ดึกแล้วแต่เพราะนอนไม่หลับในหัวมีเรื่องให้คิดมากมายยาหยีเลยออกมาเดินเล่นรับลม แต่ว่าไม่คิดว่าจะมีพี่อคินนั่งสูบบุหรี่อยู่ก่อนแล้วอย่างเงียบๆ
ยาหยีไม่อยากรบกวนเลยตัดสินใจก้าวถอยหลังจะเดินกลับห้องส่วนตัวอย่างเงียบเชียบที่สุด ทว่า แม้เสียงฝีเท้าของเธอจะเบาหวิวแค่ไหนดูท่าแล้วเขาก็ยังได้ยินอยู่ดี
"ทำไมจะกลับซะล่ะ?"
ก้นบุหรี่ถูกบดขยี้ให้ไฟมอดก่อนจะถูกขว้างปาลงไปในถังขยะใกล้ๆเมื่อเห็นว่ามีบุคคลอื่นเดินเข้ามา สีหน้าเคร่งขรึมอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงวอร์มสีเทาเข้มสบายๆ
"คือหนูนอนไม่หลับเลยออกมาเดินเล่นเรื่อยเปื่อยค่ะ"
"นอนไม่หลับก็เป็นเรื่องปกติ ที่นี่คงจะแปลกที่สำหรับเธอ...อืม..อีกหน่อยก็ชิน"
กล่าวขึ้นโดยที่ไม่หันหน้ามามองยาหยีแม้แต่นิด อีกทั้งสีหน้าของอคินยังคงเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา จนยาหยีนึกอยากจะถามเขานักว่าเขามีเรื่องเครียดอะไรนักหนาทำไมถึงต้องทำหน้าขึงขังแบบนั้นตลอดเวลาด้วยแต่ก็ไม่กล้าถามออกไปอยู่ดี
"พี่คินไม่กลัวว่าหยีจะเป็นตัวซวยเหมือนที่คนอื่นพูดกันหรือคะ"
ยาหยีตัดสินใจถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมาอย่างน้อยเธอก็ควรจะรู้ว่าการที่เขาแสดงอาการเย็นชาใส่เธอแบบนี้นั้นเป็นเพราะว่าเขาเต็มใจหรือไม่ที่มาทำหน้าที่ผู้ปกครองจำเป็นแบบนี้โดยเธอเองก็หาใช่เป็นญาติพี่น้องของเขาแท้ๆ หากไม่เต็มใจบางที..เธออาจจะมีวิธีและทางออกให้เขา ด้วยการบอกให้อคินปล่อยเธอจากไปตามทางของตัวเอง
"เลิกคิดเรื่องไร้สาระพวกนั้นแล้วหันมาสนใจกับเรื่องเรียน หน้าที่ของเธอมีอย่างเดียวคือต้องเรียนให้จบมหาวิทยาลัยภายในสามปีครึ่งเท่านั้น"
"หนูกลับไปเรียนที่บ้านได้ไหมคะ"
"ไม่ได้..."
ตอบกลับมาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบเหมือนเดิม ราวกับว่าเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ คาดเดาไม่ได้เลยแม้แต่นิดว่าตอนนี้พี่คินกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
"ทำไม..คะ"
"เพราะบ้านหลังนั้นเปลี่ยนเจ้าของเรียบร้อยแล้ว"
ยาหยีรู้สึกตกใจ ไหนป้าวรรณบอกว่า เธอสามารถกลับไปเยี่ยมบ้านได้ตลอดเวลา แล้วนี่..บ้านที่เธออาศัยมาตั้งแต่เกิด..ถูกขายไปแล้วอย่างนั้นหรือ
"หนูขอซื้อบ้านคืนค่ะ!"
มุมปากเหยียดขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้นของยาหยี
"เอาเงินที่ไหนมาซื้อ?"
ยาหยีลืมไปว่าเธอไม่มีเงินเลย แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเงินที่ขายกิจการไปน่าจะพอมีเหลืออยู่บ้างหลังจากใช้หนี้จนหมด
"เงินที่พี่ชายของเธอกู้จากฉันไป...ขายกิจการทุกอย่างยังไม่พอใช้หนี้เลย"
"หนี้อะไรคะ?"
ตกใจเป็นครั้งที่สอง..เพราะเรื่องหนี้สินของครอบครัวเธอไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
"หนี้จากการที่ธุรกิจของครอบครัวเธอล้มละลาย..คงไม่รู้เรื่องนี้สินะ..ไม่แปลกที่ภูริชจะไม่บอกให้เธอรับรู้ เพราะเธอยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจเรื่องราวเหล่านั้น"
"แล้วทำไมพี่ภูถึงต้องให้หนูมาอยู่กับพี่คินด้วยคะ ถ้าสถานะของหยีเป็นแค่ลูกหนี้ของพี่คิน"
"สักวันเธอก็รู้เอง..ทำหน้าที่ของเธอให้จบ แล้ววันนั้นเธอจะรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง"
กล่าวจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงปรายตาหันมามองหญิงสาวนิดหน่อยก่อนจะเดินออกไป
"มันเรื่องอะไรกันแน่?"
ยาหยีพูดขึ้นเมื่อไม่มีบุคคลที่สองอยู่แล้ว ในหัวมีแต่คำถามเต็มไปหมดว่ามันเรื่องอะไรกันแน่และเหตุใดพี่คินถึงได้กลายเป็นคนเย็นชาใส่เธอ เธอทำผิดอะไรหรือเป็นเพราะหนี้สินที่ครอบครัวของเธอใช้คืนเขาไม่หมดอย่างนั้นหรือ หรือว่าต้องการให้ยาหยีใช้คืน แล้วเท่าไหร่ล่ะที่ยาหยีจะต้องใช้คืน
ได้แต่ตั้งคำถามซ้ำไปวนมาไม่จบสิ้นเธอเป็นเพียงแค่เด็กอายุ 18 จะหาเงินจากไหนมามากมายปานนั้นแน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่เงินแสนสองแสนมันอาจจะมากถึงหลักล้านและแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ล้านสองล้าน
"คุณอคินยังไม่บอกเงื่อนไขของคุณกับคุณหนูยาหยีอีกหรือครับ?"
ทนายจรงค์พูดขึ้นหลังจากที่วันนี้ถูกอคินเรียกเข้ามาพบ
"มันไม่ใช่เวลาที่ต้องมาพูดเรื่องนั้นตอนนี้ยาหยียังเด็กเกินไป"
อคินลุกขึ้นยืนทอดสายตาลงไปเบื้องล่างเขาอยู่ในออฟฟิศส่วนตัวที่เป็นตึกหลายสิบชั้น ออฟฟิศสำนักงานใหญ่ของเขาตั้งอยู่ในอำเภอเมืองของจังหวัดภูเก็ต
"ถ้าคุณไม่พูดหรือไม่บอกกล่าวเธอออกไปหลังจากนี้ถ้าเธอเกิดมีคนรักขึ้นมาคุณอคินจะทำยังไงเหรอครับ"
"มันจะไม่เป็นอย่างนั้น"
อคินตอบอย่างมั่นใจ จากข้อมูลที่รู้มาตลอดยาหยีเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนมากไม่เคยออกนอกกฏของภูริช เพื่อนของเขาแม้แต่น้อย
"สมัยนี้การติดต่อสื่อสารมันง่ายดายการที่เด็กคนหนึ่งจะมีคนรักมันไม่ได้ยากอะไรเลยครับ"
ทนายจรงค์เตือนอีกครั้ง
"ผมยังเชื่อในทฤษฎีที่ว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง"
"ผมก็หวังว่าเงินของคุณอคินจะซื้อได้ทุกอย่างจริงๆ"
คำพูดของทนายจรงค์ไม่ใช่ว่าไม่มีผลอะไรกับอคินเลยเพียงแต่เขาไม่ได้คิดไปถึงจุดนั้นสาวน้อยใสซื่อไร้เดียงสาอย่างยาหยี ไม่น่าจะมีแฟนไวปานนั้น
อีกอย่างของอะไรที่เป็นของเขามันก็ต้องเป็นของเขาวันยังค่ำไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือแม้กระทั่งยาหยีก็ตาม
"เอกสารเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ"
ทนายจรงค์วางแฟ้มเอกสารไว้บนโต๊ะทำงานของผู้เป็นนายก่อนจะหันไปเก็บเอกสารที่เหลือเข้าแฟ้มเก็บเอกสารส่วนตัว
"ผมจะไปต่างประเทศประมาณ 1 อาทิตย์ฝากคุณช่วยดูแลทางนี้แทนผมด้วย"
"ครับ"
ทนายจรงค์เป็นทั้งทนายส่วนตัวรวมไปถึงตำแหน่งผู้ช่วยเลขาในชีวิตส่วนตัวของเขาด้วย จึงไม่แปลกที่อคินจะกล้าพูดเรื่องส่วนตัวกับทนายจรงค์มากกว่าบุคคลอื่น
เรียกได้ว่าทนายจรงค์คือคนสนิทที่กุมความลับทั้งหมดของอคินเลยก็ว่าได้
"คนนี้หรือเปล่าที่ลือกันว่าเป็นเด็กเสี่ย"
ยาหยีมานั่งรับประทานอาหารที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัยก็ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาขึ้นมาทันที เธอไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่ากำลังโดนคนพวกนั้นพูดจาแซะกระแทกสะทั้นใส่
แต่ยาหยีก็เลือกที่จะเงียบไม่ตอบปากต่อคำ
"ใช่แล้วข่าวว่าเป็นถึงระดับผู้บริหารสูงสุดของปัญญาสกุลเชียวนะ...ก็คงจะเป็นตาแก่หงำเหงือกหัวล้านลงพุงใกล้ตาย"
เสียงหัวเราะเย้ยหยันพร้อมกับเสียงพูดจากระแทกกระทั้นดังออกมาจากนักศึกษากลุ่มนั้นไม่หยุดหย่อน
"เป็นฉันก็เอานะแกรวยขนาดนั้นใครจะโง่ปฏิเสธล่ะ"
"สมัยนี้เงินเท่านั้นที่ knock everything"
"รีบกอบโกยซะนะอีกไม่นานก็อาจจะโดนเสี่ยเท ว้ายยย!"
เสียงหัวเราะน่าเกลียดเย้ยหยันยังคงดังออกมาสลับกับคำพูดจาแซะไม่หยุด
ยาหยีนั่งฟังบทสนทนาเหล่านั้นด้วยความอดทนเธอกำหมัดแน่นจนถูกเล็บจิกเข้าเนื้อแม้จะรู้สึกเจ็บแปลบ..ก็ไม่เท่ากับเจ็บใจนี่เธอกลายเป็นเด็กเสี่ยไปแล้วอย่างนั้นหรือ
ยาหยีไม่ได้เจ็บใจที่โดนกล่าวหาว่าเป็นเด็กเสี่ยแต่ที่เธอเจ็บใจเพราะว่ามันไม่ได้เป็นความจริงแม้แต่น้อย เด็กเสี่ยอะไรแม้แต่หางตาพี่อคินยังไม่เคยมองเธอเลยด้วยซ้ำ
เธอเพิ่งเข้ามาเรียนอาทิตย์แรกยังไม่มีเพื่อนเลยสักคน..แต่เหมือนว่านอกจากไม่มีเพื่อนแล้วยังมีคนที่ไม่ชอบหน้าเธออยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งก็คือพวกนั้นที่กำลังนั่งนินทาเธออยู่อย่างสนุกปาก
"นั่งด้วยคนสิ"
ยาหยีเงยหน้าขึ้น
"เชิญจ้ะ... ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของที่ตรงนี้"
"ขอบใจนะ"
สาวหน้าใสตัวเล็กผิวขาวยิ้มขอบคุณยาหยีอย่างน่ารัก
"ฮาวี่ทางนี้ได้ที่นั่งแล้ว"
เธอหันไปเรียกเพื่อนอีกคนให้เดินเข้ามาหา หนุ่มหน้าใสย้อมผมสีบลอนด์ทองท่าทางจะดูเป็นสาวมากกว่าเป็นผู้ชายแมนๆยาหยีเลยเดาออกว่าหล่อนจัดอยู่ในจำพวก LGBTQ
"สวัสดีเราชื่อไข่มุกนี่เพื่อนเราชื่อฮาวี่"
ยาหยียิ้มพยักหน้าตอบรับคำแนะนำตัวเพราะเธอรู้จักสองคนนี้อยู่แล้วเนื่องจากเรียนร่วมห้องในคลาสวิชาเดียวกันบ่อยๆ
"เธอล่ะชื่ออะไรเหรอ?"
ไข่มุกหันมาถามชื่อของยาหยีบ้าง
"ยาหยี"
"ต่อไปนี้มาอยู่กลุ่มเดียวกับพวกเราก็ได้เราเห็นเธอไม่มีเพื่อน เป็นเด็กต่างจังหวัดใช่ไหมล่ะ?"
"รู้ได้ยังไงเหรอว่าเราเป็นเด็กต่างจังหวัด?"
"ก็นักศึกษาที่นี่ส่วนมากจะเป็นเด็กจากต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนทั้งนั้น"
ฮาวี่เป็นฝ่ายตอบแทนไข่มุก
"อ๋อ"
อีกกลุ่มเมื่อเห็นว่ายาหยีมีเพื่อนเข้ามาก็เริ่มถอยออกไปทีละคนสองคนจนไม่เหลือใครเลยสักคน แท้จริงแล้วเป็นเพราะฮาวี่กับไข่มุกที่ทนนั่งฟังพวกนั้นแซะกระทบยาหยีไม่ได้อีกต่อไป จึงเดินมาหายาหยีเพื่อให้พวกนิสัยไม่ดีเห็นว่ายาหยีไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ก็เลยกลายเป็นเพื่อนกันจริงๆไปโดยปริยาย