๔
ที่พักใจ
เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทาง จันทร์กระจ่างก็ขึ้นรถรับจ้างที่นัดแนะเอาไว้ล่วงหน้า มุ่งตรงสู่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงจึงมาถึง ทันทีที่ก้าวลงจากรถพร้อมกระเป๋าเดินทางสองใบ คนที่ออกมาจากบ้านและชะเง้อคอเมียงมองก็เบิกตากว้างด้วยความดีใจ
“จันทร์!!”
จันทร์กระจ่างยิ้มทั้งน้ำตา เมื่อปัทมาเดินแกมวิ่งออกมาจากตัวบ้านสองชั้นกึ่งไม้กึ่งปูน ยิ้มแป้นตรงมาหา
“โอ๊ย ฉันกำลังเป็นห่วงแกอยู่เลย นี่กำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทร.หาอยู่พอดี ไป เข้าบ้านกัน” ปัทมาแย่งกระเป๋าของเพื่อนไปถือ อีกข้างจับจูงมือเพื่อนรักดึงเข้าบ้าน โดยมีบิดาและมารดาออกมายืนรอต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวไหว้ทำความเคารพนายสถาพรและนางอำภา สองสามีภรรยาผู้เป็นบิดาและมารดาของปัทมาเพื่อนรัก ผู้มีน้ำใจให้ที่พักพิงยามคับขันเช่นนี้
“เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยไหม” นางอำภาเอ่ยถามด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม
“ไม่เหนื่อยค่ะแม่” หญิงสาวยิ้มให้ทั้งสอง ก่อนหันมายิ้มให้เพื่อนรัก
“เอ้าๆ เข้าบ้านกันก่อนเถอะ มาเหนื่อยๆ จะได้กินข้าวกินปลาแล้วพักผ่อน ว่าแต่เจ้าพัฒน์มันหายหัวไปไหนตั้งแต่เช้า”
นายสถาพรบ่นถึงลูกชายคนโตพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ
“พี่พัฒน์แวะไปหาพี่โย เห็นว่ารถล้มเมื่อวานนี้”
“อ้าว เป็นอะไรบ้างหรือเปล่า” คนเป็นพ่อนิ่วหน้า เช่นเดียวกับมารดาที่ทำท่าตกใจ
โย หรือโยธกา คือสาวคนรักของพิพัฒน์ที่คบหาดูใจกันมาปีเศษ บ้านของอีกฝ่ายอยู่ในหมู่บ้านถัดไปนี่เอง
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกจ้ะ แต่ฟกช้ำไปทั้งตัวเท่านั้น” ปัทมาตอบ จากนั้นทั้งหมดจึงพากันเข้าไปในบ้าน
เมื่อรับประทานอาหารจนอิ่มหนำสำราญ ปัทมาจึงช่วยเพื่อนรักยกกระเป๋าขึ้นไปบนห้องนอน
“แกนอนกับฉันนะจันทร์” ปัทมาลากกระเป๋าเดินทางของเพื่อนตรงไปยังตู้เสื้อผ้า ฝ่ายมาขออาศัยมองท่าทางกระตือรือร้นของเพื่อนแล้วยิ้มอย่างตื้นตันใจ
“ขอบใจมากนะปัท และก็ต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนพ่อกับแม่แล้วก็แกกะทันหันแบบนี้”
ปัทมานิ่วหน้าพร้อมถอนหายใจพรืด
“คิดมาก รบกงรบกวนอะไร รู้ไหมว่าพ่อกับแม่ดีใจมากที่รู้ว่าแกจะมาพักกับพวกเรา แกเองก็น่าจะรู้ดีว่าพ่อกับแม่เอ็นดูแกขนาดไหน ถามถึงแกประจำ ฉันเองก็ดีใจจนเนื้อเต้นที่เพื่อนรักของฉันจะมาอยู่ด้วย นี่แกนอนริมนี้นะ ฉันนอนริมหน้าต่างเอง”
ปัทมาปัดที่นอนเบาๆ สีหน้าและแววตาดูดีใจและตื่นเต้นมากที่ได้ต้อนรับเพื่อนรักในครั้งนี้ หญิงสาวมองเพื่อนแล้วน้ำตาซึม เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นจากฟูกขนาดหกฟุต จันทร์กระจ่างก็เดินเข้าไปกอดเพื่อนจนคนถูกกอดตกใจ
“จันทร์” ปัทมาลูบหลังเพื่อนรัก ปลอบใจคนที่กำลังสะอื้นฮักในอ้อมแขน “ไม่เป็นไรนะแก ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่เป็นไร”
จันทร์กระจ่างสะอื้นไห้ปานจะขาดใจ ราวกับว่าสิ่งที่ถูกเก็บกดมานานได้พังทลายลงในวินาทีนั้น
ปัทมาปลอบใจเพื่อนรักอยู่พักใหญ่ จึงได้ยินเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดที่โรงจอดรถ คนที่ซบกอดเพื่อนซาเสียงสะอื้นแล้วผละร่างออกจากอ้อมแขนอบอุ่น
“พี่พัฒน์กลับมาแล้ว” ปัทมาเอ่ยขึ้น พลางเช็ดน้ำตาออกจากนวลแก้มงาม ดวงตาที่มองเพื่อนยามนี้เหมือนแววตาของพี่สาวที่กำลังมองด้วยสายตาปลอบใจน้องสาวไม่มีผิด “แกไปอาบน้ำก่อนเถอะ แล้วถ้าอยากจะพักผ่อนก็นอนได้เลย ไม่ต้องห่วงหรือเกรงใจพวกฉัน”
เจ้าของดวงตาแดงก่ำน้ำตาเอ่อคลอออกมาอีก ทำให้คนเป็นเพื่อนหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ฝ่ามือยังคงลูบแขนลูบไหล่กลมกลึงเช่นเดิม
“เฮ้อ...ไม่เจอกันสองสามปี เพื่อนฉันกลายเป็นคนขี้แยไปซะแล้ว”
จันทร์กระจ่างยิ้มจางๆ เมื่อเพื่อนรักกระเซ้าเย้าแหย่
“ขอบใจมากนะ”
ลูกสาวเจ้าของสวนมะพร้าวพยักหน้า จากนั้นจันทร์กระจ่างจึงขอตัวอาบน้ำ ส่วนปัทมาลงไปด้านล่างเมื่อได้ยินเสียงของพ่อและแม่คุยอยู่กับพี่ชาย กำลังถามไถ่ถึงอาการของโยธกา
“แล้วไม่เป็นอะไรแน่นะ ทำไมไม่พาไปโรงพยาบาล” นางอำภาถามอย่างสงสัย คนตัวสูงใหญ่ผิวคล้ำยกขวดน้ำขึ้นดื่มอักๆ พลันสายตามองไปเห็นน้องสาวที่กำลังก้าวลงมาจากชั้นบน
“พี่โยเป็นไงมั่งพี่” ปัทมาเอ่ยถามพี่ชาย
“กำลังน่วมได้ที่เลย แต่ไม่มีอะไรแตกหัก ไปโรง’บาลมาแล้ว หมอให้กลับมาพักผ่อนที่บ้านได้ เขาว่าไม่เป็นอะไรมาก” เขาพูดติดตลก ทำเอาน้องสาวค้อนควัก
“กินข้าวสิพี่”
“กินมาแล้ว กินที่บ้านโยนั่นแหละ” เขาตอบ พลางนั่งลงบนโซฟาตัวเล็ก ก่อนจะเลิกคิ้วอย่างนึกแปลกใจเมื่อถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ จากทุกคน “เป็นอะไรกันไปหมด”
ปัทมายิ้มกริ่มพลางก้าวเท้าเข้าไปนั่งข้างๆ พี่ชาย ขณะที่พ่อและแม่นั่งอยู่บนโซฟาอีกฟากหนึ่ง ตรงกับทีวีที่กำลังเปิดเสียงแจ้วๆ
“ทายซิ ใครมา”
พิพัฒน์ขมวดคิ้วมุ่น พลางถอนหายใจยาว
“บ๊ะ ใครจะไปรู้” เมื่อพี่ชายทำหน้ายุ่งเหยิง น้องสาวจึงหัวเราะคิกคัก
“จันทร์กระจ่าง เพื่อนหนูไง”
คำตอบของปัทมาทำเอาพิพัฒน์ถึงกับชะงัก เขามองน้องสาวราวกับว่าไม่อยากเชื่อ ก่อนจะหันไปทางพ่อกับแม่ ทั้งสองจึงพยักพเยิดส่ง
“จริงดิ แล้วอยู่ไหน” เขาทำท่าตื่นเต้น ชะเง้อมองขึ้นไปบนบ้าน แล้วหันไปยังในครัว ทำเอาปัทมาหัวเราะคิกแล้วรีบปรามเอาไว้ทันที
“แหะ! อย่าลืมล่ะ ว่าตอนนี้พี่มีแฟนแล้ว อย่ามาทำรุ่มร่ามเชียว เดี๋ยวพี่โยฉีกอกเอา”
พิพัฒน์ยอมรับว่าทันทีที่เขาได้ยินชื่อจันทร์กระจ่าง หัวใจของเขากระตุกโลด เกิดความยินดีขึ้นอย่างไม่อาจห้ามใจได้ แต่เมื่อถูกน้องสาวเตือน อาการเต้นโครมครามของก้อนเนื้อบนอกข้างซ้ายจึงทุเลาลง
“ไปไงมาไง มาเยี่ยมเหรอ” เขาถามอย่างอยากรู้
“เปล่า จันทร์จะมาอยู่กับเราสักระยะหนึ่ง” คนเป็นพี่ทำท่าถาม น้องสาวจึงตัดบทออกมาว่า “เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยเล่าให้ฟัง ตอนนี้หนูให้จันทร์มันนอนพักผ่อนแล้ว พรุ่งนี้ค่อยทักทายกันนะ พี่พัฒน์อย่าเพิ่งรีบออกไปทำงานล่ะ อยู่คุยกันก่อน”
เมื่อน้องสาวกำชับ เขาจึงพยักหน้าเบาๆ เพราะเขาก็อยากพบกับหญิงสาวเหมือนกัน จากนั้นปัทมาก็กลับขึ้นชั้นบน พิพัฒน์จึงหันไปหาบิดาและมารดาแทน
“พ่อกับแม่รู้หรือเปล่า ว่าไปไงมาไง จันทร์ถึงได้จะมาอยู่กับเราที่นี่”
คนทั้งสองถอนหายใจยาวก่อนส่ายหน้า ที่ท่านรู้มาก็ไม่มากไปกว่าที่ลูกชายรู้เหมือนกัน...
วันนี้เป็นวันหยุด แต่อิชย์ออกจากบ้านแต่เช้า เขาเข้าไปพบเพื่อนที่เป็นตำรวจเรื่องของจันทร์กระจ่าง จากนั้นจึงเข้าไปดูวัวที่ฟาร์มตามปกติ ใบหน้าของเขาค่อนข้างเคร่งขรึมกว่าปกติจนไม่มีใครกล้าแซวเหมือนทุกวัน ขณะเดียวกันเรื่องของจันทร์กระจ่างเริ่มแพร่สะพัด เพราะมีคนตาดีเห็นหญิงสาวลากกระเป๋าขึ้นรถโดยสารเมื่อวันก่อน
“มึงได้ข่าวเมียพี่อิชย์ย้ายออกจากบ้านหรือเปล่าวะ” คนงานชายเอ่ยขึ้น เมื่อร่างสูงของนายจ้างเดินผ่านไปได้สักพัก
“แว่วๆ มาเหมือนกัน นี่เรื่องจริงเหรอวะ กูนึกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันซะอีก” คนตอบทำหน้าแปลกใจแกมงุนงง
“จริง เมื่อวานมีคนเห็นคุณจันทร์หอบกระเป๋าสองใบขึ้นรถทัวร์ที่ขนส่ง”
“จริงดิ ไปไหนวะ”
“เขาว่าปลายทางไปราชบุรีนะ แต่มันก็ไม่แน่ อาจจะลงระหว่างทางก่อนถึงก็ได้”
ทั้งหมดมองตามแผ่นหลังกว้างของนายจ้างที่เดินไปหยุดยังคอกวัว ร่างสูงยืนกอดอกมองเจ้าพวกนั้นด้วยแววตาราบเรียบทว่าแฝงความในใจไว้มากมาย และพวกตนคิดว่าอีกฝ่ายกำลังคิดถึงภรรยา
อิชย์อยู่ที่ฟาร์มตลอดช่วงเช้า พอบ่ายเขาก็ขับรถไปที่บ้านพ่อกับแม่ ได้พบกับอัจฉราที่อยู่โยงเฝ้าบ้านตามเคย คนเป็นพี่สาวได้เห็นใบหน้าเคร่งขรึมของน้องชายแล้วนึกสมน้ำหน้าอยู่ในใจ แต่พอเห็นแววตาที่บอกถึงความเครียดก็ให้รู้สึกเห็นใจนิดๆ ถึงอย่างไรก็ยังเล็กน้อยถ้าเทียบกับที่จันทร์กระจ่างต้องอดทนมาตลอด
บางทีหล่อนก็แอบคิดว่าน้องสะใภ้ตัดสินใจแบบนี้ถือว่าดีกับคนทั้งสอง ในเมื่อต้องอยู่กับคนที่ไม่รู้ว่าจะรักตอบได้เมื่อไรสู้ไปเสียดีกว่า จะมาอดทนอยู่กับคนไม่เคยเห็นค่าทำไม เสียใจอยู่อย่างเดียว ที่ฝ่ายนั้นไปโดยไม่บอกลากัน
แต่เมื่อใคร่ครวญหล่อนจึงเข้าใจความรู้สึกของจันทร์กระจ่าง หากบอกว่าจะไปไหนคงไม่แคล้วที่หล่อนจะทำใจแข็งได้ไม่นาน สุดท้ายก็ยอมบอกน้องชายอยู่ดี
“ไง หน้าตาอิดโรยมาเชียว ได้นอนมั่งหรือเปล่า” อัจฉราเอ่ยถาม เมื่อร่างสูงของอิชย์นั่งลงบนเก้าอี้ภายในศาลาที่ยื่นออกมาจากตัวบ้าน และตั้งตัวอยู่ภายในสระน้ำขนาดกะทัดรัด มีปลาน้อยใหญ่แหวกว่ายไปมา รอบๆ สระปลูกต้นไม้ใหญ่เอาไว้เป็นระยะ จึงไม่ร้อนอบอ้าวจนเกินไปนัก
อิชย์รับแก้วน้ำมะนาวไปดื่ม ขณะที่คนเป็นพี่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้าม
“ก็ได้นอน แต่นอนไม่ค่อยหลับ”
คำตอบของน้องชายทำให้คนฟังถอนหายใจยาว ตอนมีเมียอยู่ข้างๆ ไม่เคยสนใจ พอเขาไปกลับนอนไม่หลับ...