๒ เตรียมตัว เตรียมใจ

2481 Words
๒ เตรียมตัว เตรียมใจ นายอังกูรและนางมนพรมองลูกชายด้วยสายตาเป็นคำถาม แต่ท่านยังรักษาหน้าอีกฝ่ายด้วยการรับไหว้เหมือนแพรและพูดคุยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ทุกครั้งที่มองลูกชายแววตาของท่านจะเข้มขรึมและแฝงแววตำหนิเสมอ ยิ่งเห็นลูกสะใภ้มีสีหน้าไม่สู้ดีนักก็ยิ่งไม่พอใจการกระทำของคนทั้งคู่ หลังจากที่ทักทายถามไถ่กันเล็กน้อย บิดาและมารดาจึงแยกตัวออกไปนั่งร่วมโต๊ะกับจันทร์กระจ่างและอัจฉรา ประกาศชัดว่าเขาไม่เต็มใจร่วมโต๊ะกับผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาของลูกชาย ทำให้อิชย์มองตามทั้งสองแล้วถอนหายใจยาว เขารู้ว่าท่านทั้งสองกำลังไม่พอใจตนและอดีตคนรัก เมื่อเขามองไปยังภรรยาทางพฤตินัยก็ได้พบกับรอยยิ้มหม่นเศร้า จากนั้นหญิงสาวก็หลุบตาลงไม่มองมาทางเขาอีก จึงเป็นการรับประทานอาหารมื้อเที่ยงที่ชวนอึดอัดมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะแม้จะมีเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะระหว่างนั้น แต่บรรยากาศกลับอึมครึมกว่าทุกวัน และเขารู้ดีว่าเป็นเพราะเหตุใด เสร็จสิ้นจากอาหารเที่ยง เหมือนแพรก็ยังไม่ยอมกลับ และยังตามอิชย์ไปยังคอกวัว “คุณกลับไปก่อนดีกว่านะแพร ผมต้องทำงาน ไม่มีเวลาดูแลคุณ” เขาบอกขณะเตรียมตัวสำรวจวัวตัวอื่นๆ อีกครั้ง “อีกสองวันแพรจะกลับแล้ว” ชายหนุ่มชะงักมือเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนในอดีตอยู่อึดใจแล้วเอ่ยออกมา “เดินทางปลอดภัยนะ” เหมือนแพรมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกใจหาย เมื่อก่อนหล่อนเคยเป็นคนที่สำคัญต่อเขามากที่สุด จะผิดไหม ถ้าหล่อนยังอยากให้เขามองหล่อนเป็นคนสำคัญเช่นวันวาน หญิงสาวหลุบตามองปลายเท้าของตัวเอง คิดถึงสามีที่เป็นถึงนายทหารยศสูง เขาดีกับหล่อนมากก็จริง แต่ยิ่งนานไป เป็นตัวหล่อนเองที่กลับรู้สึกเบื่อหน่ายและเฉยชา เมื่อกลับมาพบอิชย์อีกหนความหลังครั้งเก่าก็ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ที่หล่อนเลือกตัดใจจากอิชย์คราวนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบิดาและมารดาขอร้อง แต่อย่างไรเสีย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหล่อน เมื่อตัดสินใจลงไปแล้วจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีก ข้อนี้หล่อนรู้แก่ใจดี แต่เมื่อได้ยินเรื่องราวของอดีตคนรักจากปากของเพื่อน ก็อดไม่ได้ที่จะมาเจอหน้าเขาอีกสักครั้ง เมื่อได้พบเจอและพูดคุย ภาพความหลังครั้งเก่าก็ชัดเจนในความทรงจำ เป็นความรู้สึกอ่อนหวานที่ยังตราตรึงยามนึกถึง... “ค่ำนี้อิชย์พอจะมีเวลาให้แพรสักสองสามชั่วโมงไหม” คำถามของหญิงสาวทำเอาคนรอบข้างถึงกับเงี่ยหูฟังคำตอบของเจ้านายหนุ่มอย่างอยากรู้อยากเห็น แม้แต่นางมนพรที่กำลังเตรียมตัวกลับบ้านและเดินมาจากด้านหลังของเหมือนแพรเพื่อบอกกับลูกชายถึงกับนิ่วหน้า แต่ก่อนที่ลูกชายตัวดีจะตอบอะไรออกมาท่านก็ตอบออกไปเสียก่อน “คงไม่ว่างหรอกจ้ะหนูแพร” เหมือนแพรชะงักค้างไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองคนที่ขยับเข้ามายืนข้างกายตน พลางหลบสายตาอีกฝ่ายวูบหนึ่ง เมื่อนางมนพรมองมาด้วยแววตาที่เข้มขรึมแกมตำหนิแม้ริมฝีปากและสีหน้าจะยิ้มแย้มอยู่ก็ตามที อิชย์สบตามารดาที่มองเขาอย่างเอาเรื่องและเกือบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เขามีเรื่องให้ต้องเครียดมากพอแล้ว ยังจะต้องมาหงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก “เย็นนี้แกนัดกับหนูจันทร์เอาไว้ไม่ใช่เหรอ” คนเป็นแม่เลิกคิ้วถาม ชี้ทางให้ลูกชายตัดช่องทางติดต่อกับอดีตคนรักเก่า แต่คนอย่างอิชย์ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ แรกเลยเขาคิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว แต่พอมารดาก้าวเข้ามาและทำให้เขาหงุดหงิดใจ ชายหนุ่มจึงเอ่ยออกมาทันที “เปล่าครับ แต่ก็คงจะกลับค่ำอยู่ เพราะต้องดูเจ้าพวกนี้ต่อ” คนเป็นแม่ถึงกับเม้มปาก รู้สึกเสียหน้าที่ลูกชายไม่ไว้หน้าท่านเลย ส่วนเหมือนแพรก็ถึงกับยิ้มออกมาอย่างพอใจ แต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็หุบลงเมื่อชายหนุ่มหันมาตอบหล่อนว่า “ผมคงออกไปไหนกับแพรไม่ได้ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ” คราวนี้คนที่เป็นฝ่ายยิ้มออกคือนางมนพร ท่านส่งยิ้มให้เหมือนแพรทันที “แม่ขอตัวก่อนนะจ๊ะ ว่าจะกลับไปเอนหลังเสียหน่อย ยังไงก็ขอให้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ โชคดีนะหนู” เหมือนแพรยกมือไหว้อำลาอีกฝ่าย และมองจนนางมนพรเดินไปถึงยังรถยนต์ส่วนตัว ส่วนจันทร์กระจ่างยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ขนาดใหญ่กับอัจฉรา และกำลังมองมายังตนกับอิชย์ หญิงสาวเมินหน้าจากภรรยาของเขา ก่อนจะไหวไหล่ อย่างไรเสียก็เป็นเพียงเมียทางพฤตินัยเท่านั้น พลันดวงตาคู่งามก็วาววาบขึ้นเมื่อคิดได้ว่าครั้งหนึ่งตอนที่ยังรักกัน เขาเคยบอกกับหล่อนว่าจะแต่งงานกับหล่อนแค่คนเดียวเท่านั้น หล่อนจึงถามเขาออกไปว่า ‘หากอนาคตเราไม่ได้อยู่ด้วยกันจริงๆ อิชย์จะแต่งงานกับคนอื่นไหม’ ตอนนั้นอิชย์บอกออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า ‘ไม่…’ คำตอบของเขา ทำให้หล่อนดีใจมาก ‘จริงนะ’ แววตาอ่อนหวานและอ้อมแขนที่โอบกอดลงมาอย่างแนบแน่น เป็นดั่งคำสัญญาที่เขาให้ไว้กับหล่อน ‘จริง’ สีหน้าที่หม่นหมองก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนเป็นร่าเริงขึ้นทันที ความรู้สึกผิดหวังที่ถูกเขาปฏิเสธจึงมลายหายไป อดคิดเข้าข้างตนเองไม่ได้ว่าที่เขาไม่ยอมจดทะเบียนสมรสหรือจัดพิธีวิวาห์กับจันทร์กระจ่างให้ผู้คนรับรู้ เป็นเพราะเขายังยึดมั่นคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับหล่อน บางที...เขาอาจยังรอหล่อนกลับมาเสมอ ที่ตรงนี้เขาอาจมีไว้เพื่อหล่อนเพียงคนเดียวเท่านั้น สุดท้ายแล้ว เหมือนแพรจำต้องกลับก่อนเพราะได้รับโทรศัพท์สายสำคัญ อัจฉราเองก็ต้องขอตัวเช่นกัน ส่วนจันทร์กระจ่างนั้นยังคงอยู่กับอิชย์ที่คอกวัว “กลับก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวให้คนไปส่ง” สองชั่วโมงให้หลังชายหนุ่มเดินออกมาจากคอก แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ม้าไม้ตัวยาวตรงข้ามกับหญิงสาว “จันทร์รอได้ค่ะ” คนพูดส่งยิ้มอ่อนหวานให้เช่นเคย ทำให้ชายหนุ่มหลุบสายตามองนาฬิกาจึงรู้ว่าทั้งเขาและหล่อนเองก็สมควรกลับกันได้แล้ว จึงหันกลับไปยังคอกวัวอีกครั้ง ก่อนจะหันมามองหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาอีกหน “อันที่จริงตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว เรากลับกันเลยก็ได้” เขาเอ่ยออกมาอย่างคนเปลี่ยนใจปุบปับ หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อยเมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนั้น “คุณจะเข้าคลินิกไหม” “ไม่ล่ะ โทร.ไปเช็กกับดนัยแล้ว วันนี้มีเคสไม่มาก ไว้เข้าทีเดียวพรุ่งนี้เลยแล้วกัน” พูดจบร่างสูงก็ผุดลุกจากเก้าอี้ ทำให้จันทร์กระจ่างรีบลุกขึ้น แล้วเดินตามชายหนุ่มที่หันไปส่งเสียงบอกกับคนงานและสัตวแพทย์ว่าเขาขอตัวกลับก่อน จากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็กลับมาถึงบ้านในช่วงเย็นของวัน “คุณอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม จันทร์จะได้บอกให้แม่ครัวเตรียมเอาไว้” ร่างสูงชะลอฝ่าเท้าเล็กน้อยขณะพากันเดินเข้าบ้าน “ขออะไรที่ได้ซดน้ำร้อนๆ ก็ดี” จันทร์กระจ่างยิ้มหวาน พลางยกมือขึ้นเกาะแขนกำยำของอีกฝ่ายขณะเดินตรงไปยังบันไดชั้นสอง “งั้นเป็นต้มแซ่บนะคะ” “อืม ก็ดี” เมื่อเขาตอบเช่นนั้น หญิงสาวจึงปล่อยมือจากท่อนแขนแกร่งแล้วแยกตัวไปอีกทาง ชายหนุ่มมองตามร่างบอบบางของภรรยาพร้อมกับถอนหายใจยาว พอดีกับที่มีสายเรียกเข้าเขาจึงถอนสายตาจากร่างกลมกลึง “สวัสดีครับ” เสียงตอบรับของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวหันไปมองเขา แต่เพียงแวบเดียวร่างสูงใหญ่ก็หายไปจากสายตาของหล่อน หญิงสาวบอกกับแม่ครัวให้ทำกับข้าวสามอย่างสำหรับเย็นนี้และอยู่คุยกันพักใหญ่ก่อนเดินตามขึ้นไปบนห้องเพื่อดูแลสามีเหมือนทุกวัน “ผมไปไม่ได้หรอก คุณต้องเข้าใจสิว่าเราต่างก็มีคนของตัวเองอยู่แล้ว จะทำอะไรแบบนั้นอีกไม่ได้” คนที่เปิดประตูเข้ามาในห้องมีอันต้องชะงักลง เกิดอาการร้อนผ่าวไปทั่วทั้งเรือนร่าง ยิ่งได้ยินเสียงห้าวทุ้มของสามีที่ตอบโต้คนปลายสายยิ่งหัวใจสั่นหวิว “แพร…” จันทร์กระจ่างกำมือแน่น ขณะมองผ่านประตูระเบียง ที่มีผ้าม่านปลิวไหวตามแรงลมจากด้านนอกห้องนอนออกไปยังคนที่หันหลังให้ คนตัวโตยืนนิ่ง ท่อนขาภายใต้กางเกงยีนกางออกนิดๆ มือหนึ่งกอดอก อีกมือถือโทรศัพท์แนบใบหู “คุณลืมไปหรือไงว่าคุณเลือกแล้ว เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีก มันไม่เกี่ยวกับเรื่องรักหรือไม่รักหรอกนะแพร มันอยู่ที่ว่าตอนนี้เราทั้งคู่ต่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คุณมีคนของคุณ ผมเองก็มีคนของผม...” จันทร์กระจ่างขบเม้มริมฝีปากแน่น หล่อนไม่รู้ว่าเหมือนแพรพูดอะไร แต่ที่รู้คือน้ำเสียงของเขายามเอ่ยออกมานั้นให้ความรู้สึกทั้งรักและห่วงใยใครอีกคนมากแค่ไหน ต่างกับน้ำเสียงที่ใช้กับหล่อนราวฟ้ากับเหว ทั้งราบเรียบและเย็นชาในบางครั้ง พลันหัวใจดวงน้อยของหญิงสาวก็ปวดแปลบ หล่อนกลายเป็นตัวอะไรที่เขามีไว้เพื่อทดแทนที่ใครบางคน มีอยู่แต่ไร้ซึ่งความหมาย ในทุกค่ำคืนที่มีหล่อนอยู่ในอ้อมแขน เขาคงจินตนาการไปว่าหล่อนคือคนที่เขารัก ประตูห้องค่อยๆ ปิดลงอีกครั้งอย่างเบามือ อิชย์หันไปมองเบื้องหลังด้วยรู้สึกว่าราวกับมีใครจ้องมอง แต่เมื่อไร้ร่องรอยผู้คน เขาจึงหันกลับไปพร้อมด้วยสีหน้าเรียบเฉยแกมเหนื่อยใจ “ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็แค่นี้นะแพร วันกลับก็ขับรถดีๆ นะ” เขาตัดสายจากเหมือนแพรแล้วหมุนตัวกลับเข้าห้อง เดินตรงไปยังห้องน้ำ เพียงครู่ ก็ยืนอยู่ใต้สายน้ำเย็นชื่นฉ่ำ ในขณะนั้นเขาคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาอีกหน ทั้งเรื่องของตนเองกับเหมือนแพร จนกระทั่งมาถึงเรื่องของจันทร์กระจ่าง ถ้าเปรียบเหมือนแพรเป็นดอกกุหลาบที่สวยสด รักแรง ร้อนแรงและเย่อหยิ่งนิดๆ จันทร์กระจ่างก็คงจะเป็นดอกกล้วยไม้ ที่อบอุ่น อ่อนโยนและเรียบง่าย... เขารักในดอกกุหลาบแต่ก็พอใจที่มีดอกกล้วยไม้อยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบใบหน้า ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ในอนาคตจะเป็นเช่นไรต่อไป รู้เพียงว่ายามนี้เขากำลังสับสนกับท่าทีของเหมือนแพร หล่อนทำท่าราวกับว่าหวงแหนเขา ทั้งที่ตนเองก็มีสามีอยู่แล้ว ภายนอกดูอ่อนหวานน่ารัก แต่สายตาที่มองจันทร์กระจ่างราวกับว่ากำลังริษยา ซึ่งเขาไม่เข้าใจว่าจันทร์กระจ่างมีอะไรให้อีกฝ่ายอิจฉาริษยานักหนา ในเมื่อเหมือนแพรเหนือกว่าแทบจะทุกอย่างแบบนั้น อิชย์ลองคิดเล่นๆ ว่าอดีตคนรักริษยาที่จันทร์กระจ่างได้อยู่กับเขา แต่นั่นเป็นเพราะหล่อนไม่ใช่หรือที่เลือกคนอื่น ชายหนุ่มยิ้มหยัน ยามคิดถึงครั้งหนึ่งที่เขาต้องเสียใจจนแทบบ้า เมื่อหญิงคนรักเลือกชายอื่น แต่เมื่อเขามีคนของตนเองบ้าง หล่อนกลับทำตัวเป็นหมาหวงก้างเสียอย่างนั้น ดวงตาสีเข้มวาววับขึ้น ในบางครั้งอย่างเช่นเวลานี้ เขาก็นึกสะใจที่ได้เห็นอีกฝ่ายเต้นเร่าและทำท่าจะเป็นจะตายเมื่อรู้ว่าเขามีคนข้างกายบ้าง ทว่าเมื่อนึกถึงแววตาเศร้าๆ ของจันทร์กระจ่าง ความสาแก่ใจของเขาพลันมลาย รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่บางครั้งเขาทำราวกับว่าใช้อีกฝ่ายเป็นเครื่องมือเพื่อทำให้ใครบางคนกระวนกระวายไม่มีความสุข เหมือนที่เขาเคยทุกข์ทน จนลืมไปว่ากำลังทำให้ใครอีกคนที่อยู่เคียงข้าง และคอยดูแลเขาอย่างดีมาโดยตลอดต้องทุกข์ใจตามไปด้วย เสียงน้ำไหลหยุดนิ่ง เช่นเดียวกับร่างกำยำที่เปียกชุ่มก็นิ่งงัน แต่ความร้อนรุ่มไม่สุขอย่างเต็มที่กลับดำเนินไปอย่างไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่ตรงไหน กลายเป็นวังวนที่กำลังตีกันวุ่นวายกับความรู้สึกผิดที่ก่อตัวขึ้น แน่นอนว่าเขายังรักเหมือนแพร ผู้หญิงที่รักกันมานานนับสิบปี มันไม่ได้ลืมกันง่ายๆ เพียงเขามีใครมาแทนที่เพียงไม่กี่ปี แต่ความเย็นฉ่ำและอ่อนหวานของจันทร์กระจ่างทำให้เขาก็รู้สึกดีและอบอุ่นเมื่ออยู่ใกล้ หล่อนดูแลและให้เกียรติเขาเสมอ ขณะที่เหมือนแพรไม่เคยทำให้เขารู้สึกเช่นนั้นนัก คนที่เขารักอาจจะอ่อนหวานและช่างเอาใจ แต่ก็ร้อนแรงและเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจได้เช่นเดียวกัน ส่วนจันทร์กระจ่างนั้น...หล่อนคล้ายกับหนังสือที่อ่านได้เรื่อยๆ ไม่ได้มีจุดสูงสุดหรือต่ำสุด บางครั้งเขายอมรับว่าค่อนข้างเบื่อในความเรียบเรื่อยของหล่อน ยิ่งคิดถึงความร้อนแรงและหวามหวานของเหมือนแพร บางครั้งเขาก็นึกขัดใจตัวเอง เขาไม่ควรดึงจันทร์กระจ่างเข้ามาในชีวิตตั้งแต่แรก...ไม่ควรให้หล่อนต้องมาทุกข์ทนกับคนที่ไม่รักหล่อน จนต้องพบเจอกับความเย็นชาจากเขาอยู่บ่อยครั้ง อาจเป็นเพราะตอนนั้นเขากำลังเสียใจ จึงคว้าใครสักคนเอาไว้ทันที และจันทร์กระจ่างคือผู้หญิงที่อยู่ใกล้มือ เขาเลย... ชายหนุ่มสะบัดหัวไปมา รู้สึกหนักอึ้งกับความคิดของตนเอง แต่สุดท้าย เขาก็เลิกคิดถึงเรื่องเก่าๆ แล้วบอกตนเองว่า เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว ถ้าไม่คิดจะก้าวต่อ ก็หยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้ ทว่า... ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครา แล้วบอกตนเองว่า เขาควรทำดีกับจันทร์กระจ่างให้มากกว่าที่ผ่านมา เพราะหล่อนดีกับเขามากกว่าใครๆ เช่นเดียวกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD