ทินกรพาสาวๆ มาส่งถึงบ้านในเวลาไม่นานนัก โดยไม่รู้สักนิดว่ามีใครบางคนยังคงปักหลักรอคอยอย่างอดทน เมื่อทั้งหมดเข้าไปภายในบ้านหลังเดิม อิชย์ที่ขยับรถยนต์หามุมเหมาะเพื่อมองการเคลื่อนไหวของบ้านหลังที่เขาเพิ่งออกมาสักพักใหญ่จึงยืดลำตัวตรงเมื่อมีรถยนต์คันหนึ่งเลี้ยวเข้าไปภายในบ้านหลังนั้น
นางอำภาและนายสถาพรชะเง้อมองคนทั้งสามที่ก้าวลงจากรถ เพราะต่างก็รอคอยที่จะได้พูดคุยถึงคนที่อ้างว่าเป็นสามีของจันทร์กระจ่าง
ปัทมากวาดตามองไปรอบๆ ขณะสาวเท้าตรงเข้าไปหาพ่อกับแม่
“เขาไปนานแล้วหรือยังแม่”
“นานแล้วเหมือนกัน” พูดจบก็มองจันทร์กระจ่าง หญิงสาวยกมือไหว้อีกฝ่ายที่ให้ความช่วยเหลือในการปกปิดเรื่องของตน
“ขอบคุณพ่อกับแม่มากนะคะ ที่ช่วยจันทร์”
“อย่าคิดมากเลย แม่ต้องช่วยหนูอยู่แล้ว” นางอำภามองดวงหน้าที่ค่อนข้างซีดเซียวของหญิงสาวแล้วเอ่ยปาก “กลับมาเหนื่อยๆ ขึ้นไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
หญิงสาวพยายามจะแสดงสีหน้าท่าทางให้ดูสดใส แต่ไม่อาจฝืนความรู้สึกในเวลานี้ได้เลยจริงๆ
“ขอบคุณค่ะ งั้นจันทร์ขอตัวก่อนนะคะ” หญิงสาวสบตาเพื่อนรัก แล้วหันไปเอ่ยขอบคุณทินกรก่อนเดินกลับเข้าบ้านไปเงียบๆ เมื่อพ้นร่างของจันทร์กระจ่าง นางอำภาก็ถอนหายใจยาว
ด้านอิชย์นั่งมองคนภายในบ้านหลังนั้นพร้อมอาการกัดฟันแน่น สองผัวเมียคู่นั้นจงใจปิดบังเรื่องของจันทร์กระจ่างกับเขาอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ เพราะท่าทางอึกอักและแววตาวอกแวกในตอนแรกของเมียเจ้าของบ้านทำให้เขานึกสงสัย แล้วก็จริง โชคดีที่เขาเชื่อลางสังหรณ์ของตนเอง เพราะทันทีที่เห็นร่างบอบบางของภรรยาเขาก็จำหล่อนได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านข้าง ด้านหน้าหรือด้านหลัง ทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นหล่อน ไม่มีส่วนไหนหรือมุมใดที่จะพรางสายตาของเขาได้เลย
ริมฝีปากสีเข้มได้รูปขบเม้มเข้าหากัน นึกแปลกใจที่ตนสามารถจดจำรายละเอียดของหญิงสาวมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
อิชย์ไม่คิดจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอย รีบขับรถตรงไปยังบ้านที่มีภรรยาของเขาอยู่ในนั้นด้วยความมุ่งมั่น เพราะหากเผลอละสายตาจากหล่อน เมื่อเขาหันกลับมาจันทร์กระจ่างอาจไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วก็เป็นได้
นางอำภายืดลำตัวตรงแหน็วพร้อมกับเบิกตากว้างจนทุกคนหันขวับมองตาม
“งานเข้า!” นายสถาพรเป็นคนเอ่ยออกมาก่อน และทันทีที่ร่างสูงของอิชย์ก้าวลงจากรถ ปัทมาก็จำได้ทันที แม้ไม่เคยพบหน้าตาเขาแบบเป็นๆ แต่เคยเห็นรูปภาพที่เพื่อนรักส่งให้ดูอยู่บ่อยครั้ง
“สามีจันทร์นี่แม่ ไหนแม่บอกว่าเขากลับไปแล้วไง” หญิงสาวหันไปถามมารดาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก หัวใจพานเต้นแรงตามไปด้วย ก่อนจะมองขึ้นไปบนบ้านด้วยความรู้สึกว้าวุ่นใจตามมา
“ขอโทษที่มารบกวนอีกครั้งนะครับ” อิชย์กล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ ท่าทางของเขาก็เช่นกัน ทว่าแววตาและสีหน้ากลับต่างลิบลับ ทำเอาสองผัวเมียเจ้าของบ้านถึงกับหลบสายตาคมกริบของผู้มาเยือนอย่างนึกละอายแก่ใจ
“เอ่อ” นางอำภายิ้มเจื่อน ส่วนสามีทำสีหน้าปูเลี่ยน ปัทมามองบิดามารดาแล้วถอนหายใจยาว ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ในกระท่อมออกไปหยุดตรงหน้าคนตัวโตที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเพื่อนรัก เมื่อมายืนมองเขาแบบนี้ หญิงสาวยอมรับว่าคนตรงหน้าสูงเสียจนหล่อนถึงกับแหงนคอตั้งบ่ามองเขาเลยทีเดียว ที่สำคัญ รูปร่างหน้าตาดูดีกว่าในรูปด้วยซ้ำไป แต่เดี๋ยวก่อน นี่ไม่ใช่ประเด็นนี่นา...
ปัทมากระแหร่มเบาๆ พลางกล่าว
“ฉันต้องขอโทษเรื่องก่อนหน้านี้ด้วย แต่ที่ต้องบอกแบบนั้นไป เพราะจำเป็น”
ชายหนุ่มรับฟัง สีหน้าไม่ได้ดีขึ้นจากเมื่อครู่ แต่แล้วเขาก็ถอนหายใจยาว ขณะนั้นทินกรได้แต่นั่งสังเกตอยู่เงียบๆ เพราะเป็นคนนอก
“ผมเข้าใจที่ทุกคนทำแบบนี้” เขาเอ่ย ดวงตาสีเข้มสบตาของปัทมานิ่งแล้วบอก “ขอผมพบกับจันทร์เถอะครับ ผมมีเรื่องต้องคุยกับเธอจริงๆ”
แม้แววตาและท่าทางของเขาค่อนข้างแข็งกระด้าง ไม่ได้ดูน่าเห็นใจเลยสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมปัทมายังใจอ่อน อาจเป็นเพราะรู้ดีว่าเวลานี้เพื่อนรักไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้วก็เป็นได้
“ฉันไม่รับปากนะคะ แต่จะพยายามพูดให้ก็แล้วกัน”
คำตอบของหญิงสาวทำให้สีหน้าที่ดูแข็งกระด้างของอิชย์เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลงในชั่วพริบตา ปัทมาถอนหายใจยาว พลางเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ เมื่อหันไปสบตาบิดามารดาและคนรัก ที่ต่างมองตรงมายังตนด้วยสายตาเป็นคำถามว่าคิดดีแล้วหรือ...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก...
คนที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียง ดวงตาหลุบมองโทรศัพท์ส่วนตัวเงยหน้าขึ้น จากนั้นร่างของปัทมาจึงก้าวเข้ามาพร้อมเสียงถอนหายใจและรอยยิ้มที่ดูจืดเจื่อนชอบพิกล
“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เจ้าของดวงตาแดงเรื่อเอ่ยถาม ปัทมาก้าวเข้าไปนั่งข้างร่างเพรียวระหงของเพื่อนรัก พลันดวงตาหลุบมองภาพบ้านหลังงามบนหน้าจอที่อีกฝ่ายเปิดค้างไว้ เพียงเท่านี้ก็รู้ทันทีว่าเพื่อนรักไม่เคยตัดใจจากคนเป็นสามีได้จริงๆ สักครั้ง
“คุณอิชย์ เขากลับมาอีก ตอนนี้รอแกอยู่ข้างล่าง”
คนฟังหัวใจกระตุก มือทั้งสองข้างพลันเย็นเยียบ หัวใจเต้นระรัว แววตากระเพื่อมไหวราวระลอกคลื่นยามถูกซัด
“ใจเย็นๆ นะจันทร์ ที่ฉันมาบอกกับแกไม่ใช่จะบังคับให้ลงไปพบเขา แต่เป็นเพราะเขาขอร้อง และฉันก็ไม่ได้รับปากว่าจะพาแกลงไป ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแก แต่ถ้าอยากจะให้เขาเลิกตามแกกลับไปจริงๆ แกก็ต้องลงไปพูดกับเขาให้รู้เรื่อง ทำความเข้าใจกันเสีย ทางที่ดี บอกเขาเรื่องลูกด้วยเสียเลย แกจะได้ไม่ต้องลำบากอยู่คนเดียว”
“ไม่!” หญิงสาวปฏิเสธออกมาทันควัน ทำเอาปัทมากะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ว่าที่เพื่อนปฏิเสธออกมานั้นเพราะประโยคแรกหรือประโยคหลังที่หล่อนกล่าว หรือว่าทั้งสองประโยคกันแน่
หลังจากเงียบงันกันไปอึดใจใหญ่ จันทร์กระจ่างบอกเพื่อนรักออกมาว่า
“ไม่ว่ายังไงฉันจะไม่บอกเรื่องลูกกับเขาเด็ดขาด” แม้น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นติดสั่น ทว่าแววตาที่เอ่อด้วยหยาดน้ำสีใสกลับแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวตามความตั้งใจเดิมเป็นอย่างยิ่ง
“เฮ้อ…” ปัทมาถอนหายใจเสียงดัง แต่เมื่อเพื่อนมองมาหล่อนก็ยิ้มให้ “ตามใจแกก็แล้วกัน แล้วตกลงว่าแกจะลงไปพบเขาหรือเปล่า”
หญิงสาวนิ่งลงไปอีกอึดใจ แต่แล้วหญิงสาวก็ยิ้มให้เพื่อน ปัทมาจึงยิ้มตอบ ทำท่าจะดึงมือของอีกฝ่ายให้เดินตามกันลงไป ทว่าเจ้าของข้อมือกลมกลึงกลับขืนเอาไว้พลางบอก
“ฉันไม่ลงไปหรอก”
รอยยิ้มของเจ้าของห้องพลันจืดจางลงทันควัน จันทร์กระจ่างก้มลงมองและยกมือขึ้นหยิบสร้อยคอของตนเอง แล้วดึงแหวนที่เขาเคยสวมให้หล่อนเมื่อสองปีก่อนออกมา จากนั้นจึงลุกขึ้นตรงไปยังกระเป๋า ค้นอยู่อึดใจจึงกลับมาพร้อมซองกระดาษ หย่อนแหวนวงนั้นลงไป เงยหน้ามองเพื่อนรักที่ลุกขึ้นยืนมองมาเงียบๆ แล้วยื่นให้อีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มที่จืดจางเต็มที
“ฝากเอาไปคืนให้เขาด้วยนะปัท”
ปัทมารับซองจากมือของเพื่อน คิ้วเรียวเกือบชนกันเมื่อก้มมองซองในมือตน
“จะดีเหรอ ไหนๆ ก็ตัดสินใจแบบนี้แล้วทำไมไม่ลงไปคืนให้เขาด้วยตัวเองล่ะ”
หญิงสาวก้าวไปยังริมหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวนั้นไม่ได้หนาเสียจนมองคนด้านล่างไม่เห็น จึงทำให้เจ้าของดวงตาคู่งามต้องหวั่นไหวอีกครั้งเมื่อมองเห็นร่างสูงใหญ่ของใครบางคน เพียงแวบเดียวที่ได้เห็น หล่อนจดจำเขาได้ทันที ยิ่งหลับตายิ่งชัดเจน...
“เพราะรู้ว่าตัวเองใจยังไม่แข็งพอ ฉันกลัวว่าจะใจอ่อนยอมตามเขากลับไป ถึงได้ทำแบบนี้”
ปัทมาส่ายหน้า ไม่รู้จะพูดอะไรอีก เพราะที่ควรพูด หล่อนก็ได้พูดมันออกมาจนหมดแล้ว
“ถ้าแน่ใจว่าจะทำแบบนี้จริงๆ และไม่เสียใจที่ได้ทำแบบนี้ ฉันก็จะเป็นคนเอามันลงไปคืนให้เขาเอง”
“ขอบใจ” น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นช่างเบาหวิว และไร้ซึ่งน้ำหนัก ก่อนหันกลับไปมองคนด้านล่างอีกครั้ง ปัทมายืนมองเพื่อนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจยาวแล้วก้าวตรงไปยังประตูห้อง
“ปัท”
เจ้าของร่างเล็กชะงักเท้า และหันกลับไปด้วยมีความหวังว่าเพื่อนอาจจะเปลี่ยนใจ แต่สิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมากลับทำให้คนฟังรู้สึกเจ็บแทนคนที่จะได้ยิน
“บอกเขาไป ว่าฉันก็เหมือนกับสายน้ำ” ปัทมานิ่วหน้า กระทั่งเพื่อนเอ่ยประโยคถัดมาจึงเข้าใจ “เพราะมันไม่เคยไหลย้อนกลับ”
น้ำตาที่ไหลออกมากระทบนวลแก้มของเพื่อนทำให้ปัทมาเม้มปาก แต่ฝ่ายนั้นรีบเช็ดออกอย่างรวดเร็ว ตอนนี้หล่อนมั่นใจว่าคนที่เจ็บที่สุดไม่ใช่คนข้างล่าง แต่เป็นเพื่อนของหล่อน เพราะต้องตัดใจทั้งที่ยังรักเขาปานนั้น...