EPISODE 01

2802 Words
EPISODE 01  ปัจจุบัน “เงยหน้าบ้างยัยหวาน แกจะสิงจอรึไง กินน้ำกินขนมก่อน เดี๋ยวตายคาจอประกันไม่จ่ายนะเว้ย” เสียง ‘ยัยแป้ง’ เพื่อนสนิทสะกิดพร้อมกับยื่นขวดน้ำมาให้ ฉันกำลังเร่งทำรูปเล่มวิจัยน่ะ เหลืออีกแค่นิดเดียว ถ้าเสร็จงานนี้ สอบเก็บคะแนนอีกนิดๆ หน่อยๆ ฉันก็จะคว้าปริญญามาให้แม่ได้แล้ว แม้ไม่รู้ว่าแม่จะภูมิใจเหมือนได้นอนกอดขวดเหล้ามั้ยก็ตาม เฮ้อ~ “ยัยปูนไปไหน” “เห็นว่าจะเดินไปเข้าห้องน้ำ ฉันกลัวแกหิวเลยเดินกลับมาก่อน กินก่อนดิวะ วิจัยมันไม่หายหรอก นัดส่งตั้งอาทิตย์หน้า เสร็จวันนี้เราก็ไม่ได้จบก่อนคนอื่นสักหน่อย” “เสร็จแล้วว้อยยย” ฉันร้องบอกหลังจากที่เพิ่งจะกดส่งอีเมลไปให้ยัยแป้งกับยัยปูนเรียบร้อย “โห เทพวิจัยที่แท้ทรู ยอมใจแกเลย” “ที่เหลือก็หน้าที่แกสองคนแล้วนะ อาทิตย์หน้า ห้ามลืม” “เออ รู้แล้วๆ ตอนนี้จะขี้ออกมาเป็นวิจัยอยู่แล้ว ใครจะลืม” ยัยแป้งบอกพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างแสนเซ็ง พูดจบ ยัยปูนก็เดินกลับเข้ามาร่วมสมทบอีกคน แป้งกับปูนเป็นฝาแฝดกันน่ะ ต่างกันที่ผิวกับตา เพราะแป้งจะขาวกว่า หมวยกว่า และสำอางกว่า ส่วนปูนจะคล้ำกว่าแป้งนิดๆ (แต่ก็ยังขาวกว่าคนปกติทั่วไปอยู่ดี) ตาโตกว่าหน่อยๆ นิสัยก็จะห้าวๆ ลุยๆ “ปิดแล็ปท็อปแล้ว แปลว่าเสร็จแล้วสินะยัยหวาน” “เสร็จช้าก็ไม่ใช่ยัยหวานน่ะสิ โอ๊ย ยัยหวาน แกตบหัวฉันทำไมเนี่ย ไม้ลูกชิ้นเกือบทิ่มคอฉันเลยนะ” ยัยแป้งโวยวาย แต่ฉันหมั่นไส้นี่นา อีกอย่างตอนนี้รู้สึกโล่งอกโล่งใจมากจนอยากจะกรี๊ดด้วยซ้ำ อดทนเรียนมาตั้งสี่ปี เดี๋ยวต้องแวะไปอวดแม่สักหน่อย “อ้าวๆ เก็บของแล้วเหรอ แกจะรีบไปไหนวะ” คำถามของยัยปูนทำให้ฉันต้องรีบละสายตาจากกระเป๋าแล็ปท็อปขึ้นไปฉีกยิ้มให้มัน “ว่าจะแวะไปหาแม่หน่อยน่ะ” ฉันบอกพลางคล้องกระเป๋าเข้ากับแขน มือซ้ายคว้ากระเป๋าแล็ปท็อปขึ้นมาถือเอาไว้แน่น “ไปหาแม่อีกแล้วเหรอ เดี๋ยวแกก็โดน...” “ไปเหอะหวาน ทางนี้เดี๋ยวฉันกับยัยแป้งจัดการต่อเอง” “ขอบใจนะ” ฉันบอกยิ้มๆ ยัยปูนตอบกลับรอยยิ้มของฉันมาด้วยการยักคิ้วให้ ส่วนยัยแป้งก็ยกมือขึ้นมาโบกลาทั้งที่สีหน้าไม่ดีนัก และความจริงก็คือ...เกือบห้าปีแล้วที่แม่ขายฉันให้กับคุณลุงอรรณพแทนการจ่ายค่าเสียหายในวันนั้น นับจากวันนั้น ฉันก็ต้องย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่ในฐานะลูกสาวของคุณลุงอรรณพอย่างไม่มีทางเลือกและไม่สามารถปฏิเสธได้ ซึ่งตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าคุณลุงอรรณพดูแลฉันอย่างดีในฐานะลูกสาวมาโดยตลอด จนบางครั้งฉันก็แอบละอายใจที่เคยคิดว่าเขาจะหลอกฉันมาทำเมีย ห้าปีที่ผ่านมาฉันไม่ปฏิเสธเลยว่าคุณลุงอรรณพเลี้ยงดูฉันมาอย่างดีมากถึงมากที่สุด ทุกอย่างที่ฉันได้รับจากคุณลุงเท่าเทียมกับที่คุณลุงมอบให้ลูกชายแท้ๆ ของคุณลุงทั้งสองคนเสมอ ยกตัวอย่างเช่นการที่ฉันได้มีโอกาสเข้ามาเรียนที่นี่เหมือนกันกับพวกเขา ทั้งที่ฉันเป็นเพียงแค่ลูกสาวของอดีตลูกจ้างที่เคยทำงานให้คุณลุงเท่านั้น ถึงแม้คุณลุงจะบอกว่าพ่อฉันเป็นคนดี และตอนที่พ่อทำงานกับคุณลุง พ่อก็เคยช่วยคุณลุงเอาไว้หลายครั้ง แต่สำหรับฉัน ฉันคิดว่าพ่อคงทำไปเพราะหน้าที่มากกว่า ซึ่งไม่จำเป็นที่คุณลุงจะต้องตอบแทนด้วยการรับฉันมาเลี้ยงเลยด้วยซ้ำ บุญคุณของคุณลุงทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในอก เพราะถ้าไม่ได้คุณลุง ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าชีวิตฉันจะเป็นยังไงบ้าง จะมีโอกาสได้เรียนหนังสือต่อจนกระทั่งจบแบบวันนี้รึเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่! ถึงแม้ว่าฉันจะได้เรียนที่เดียวกันกับพวกเขา ก็ไม่ได้แปลว่าฉันเคยบอกหรือเล่าให้ใครฟังหรอกนะ ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าพวกเรารู้จักกัน แถมยังอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกัน ขนาดยัยแป้งกับยัยปูนยังรู้แค่เรื่องที่ฉันอาศัยอยู่บ้านของคุณลุงเท่านั้นเอง Rrrr~ โทรศัพท์มือถือในมือในกระเป๋ากระโปรงพลีทยาวประมาณเข่าสั่นจนฉันต้องหยุดเดินแล้วล้วงหยิบมันออกมา ทันทีที่เห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา ความรู้สึกอยากจะกลั้นใจตายก็แวบเข้ามาในหัว ก่อนจะต้องสลัดมันทิ้งไปพร้อมกับลมหายใจที่ทอดออกมายาวๆ “สวัสดีค่ะพี่ไม้เอก” ‘พี่ไม้เอก’ เป็นลูกชายคนโตของคุณลุงอรรณพ เขาคือคนที่ขับรถชนแม่ของฉันในวันนั้น และแน่นอนว่าเขาไม่ชอบขี้หน้าฉันสักเท่าไหร่ ยิ่งคุณลุงดูแลฉันดีเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมองฉันด้วยสายตาจงเกลียดจงชังเท่านั้น อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้เราเรียนที่เดียวกัน พี่ไม้เอกอายุมากกว่าฉันกับไม้โทแค่ปีเดียว เขาเรียนจบวิศวกรรมไฟฟ้าไปเมื่อปีที่แล้ว และตอนนี้ก็กำลังต่อป.โทอยู่ ลักษณะนิสัยของพี่ไม้เอกจะค่อนข้างเงียบขรึม ดูดุๆ และมีความเป็นผู้ใหญ่ค่อนข้างสูง นั่นทำให้ฉันรู้สึกเกร็งเสมอเวลาที่ถูกเขาจ้องมอง ซึ่งถ้าไม่นับรวมเรื่องที่ฉันรู้ดีแก่ใจว่าเขาไม่ค่อยชอบขี้หน้าฉันแล้วละก็ ฉันว่าเขามีคุณสมบัติที่จะเป็นพี่ชายที่แสนดีคนหนึ่งเลยทีเดียว [เย็นนี้มาหาฉันที่ห้องด้วย] “มีเรื่องอะไรเร่งด่วนรึเปล่าคะ” [ถ้าจะพูดกันทางโทรศัพท์ ฉันคงไม่บอกให้เธอมาหาที่ห้อง] “ค่ะ แล้วหวานจะรีบกลับ” ฉันรีบตัดบทสนทนาให้สั้นลงเมื่อปลายสายทำน้ำเสียงไม่พอใจใส่ทั้งที่ฉันก็แค่ถามตามปกติ พูดจบ สายก็ถูกตัดไปดื้อๆ แบบไม่มีคำบอกลาหรือลงท้ายสักนิด มันเป็นแบบนี้เสมอ เป็นมาตลอดห้าปีตั้งแต่ที่ฉันย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านหลังนั้น ฉันกำโทรศัพท์เอาไว้ในมือแล้วถอนหายใจซ้ำๆ ก่อนจะเดินทอดน่องคิดอะไรมาเรื่อยเปื่อย ถึงจะบอกว่ารีบแต่ก็ไม่ได้แปลว่าต้องไปเดี๋ยวนี้สักหน่อย เพราะเขาพูดเองว่าเย็นนี้ แต่ตอนนี้นาฬิกาข้อมือเรือนแพงที่คุณลุงซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสองปีที่แล้วบอกว่านี่เพิ่งจะบ่ายสอง ฉันตั้งใจจะเดินไปรอรถเมล์ที่หน้ามหา’ลัยเหมือนปกติ ความจริงคุณลุงจะซื้อรถให้ฉันขับมาเรียนเหมือนกันกับพี่ไม้เอกแล้วก็ไม้โทนะ แต่ฉันปฏิเสธ ฉันเคยชินกับการใช้ชีวิตง่ายๆ ไม่ต้องตกเป็นเป้าสายตาของใคร (โดยเฉพาะพวกเขา) แบบนี้มากกว่า Rrrr~ “ว่าไง” แล้ว ‘ไม้โท’ ก็โทรตามมาติดๆ [สามโมง] “อืม เข้าใจแล้ว” ฉันบอกสั้นๆ แล้วรอให้ไม้โทเป็นคนวางสายไปก่อน ซึ่งหลังจากที่ฉันพูดจบ เขาก็วางสายไปทันทีนั่นแหละ ‘ไม้โท’ อายุเท่าฉัน เขาเรียนอยู่คณะสถาปัตย์ (มหา’ลัยเดียวกัน) ไม้โทย้ายออกจากบ้านไปอยู่คอนโดตั้งแต่วันแรกที่ฉันก้าวเข้าไปที่บ้านหลังนั้น นั่นทำให้เราไม่ค่อยได้เจอกันนัก แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรับรู้ความเคลื่อนไหวของเขาอยู่เสมอ สาเหตุก็เพราะยัยแป้งกับยัยปูนเป็นแฟนคลับพันธุ์แท้ของไม้โทยังไงล่ะ ฉันรู้มาว่านอกจากตำแหน่งเดือนคณะแล้ว เขายังรับงานถ่ายแบบด้วย หลายครั้งที่ฉันรับรู้ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของเขาจากการบอกเล่าของเพื่อนทั้งสองคน นอกจากนั้นพวกมันก็ยังชอบเอารูปเขามาอวดฉันบ่อยๆ บรรยายโน่นนี่นั่นให้ฉันฟังจนบางครั้งฉันก็แอบเผลอกรี๊ดกร๊าดเขาไปพร้อมกับพวกมันจนเริ่มสงสัยว่าบางทีตัวฉันเองก็อาจจะกลายเป็นแฟนคลับของเขาไปแล้วโดยไม่รู้ตัว ส่วนเรื่องพฤติกรรมของไม้โทที่มีต่อฉันน่ะเหรอ อย่างที่บอกว่าเราไม่ค่อยได้เจอกันนัก แต่ถ้าจะให้อธิบายฉันว่าก็คงไม่ได้ต่างจากพี่ไม้เอกสักเท่าไหร่ จะเรียกว่าแย่กว่าซะด้วยซ้ำ เพราะถึงพี่ไม้เอกจะไม่ค่อยพูดกับฉัน ไม่เคยเรียกแม้แต่ชื่อของฉัน แถมใช้สรรพนามแทนฉันและตัวเขาเองว่าเธอกับฉันเสมอ เขาก็ยังพูดกับฉันมากกว่าไม้โท ไม้โทไม่เคยพูดกับฉันเกินสามคำ ไม่มีเธอ ไม่มีฉัน ไม่มีน้อง (เขาเกิดก่อนฉันเกือบปีแต่เราก็ยังเรียนรุ่นเดียวกันอยู่ดี รวมถึงคุณลุงอรรณพเคยบอกให้เขาเรียกฉันว่าน้องด้วย) ทุกครั้งที่เราพูดกันจะมีแค่ใจความสำคัญของสิ่งที่เขาจะพูดด้วย อย่างเช่นเมื่อครู่ที่เขาบอกว่าสามโมง มันหมายถึงเขาจะแวะไปที่บ้านตอนสามโมงน่ะ นั่นแปลว่าฉันไม่ควรจะโผล่หัวกลับไปในช่วงเวลานั้น หรือถ้าบังเอิญว่าฉันกลับบ้านก่อน ฉันก็ควรจะสิงอยู่ในห้อง อย่าโผล่ออกไปให้เขาเห็นหน้า รู้ตัวอีกทีฉันก็ลงจากรถเมล์และกำลังเดินเข้าซอยบ้านหลังเก่าของตัวเองซะแล้ว ถึงจะย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ฉันก็ยังแวะเวียนมาเยี่ยมแม่อยู่บ่อยๆ เท้าความเพิ่มเติมเรื่องแม่ให้อีกสักเรื่องก็แล้วกัน ก่อนหน้านี้หลังจากที่แม่ขายฉันให้คุณลุงอรรณพ แม่ก็เข้ารับการบำบัดเหล้าอยู่สี่เดือนเต็มๆ ตามกฎของทางโรงพยาบาล คุณลุงส่งรถมารับส่งแม่ไปกลับโรงพยาบาลทุกวันตลอดระยะเวลาที่แม่เข้ารับการบำบัดอาการติดเหล้า ซึ่งตอนนั้นก็เหมือนแม่จะเลิกได้ ทุกอย่างเหมือนจะดีขึ้น แต่...หลังจากที่แม่กลับมาอยู่บ้าน ได้เจอสภาพแวดล้อมเดิมๆ แม่ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม ทั้งฉันและคุณลุงอรรณพต่างก็เอือมระอา เราต่างไม่มีใครอยากพูดถึงแม่อีก เพียงแต่ฉันเป็นลูกแท้ๆ ของแม่ จึงไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบในการดูแลแม่ได้เท่านั้นเอง ถึงแม้ว่าแม่จะคิดว่าไม่มีลูกอย่างฉันแล้วก็ตาม “มาอีกแล้วเหรอนังตัวซวย” นั่นคือคำทักทายจากแม่ที่หันมามองฉันตาเยิ้มเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ เพราะแบบนี้ไงยัยแป้งถึงไม่อยากให้ฉันกลับมาบ้าน มันกลัวฉันจะโดนแม่ตบตีเหมือนนางเอกในละครหลังข่าวน่ะ เพราะฉันโดนเป็นประจำ ร่องรอยที่แม่ชอบฝากไว้บนใบหน้าของฉันทำให้ฉันมีสกิลการแต่งหน้าราวกับช่างแต่งหน้ามืออาชีพ “แม่กินข้าวบ้างรึยัง” “ไม่ต้องมายุ่งกับกู!” แม่ชี้หน้าด่าตั้งแต่ที่ฉันยังไม่ทันจะก้าวเท้าเข้าบ้านเลยด้วยซ้ำ สรรพนามที่มาเป็นภาษาพ่อขุนรามนี่เป็นตัวชี้วัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของแม่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งวันนี้จัดอยู่ในขั้น...เมา-หนัก-มาก ฉันได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินผ่านแม่เข้าไปในบ้าน วันนี้ฉันไม่ได้อยากจะมาทะเลาะกับแม่หรอก แม้จะรู้ว่าเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม ฟุ่บ! ฉันวางสัมภาระกองรวมกันเอาไว้ที่โซฟา แล้วเตรียมตัวจะไปล้างจานรวมถึงทำกับข้าวเอาไว้ให้เหมือนทุกครั้งที่แวะมาเยี่ยม โอ้โห นี่แม่กินแล้วไม่คิดจะล้างบ้างรึไง ทำไมถึงได้ปล่อยให้กับข้าวเน่าคาจานแบบนี้กันล่ะ “ทำอะไรของมึง” “ล้างจาน แม่จะทำอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวหวานทำกับข้าวไว้ให้ เสร็จก็จะกลับแล้ว” พูดจบฉันก็เดินเข้ามาในครัว เอื้อมมือไปคว้าผ้ากันเปื้อนผืนเก่าๆ มาผูกเอาไว้เตรียมจะล้างจานก่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีจานจะใส่กับข้าวแน่ๆ “อะไรวะ เป็นลูกสาวเศรษฐี มึงมีเงินแค่นี้เองเหรอ” “แม่ทำอะไรอ่ะ!” ฉันร้องถามด้วยความตกใจแล้วรีบวิ่งออกมาดู ชัดเลย เห็นคาตาว่าแม่กำลังขโมยเงินในกระเป๋าตังค์ฉันอีกแล้ว “แม่ เอาเงินหวานคืนมานะ” “ไม่คืน เดี๋ยวนี้มึงกล้างกกับกูเหรอนังหวาน” แม่พูดทั้งที่ยืนโงนเงน “เอาคืนมานะแม่ นั่นค่าของ พรุ่งนี้หวานต้องเอาไปจ่ายเพื่อน” “มึงก็ไปขอพ่อมึงใหม่สิวะ ไอ้แก่นั่นมันรวยจะตาย” “หวานบอกให้แม่เอาคืนมา” “เอ๊ะ อีนี่ เงินแค่นี้ทำหวงกับกู นังลูกเนรคุณ” “แม่ เอาคืนมา” ปั้ก! “โอ๊ย!” ได้เลือดจนได้ แม่ผลักฉันเซถลามาทางด้านหลัง ล้มลงมาหัวกระแทกกับขอบโต๊ะพอดี แต่ถึงแม้จะรู้ดีว่าหัวแตก ฉันก็ยังพยายามจะลุกขึ้นไปยื้อแย่งเงินจากแม่ ซึ่งถึงมันจะแค่ไม่กี่ร้อยบาท แต่เดี๋ยวฉันต้องใช้เป็นค่ารถกลับบ้านนะ อีกอย่างฉันจะไม่หวงแม่แบบนี้เลยถ้าแม่ไม่ได้กำลังจะเอามันไปซื้อเหล้า! “แม่ เอาเงินหวานคืนมา” เพียะ! แล้วแม่ก็หันกลับมาพร้อมกับฟาดฝ่ามือลงมาบนแก้มฉันฉาดใหญ่ ผลักฉันล้มลงหัวเข่ากระแทกพื้นซ้ำอีกรอบ บอกตรงๆ ว่าถ้าเป็นคนอื่น ฉันคงสู้ไปแล้ว แต่นี่แม่! เพราะเป็นแม่ไงฉันถึงยอม ฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายมองดูแม่ที่รีบวิ่งออกไปพร้อมกับเงินสี่ร้อยกว่าบาทในมือ น้ำตาไหลออกมาเพราะความรู้สึกอึดอัด กดดัน เบื่อหน่าย และเริ่มจะ...เกลียด มันไม่ได้ไหลออกมาเพราะความเจ็บปวดเลยแม้แต่สักนิด “แน่จริงมึงก็ตามมาเอาคืนสิ” แม่ยังไม่วายจะหันมาพูดกับฉันพร้อมชูแบงก์ร้อยในมือขึ้นโชว์ คงเพราะมั่นใจแล้วว่าฉันจะไม่วิ่งตามออกไป ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้ทุกทีนั่นแหละ “นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่แม่จะได้เงินจากหวาน” ฉันยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาปนเลือดที่กำลังไหลย้อยลงมาตามใบหน้าของฉันออกเร็วๆ พร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วจ้องมองแม่ด้วยแววตาของความผิดหวัง “เรื่องของมึง คิดว่ากูง้อมึงเหรอนังหวาน ยังไงมึงก็ไม่ปล่อยให้กูอดตายหรอก” “แต่คราวนี้หวานจะทำจริงๆ ต่อไปนี้หวานจะไม่ให้เงินแม่ใช้อีกแล้วแม้แต่บาทเดียว” “กูจะรอดู” แม่พูดพลางเหยียดยิ้มก่อนจะเดินโซซัดโซเซออกไป ทิ้งฉันไว้กับความผิดหวังและเสียใจซ้ำๆ ที่ผ่านมาคืออะไร การที่แม่ขายฉันให้คุณลุงอรรณพ มันเพื่ออะไรกัน หรือแม่แค่ต้องการผลักไสให้ฉันไปจากที่นี่เหมือนที่แม่พูดมันออกมาจริงๆ Rrrr~ โทรศัพท์ในกระเป๋ากระโปรงของฉันสั่นขึ้นอีกครั้งทำให้ฉันต้องรีบเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ ก่อนจะหยิบมันออกมาแล้วกดรับทันทีเมื่อคนที่โทรเข้ามาคือป้าขวัญ แม่บ้านของคุณลุงอรรณพที่ทำหน้าที่ดูแลฉันตั้งแต่ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น “สวัสดีค่ะป้าขวัญ มีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่าคะ” ฉันรีบถาม เพราะปกติป้าขวัญไม่ค่อยจะโทรหาฉันก่อน ยกเว้นก็แต่จะมีเรื่องสำคัญหรือเร่งด่วน [คุณผู้ชายให้โทรถามว่าคุณหวานเลิกเรียนกี่โมงคะ ถ้ายังไงเลิกเรียนแล้วให้รีบกลับบ้านนะคะ คุณผู้ชายมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยค่ะ] “ได้ค่ะป้า หวานจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” ฉันรีบบอกก่อนจะกดวางสาย จากนั้นก็รีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋า แล้วก็อดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไปที่ประตูรั้วอีกครั้ง แม่นะแม่ ไม่รู้เหรอว่าต่อให้แม่จะกินเหล้าจนตาย พ่อเขาก็ไม่กลับมา…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD