอ๊ย” แรงปะทะจากข้างหลังกระแทกเข้าแผ่นหลังด้านซ้ายของผมเข้าอย่างจัง ทำให้ผมส่งลูกพลาด และตอนนี้ผมจุกจนต้องล้มลงไปนั่งใช้เข่ายันไว้ข้างนึง “ไอ้ธีร์” ไอ้กิจอยู่ใกล้ที่สุดวิ่งเข้ามาดูผมที่ล้มลงไปนั่งกุมแถวสีข้างด้านซ้าย ตอนนี้เกมส์ยังไม่หยุด แต่ละฝ่ายยังคงส่งลูกกันต่อ ผมคิดว่ากรรมการน่าจะไม่เห็นว่าผมโดนอีกฝ่ายกระแทกจึงไม่ได้ให้ฟาล์ว และคนที่เข้ามากระแทกผมก็ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ไอ้เฟิร์สนั่นแหละ ตอนนี้มันก็ทำหน้าเยาะเย้ยใส่ผมอยู่ไม่ไกล “ไอ้เหี้ยนั่นเล่นสกปรก เดี๋ยวกูต่อยแม่ง” ไอ้กิจทำท่าจะเข้าไปมีเรื่องกับอีกฝ่ายจนผมต้องดึงมันไว้ก่อน เดี๋ยวจะซวยกันทั้งทีม “เดี๋ยวไอ้กิจ ให้ชนะก่อน กูไม่ปล่อยมันไว้แน่” ไอ้กิจมีท่าทีลังเลนิดหน่อย หน้าตามันยังไม่หายโกรธขึ้ง “มึงไหวแน่นะ” “เออ” ผมเออออออกไปเพื่อให้มันสบายใจก่อนกลับมาตั้งหน้าตั้งตาเล่นต่อ แต่ก็ระวังตัวเพิ่มมากขึ้น ป้องกันอีกฝ่ายเล่นสกปรกอีก ควอเตอร์นี้ไม่เป็นไปตามที่คาดเพราะเราแพ้ไปด้วยแต้มห่างกันเกือบยี่สิบแต้ม ทีมสีฟ้าของผมโดนปะทะบ่อยมากจนแต่ละคนเจ็บไปตาม ๆ กัน ผมว่าอีกทีมเล่นแรงเกินไปหน่อย เพราะทีมผมนี่บอบช้ำมาก ร่องรอยฟกช้ำเห็นได้ชัด “เจ็บมากไหม ขอดูหน่อย” แยมถามเมื่อผมนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ ๆ แล้วยังพยายามจะเลิกเสื้อของผมขึ้นเพื่อดูร่องรอย ผมว่ามันต้องเป็นรอยช้ำแน่เลยไม่ได้ให้แยมดูเดี๋ยวจะคิดมากอีก “ไม่เป็นไรครับ ไม่เจ็บหรอก” แยมดูไม่ค่อยเชื่อผมเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ เลยหาน้ำหาผ้าเย็นมาให้ “ไอ้ธีร์ ต่ออีกควอเตอร์ไหวไหมมึง กูไม่อยากเปลี่ยนมึงออก” ไอ้โจ้เดินมาถามผมหลังจากที่มันจัดการหาน้ำหาผ้าเย็นมาจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว “ไหวสิ ควอเตอร์หน้าพวกกูต้องชนะเท่านั้นมึงก็รู้” “ดี เดี๋ยวไอ้กิจ ไอ้เล็กแล้วก็ไอ้ทศลงครบเวลาเหมือนกัน เพราะกูดูท่าคนอื่นจะไม่ไหวกันแล้ว” ผมหันไปมองคนอื่นตามที่ไอ้โจ้บอก ก็จริงอย่างที่มันว่า คนอื่น ๆ ดูสะบักสะบอมกันพอสมควร “มึงไหวนะโจ้ หน้ายังซีดอยู่เลย” แยมถามออกไปเมื่อเห็นสีหน้าของไอ้โจ้ชัดเจน ก่อนหน้าที่จะลงแข่งผมก็ถามมันแล้วแต่มันดื้อ บอกว่ารอบชิงมันจะลงเล่นให้ได้ และผมก็ห้ามมันไม่ได้ด้วย “ไหวแยม งานนี้พวกกูต้องชนะ เตรียมงานเลี้ยงรอได้เลย” ไอ้โจ้ว่าพร้อมเดินมาขยี้หัวแยมอย่างมันส์มือ กับไอ้โจ้นี่ผมไม่หึงหรอกครับ เพราะไอ้โจ้มันรักและดูแลแยมมาตั้งแต่อนุบาล ก็นะ มันเห็นแยมเป็นน้องชายมันมาตั้งแต่ต้น จะให้ผมหึงคนที่เปรียบเสมือนพี่ชายแฟนได้อย่างไรล่ะครับ “เออ ให้ชนะเถอะ เดี๋ยวเป็นเจ้ามือเอง” น้องแย้มของผมใจป้ำอีกแล้ว แต่ผมไม่ได้ต้องการงานเลี้ยงหรอกเพราะผมมีของรางวัลที่จะขออยู่แล้ว ถ้าชนะล่ะก็นะ “อ้อ เลี้ยงแค่พวกเรานะ ทั้งทีมคงไม่ไหว” เมื่อคำนวณแล้วว่ากระเป๋าแบนแน่ แยมเลยมีการต่อรองนิดหน่อย “มึงจนแน่แยม” ไอ้กิจที่เดินมาสมทบอีกคนร้องบอกมาแต่ไกลพร้อมหัวเราะเสียงดัง คนอื่น ๆ จึงพลอยหัวเราะตามไปด้วย ค่อยคลายเครียดไปได้เยอะแต่ก็เพิ่มแรงกดดันได้อีกมากโข เสียงนกหวีดของกรรมการเป่าปรี๊ดบ่งบอกว่าหมดเวลาพักแล้วและถึงเวลาของเกมส์ในควอเตอร์ที่สี่ นักกีฬาทั้งสองทีมจึงลงสนามไปประจำหน้าที่ของตน “เจ็บมากไหม เมี่อกี้น่ะ หึ แต่เดี๋ยวจะเจ็บมากกว่านี้อีกนะ” ไอ้เฟิร์สเดินมาประชิดตัวผมก่อนพูดกับผมให้ได้ยินกันแค่สองคน “ก็ต้องคอยดูว่ากูหรือมึง ที่จะเจ็บ” ผมพูดแค่นั้นก่อนกรรมการจะเป่านกหวีดเริ่มเกมส์ ควอเตอร์นี้ดุเดือดจริง ๆ จนบางทีผมก็เผลอคิดไปว่านี่แข่งกีฬาสีกันแน่เหรอ กีฬากระชับความสัมพันธ์หรือกีฬาสร้างศัตรูกันแน่ แต่ก็นั่นแหละ อย่างไรซะพวกเราทุกคนก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เกมส์เริ่มต้นไปได้แค่สามนาที ทั้งสองทีมได้ลูกโทษไปทีมละหนึ่งลูกจากการทำฟาล์วของทั้งสองฝ่าย เกมส์เริ่มดุเดือด ถึงเนื้อถึงตัวกันมากขึ้น ผมหมายถึงการปะทะกันนะครับ ทางผมก็เหมือนกัน พอเริ่มจับทางไอ้เฟิร์สได้ผมก็สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะกับมันได้เช่นกัน ไอ้โจ้กับไอ้ทศเป็นคนชู๊ตได้เยอะที่สุดโดยมีผม ไอ้เล็กและไอ้กิจคอยส่งลูกให้ตลอดและยังต้องคอยกันฝ่ายตรงข้ามที่คอยหาจังหวะเข้าปะทะใส่ทุกทีที่เผลอ เหลืออีกสามนาทีสุดท้ายของควอเตอร์นี้ คะแนนของทีมผมตามหลังอยู่เกือบสิบคะแนน พวกผมต้องเร่งทำแต้มให้ตีเสมอหรือนำให้ได้ก่อนที่จะหมดเวลา เพราะถ้าพวกผมแพ้ในควอเตอร์นี้ช่วงต่อเวลาทีมพวกผมนี่แหละจะเสียเปรียบ ตอนนี้ทุกคนในทีมของผมแทบจะไม่มีแรงเหลือกันแล้ว ที่เล่นอยู่ได้นี่ก็แรงใจล้วน ๆ ปรี๊ด “สีฟ้าสามแต้ม” ปรี๊ด “สีฟ้าสามแต้ม” ปรี๊ด “สีเขียวหนึ่งแต้ม” ปรี๊ด “สีฟ้าสามแต้ม” ปรี๊ด “สีเขียวสามแต้ม” เสียงขานคะแนนจากกรรมการดังอย่างต่อเนื่อง ผมเหลือบดูนาฬิกาข้างสนามก็เห็นว่าเหลือเวลาแค่น้อยนิดแล้ว ไม่ถึงหนึ่งนาทีเท่านั้น ส่วนคะแนนห่างกันห้าแต้มโดยที่ทีมของพวกผมตามหลังอยู่ “ไอ้ธีร์วิ่งไปรอหน้าแป้น” ไอ้ทศวิ่งเข้ามารับลูกตัดหน้าผมพร้อมตะโกนบอกให้ผมไปรอในตำแหน่งชู๊ต แต่ดูเหมือนไอ้เฟิร์สจะเดาทางออกมันเลยปล่อยไอ้ทศแล้ววิ่งมาประกบผมเหมือนเดิม แต่ผมไม่มีเวลามาสนใจมันแล้ว ณ ตอนนี้ เวลานี้ต้องทำคะแนนให้ได้มากที่สุดก่อนจะหมดเวลาการแข่งขัน พลัก ตุบ ผมเอื้อมมือจับลูกไว้ได้แต่ยังไม่ทันได้ยัดลงห่วง แรงปะทะตรง ๆ จากด้านหน้าทำให้ผมถึงกับตัวงอด้วยความจุกและเจ็บ การโดนต่อยท้องตอนที่ร่างกายกำลังยืดตัวและไร้การป้องกันทำให้ผมล้มลงไปทันที อ่า...ก็มีแอคติ้งให้โอเวอร์นิดหน่อย แต่ก็เจ็บจริงนั่นแหละครับ ตอนนี้เวลาก็จวนเจียนเหลือไม่ถึงห้าวินาทีด้วยซ้ำ ปรี๊ดดดดดด “เบอร์ 10 สีเขียว ฟาล์ว” โชคดีที่ครั้งนี้กรรมการเห็นเข้าพอดีทำให้ไอ้เฟิร์สได้ฟาล์วไป “เบอร์ 1 สีฟ้า ได้ลูกโทษสามแต้มสองลูก” สวรรค์เข้าข้างทีมของผมแล้วครับ แต่ก็สร้างแรงกดดันได้เพิ่มเข้าไปอีกเท่าตัวเลยทีเดียว ผมรับหน้าที่ชู๊ตลูกโทษทั้งสองลูกนี้เอง บอกตรง ๆ ว่าผมกดดันมาก “เบอร์ 1 สีฟ้า พร้อม” ปรี๊ด ตึง “เฮ!” ลูกแรกลงห่วงไปได้อย่างสวยงาม เสียงทุกคนข้างสนามและในสนามดังขึ้นด้วยความดีใจ “เบอร์ 1 สีฟ้า ลูกโทษอีกลูก พร้อม” รอบข้างเงียบเสียงลงอย่างทันตา แต่ละคนลุ้นกันตัวโก่ง ผมเหลือบไปเห็นแยมมายืนชิดขอบสนาม ในมือกำผ้าขนหนูไว้แน่น จ้องมองผมไม่วางตา เมื่อแยมเห็นว่าผมมองอยู่เจ้าตัวยิ้มให้ผมอย่างให้กำลังใจพร้อมชูกำปั้นให้อย่างทะเล้นแล้วพูดไม่มีเสียงที่ผมอ่านปากได้ว่า สู้ ๆ ผมเลยพยักหน้ารับกำลังใจนั้นไว้อย่างเต็มเปี่ยม ปรี๊ด ตึง ปรี๊ดดดดดด “หมดเวลา” “สีฟ้าชนะไปด้วยคะแนน 81-80” “เฮ!” เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจของสมาชิกสีฟ้าทั้งในสนามและนอกสนามดังขึ้นมาทันทีหลังจากที่เงียบสงัดรอผมชู๊ตลูกสุดท้ายอย่างลุ้นสุดตัว เพื่อนร่วมทีมต่างพากันมาร่วมแสดงความดีใจที่ผมสามารถชู๊ตทั้งสองลูกได้อย่างสวยงาม หลังจากผ่านการตบหัวตบไหล่แสดงอาการดีใจจากเพื่อนร่วมทีมกันแล้วก็ถึงเวลาที่หวานใจของผมจะแสดงความยินดีกับผมแล้วล่ะ “ดีใจด้วย ชนะแล้วนะ” แยมยิ้มเต็มใบหน้าจนตาแทบปิด ผมหมั่นเขี้ยวเลยขยี้ผมอีกฝ่ายซะแรง แต่แยมก็ไม่ได้ขัดขืนกลับหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน “ขอกอดหน่อย” ผมขอออกไป แยมมีท่าทีลังเลนิดหน่อย หันมองซ้ายมองขวาเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครสนใจใครเพราะแต่ละคนมัวแต่พูดคุยถึงเรื่องชัยชนะ เรื่องกินเลี้ยงกันอย่างเสียงดัง ก็พยักหน้าอนุญาตให้ผมกอดได้ ณ ตอนนี้ถึงตัวผมเองจะเต็มไปด้วยเหงื่อก็เถอะ แต่ผมก็ไม่สนแล้วว่าคนตรงหน้าจะเปียกเหงื่อผมไปด้วยหรือเปล่า ขอแค่ได้กอดร่างบางตรงหน้าให้แน่นที่สุด กอดไว้ให้นานที่สุดผมก็มีความสุขแล้ว “อย่าลืมรางวัลล่ะ” ผมก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูพร้อมกับขโมยหอมแก้มไปฟอดนึงให้ชื่นใจ คนในอ้อมกอดดิ้นขลุกขลักนิดหน่อยแต่ก็ยอมให้ผมกอดต่อแต่โดยดี
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD