ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น
ร้านเจ๊มะลิ
วันนี้มีแม่ค้าสาวสวยในชุดเสื้อยืดรัดรูปอวดส่วนเว้าโค้งของสรีระบวกกับกางเกงขาสั้นกุดโชว์เรียวขาขาว ช่างล่อตาล่อใจพวกหนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านให้แห่กันมาช่วยอุดหนุนซื้อข้าวของส่งผลให้บรรยากาศภายในร้านดูคึกคักมากกว่าปกติ
เพราะช่วงนี้เป็นช่วงเกี่ยวข้าวทำให้ทางบ้านเธอค่อนข้างวุ่น ประจวบเหมาะกับเป็นวันหยุดยาวของทางมหาวิทยาลัย น้ำแข็ง ลูกสาวคนโตของเสี่ยนพและเจ๊มะลิ จึงใช้โอกาสนี้ช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้านด้วยการทำหน้าที่เป็นแม่ค้าอย่างในวันนี้
เรียวมือเล็กจัดการหยิบขวดเบียร์สามขวดใส่ถุงพลาสติก ก่อนจะยื่นให้ลูกค้าขาประจำที่มักมาอุดหนุนเพื่อหวังจะจีบลูกสาวเจ้าของร้าน ซึ่งปีนี้ก็เข้าปีที่สามแล้วกับการตามตื๊อสาวน้อยอย่างน้ำแข็งแต่หนุ่มขี้เมาผู้นี้ก็ยังไม่ได้ใจเธอสักที
“สองร้อยพอดีจ้ะ”
“ให้สามร้อยเลยครับสำหรับคนงาม”
“อย่ามาเว้าเถาะ อันเก่าที่เซ็นไว้กะบ่ทันจ่ายอยู่” (อย่ามาพูดเถอะอันเก่าที่เซ็นไว้ก็ยังไม่จ่ายเลย)
“อันนั้นเซ็นแต่อันนี้ให้ย้อนความเสน่หาครับ” (อันนั้นเซ็นแต่อันนี้ให้เพราะความเสน่หาครับ)
“ปล่อย”
ขณะที่มือเล็กยื่นไปด้านหน้าเพื่อหวังจะรับเงิน แต่กลับถูกลูกค้าเจ้าเล่ห์ฉวยโอกาสด้วยการจับมือเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อย จนแม่ค้าหน้าใสต้องเอ่ยเสียงแข็งพร้อมกับถลึงตาใส่หนุ่มเจ้าเล่ห์ตรงหน้า ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายเกรงกลัวได้เลย
“บอกฮักก่อนอ้ายจั่งสิปล่อย” (บอกรักก่อนสิพี่ถึงจะปล่อย)
“กะหนูบ่ได้ฮักแล้วสิให้เว้าได้จั่งได๋” (ก็หนูไม่ได้รักแล้วจะให้พูดได้ยังไง)
พรึ่บ
“ขั่นสิมาแล้วเฮ็ดแบบนี้เทือหลังบ่ต้องมาแล้วเด้อ หนูบ่มัก!” (ถ้าจะมาแล้วทำแบบนี้ทีหลังไม่ต้องมาแล้วนะ หนูไม่ชอบ!)
คนตัวเล็กสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของหนุ่มขี้เมาอย่างแรงพร้อมกับเอ่ยตำหนิด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เพราะทุกครั้งที่ไม้มาอุดหนุนเธอก็มักจะเปลืองเนื้อเปลืองตัวเช่นนี้อยู่ตลอด และต่อให้แหกปากด่าไปสักกี่คราคนหน้ามึนอย่างไม้ก็ไม่รู้สึกสะทกสะท้านเลยสักนิด
ก่อนที่ไม้จะก้าวขาออกจากร้านก็ไม่ลืมหันมาพูดกับคนของใจด้วยน้ำเสียงหวานเยิ้ม ชนิดที่ว่าคนฟังอย่างเธอยังรู้สึกขนลุกขนพองแปลก ๆ
“เดี๋ยวยามแลงอ้ายมาหาใหม่เด้อคนงาม” (เดี๋ยวตอนเย็นพี่มาหาใหม่นะครับคนสวย)
“บ่ต้องมาดอกจ้า บ่อยากพ้อหน้า” (ไม่ต้องมาหรอกค่ะ ไม่อยากเจอหน้า)
“คือเว้าแทงใจอ้ายคักแท้” (ทำไมถึงได้พูดแทงใจพี่นักล่ะ)
และก่อนที่น้ำแข็งจะได้โมโหกับคนกะล่อนไปมากกว่านี้ เสียงของยายจ่อยที่รอคิดเงินต่อจากไม้ก็ดังขึ้นด้วยความไม่พอใจเช่นกัน
“โอ๊ยบักไม้ยามได๋มึงสิแล้ว กูถ่าคิดตังโดนแล้วหนิ” (โอ๊ยไอ้ไม้เมื่อไหร่มึงจะเสร็จกูรอคิดเงินนานแล้วนะ)
“แม่ใหญ่จ่อยเจ้าสิขัดเฮ็ดหยัง ข่อยกำลังจีบสาวอยู่บ่เห็นเบาะ” (ยายจ่อยแกจะขัดทำไมเนี่ย ผมกำลังจีบสาวอยู่ไม่เห็นหรอ)
“ไป ๆ ฟ่าวหนีให้กูจ่ายนำแหน่” (ไป ๆ รีบไปให้กูจ่ายบ้าง)
เพราะถูกขัดจังหวะของความสุขทำให้ไม้เผลอชักสีหน้าใส่ยายจ่อยที่กำลังวางข้าวของลงโต๊ะคิดเงิน แถมแกยังเอ่ยปากไล่ไม้อย่างเหลืออด ส่งผลให้เขาต้องจำยอมออกจากร้านคนสวยแล้วรอมาใหม่อีกทีในช่วงเย็นก็ไม่เสียหาย
ด้วยความที่มักอยากรู้อยากเห็นเรื่องของชาวบ้านตามประสาคนแก่ ทันทีที่ไม้เดินห่างออกไปไกลยายจ่อยจึงไม่รอช้ารีบเอ่ยถามน้ำแข็งพร้อมกับมองไปยังบ้านหรูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามร้านเธอด้วยสายตาสอดรู้สอดเห็นอย่างเห็นได้ชัด
“น้ำแข็งอีหล่าฮู้บ่ว่าไผมาซื้อที่หม่องนี้” (น้ำแข็งหนูรู้หรือเปล่าว่าใครมาซื้อที่ตรงนี้)
“กะสิบ่แม่นผู้ลากมากดีเบาะ ทั้งซื้อที่ดินทั้งสร้างบ้านขั่นบ่รวยสิเฮ็ดได้อยู่ติยาย” (ก็จะไม่ใช่ผู้ลากมากดีหรอ ทั้งซื้อที่ดินทั้งสร้างบ้านถ้าไม่รวยจะทำได้หรอยาย)
“ยายกะว่าซั่นล่ะ แล้วเบิ่ดนี้จักบาทอีหล่า” (ยายก็ว่างั้นแหละ แล้วทั้งหมดกี่บาทหนู)
“ร้อยห้าสิบจ้า”
น้ำแข็งรับเงินจากมือเหี่ยวย่นของยายจ่อยแล้วเก็บเข้าลิ้นชัก ก่อนที่ดวงตากลมโตจะมองไปยังบ้านหรูฝั่งตรงข้ามที่เพิ่งสร้างเสร็จไปหมาด ๆ
และเธอเองก็พอจะได้ยินข่าวคราวมาบ้างว่าเจ้าของบ้านหลังนั้น เป็นถึงมาเฟียผู้ทรงอิทธิพลที่จะย้ายเข้าอยู่ในอีกไม่กี่วันนี้ ซึ่งก็สร้างความแปลกใจให้กับน้ำแข็งอยู่ไม่น้อยเพราะจู่ ๆ จะมีเพื่อนบ้านเพิ่มแถมยังเป็นถึงบุคคลที่อันตรายอีกต่างหาก
ขณะที่คนตัวเล็กกำลังตกอยู่ในภวังค์ ทันใดนั้นเสียงของน้องชายที่เพิ่งจะมุดหัวออกจากที่นอนในช่วงบ่ายของวันก็ดังขึ้นดึงสติก่อนที่จะหลุดลอยไปไกลจนกู่ไม่กลับ
“เอื้อยน้ำบ่ได้ไปเกี่ยวข้าวซอยพ่อแม่เบาะ” (พี่น้ำไม่ได้ไปเกี่ยวข้าวช่วยพ่อแม่หรอ)
“ขั่นกูไปแล้วไผสิเฝ้าร้าน” (ถ้ากูไปแล้วใครจะเฝ้าร้าน)
“มีผมอยู่ทั้งคนสิย่านหยัง” (มีผมอยู่ทั้งคนจะกลัวอะไรอีก)
“ตื่นสวยป่านนี้มึงยังกล้าเว้าเนาะ” (ตื่นสายขนาดนี้มึงยังกล้าพูดอีกเนอะ)
“เอ้าเป็นคนหล่อมันกะต้องตื่นสวยจั่งซี่ล่ะครับ” (เอ้าเป็นคนหล่อก็ต้องตื่นสายแบบนี้แหละครับ)
น้ำมนต์น้องชายของเธอว่าพลางยิกคิ้วอย่างยียวน ชวนให้คนมองอย่างพี่สาวแทบอยากจะยกมือโบกเข้าหัวคนหน้ามึนสักที แต่ไม่ทันที่จะได้ง้างมือด้วยซ้ำน้องชายตัวดีกลับโยกตัวหลบอย่างรู้ทัน
และจู่ ๆ น้ำมนต์ก็ปรับเปลี่ยนโหมดเป็นจริงจังทิ้งความขี้เล่นเมื่อครู่ไปเสียสนิท จนพี่สาวอย่างน้ำแข็งแทบจะปรับอารมณ์ตามไม่ทันน้องชายวัยสิบแปด
“เอื้อยน้ำ” (พี่น้ำ)
“อีหยังอีก” (อะไรอีก)
“ผมอยากได้มอไซซื้อให้แหน่” (ผมอยากได้รถมอเตอร์ไซค์ซื้อให้หน่อย)
“หน้ากูคือคนมีเงินป่านนั้นเบาะ” (หน้ากูเหมือนคนมีเงินขนาดนั้นเลยหรอ)
นิ้วเรียวชี้เข้าใบหน้าสวยของตัวเองพลางเลิกคิ้วถามน้องชายที่นับวันยิ่งเกียจคร้าน ถึงขนาดที่ว่าโรงเรียนยังไม่ค่อยอยากจะไปแต่อยากได้นู่นอยากได้นี่ไม่เข้าเรื่อง
และก่อนที่พี่สาวจะเข้าใจผิดไปมากว่านี้น้ำมนต์จึงรีบอธิบายยกใหญ่
“บ่แม่นจั่งซั่นผมหมายความว่าให้เอื้อยขอพ่อให้แหน่” (ไม่ใช่อย่างนั้นผมหมายถึงให้พี่ขอพ่อให้หน่อย)
“บ่ ๆ บ่แม่นหน้าที่กู” (ไม่ ๆ ไม่ใช่หน้าที่กู)
“ซื้อของหน่อยครับ”