ที่สถานีขนส่ง จันทร์กระจ่างส่งเงินให้คนขับรถรับจ้าง แล้วลากกระเป๋าเดินทางตรงไปยังรถประจำทางที่จอดอยู่ภายในสถานีขนส่งของจังหวัด ร่างระหงตรงไปยังช่องจำหน่ายตั๋ว นั่งรอไม่นานรถโดยสารคันโตก็เคลื่อนตัวออกจากสถานีขนส่ง ทะยานสู่จุดหมายปลายทางที่ใครหลายคนต่างจดจ่อรอคอย...
เมื่อออกมาจากตัวเมืองได้สักพัก สองข้างทางที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าสลับกับบ้านเรือนของผู้คน หญิงสาวกอดอกแล้วมองออกไปทางหน้าต่างด้วยสายตาเลื่อนลอย ความรู้สึกยามนี้ขมปร่า แม้พยายามไม่คิดถึงคนที่เพิ่งจากมาแต่ไม่ง่ายเลยสักนิดที่จะทำแบบนั้น
เหตุผลของการจากมาโดยไม่กล่าวลา เพียงต้องการบอกเขาให้รู้ว่าการที่ปล่อยให้ใครสักคนต้องรอโดยไร้จุดหมาย และถูกมองอย่างคนหมดความสำคัญนั้นให้ความรู้สึกเป็นเช่นไร แต่เหตุผลแท้จริงของการลาจาก คือหล่อนรู้แล้วว่าไม่มีทางแทรกเข้าไปในหัวใจของเขาได้ ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนก็ตาม เพราะในนั้นยังคงเป็นที่ของเหมือนแพรเสมอ หล่อนจึงเลือกที่จะเดินออกมาเงียบๆ
หญิงสาวยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาก่อนที่จะเป็นจุดสนใจของผู้โดยสารคนอื่น บอกตนเองว่านับแต่นี้ต่อไปหล่อนมีเพียงตัวคนเดียว...
เวลาเดียวกัน อิชย์ประสานงานไปที่เพื่อนตำรวจ ฝ่ายนั้นวิทยุสื่อสารไปยังด่านตรวจ ทั้งยังส่งคนไปสืบจนถึงสถานีขนส่งจังหวัด ทว่ากลับไร้วี่แววของจันทร์กระจ่าง
รถบัสที่น่าสงสัยไม่มีคันไหนที่หญิงสาวโดยสารไปด้วย อิชย์มืดแปดด้าน เขาไม่รู้จะไปหาหล่อนได้จากที่ไหนอีกแล้ว
ด้านนายอังกูรและนางมนพรเมื่อทราบเรื่องก็นั่งรถมาที่บ้านของลูกชายในทันทีโดยมีอัจฉราเป็นคนขับ เมื่อมาถึงจึงได้พบกับนางแม้นและจอยที่ยืนรออยู่หน้าบ้าน
“ตาอิชย์ล่ะ” นางมนพรเอ่ยถามรัวเร็ว
“ยังไม่กลับมาเลยค่ะ พอรู้เรื่อง คุณอิชย์ก็รีบออกไป”
นางมนพรถอนหายใจยาว นึกเสียดายลูกสะใภ้คนนี้เหลือเกิน แม้จะไม่ได้ตบแต่งเป็นกิจจะลักษณะ แต่นางก็ยอมรับหญิงสาว และเคยบอกให้ลูกชายทำทุกอย่างให้ถูกต้องเหมาะสม ทว่าอีกฝ่ายกลับนิ่งเฉยมาโดยตลอด
“อัจ พอจะรู้จักเพื่อนๆ ของจันทร์บ้างไหม”
อัจฉราพยักหน้า
“รู้แม่ หนูโทร.ไปหมดแล้ว ไม่มีใครเจอหรือรู้เรื่องเลยสักคน”
“แล้วญาติพี่น้องล่ะ มีใครรู้บ้างไหม”
“ไม่มีเหมือนกันแม่” อัจฉราตอบเสียงเบา พลางนึกเป็นห่วงน้องสะใภ้มากขึ้นไปอีก
จันทร์กระจ่างเคยอยู่กับมารดาและบิดาแถวชานเมือง รู้จักกับตนเมื่อครั้งยังเรียนหนังสือ พ่อและแม่มีอาชีพค้าขายกระทั่งหญิงสาวเข้ามหาวิทยาลัยทั้งสองก็ประสบอุบัติเหตุประสานงากับรถสิบล้อจนเสียชีวิตทั้งคู่ จันทร์กระจ่างพอมีญาติอยู่บ้าง แต่สุดท้ายหญิงสาวก็เลือกที่จะใช้ชีวิตเพียงลำพัง โดยให้เหตุผลว่าตนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว การจะให้ไปพึ่งพาคนอื่นที่แม้จะเป็นญาติแต่ก็มีภาระหนักอึ้งกันทั้งนั้นเห็นว่าไม่เหมาะนัก จึงเรียนและทำงานควบคู่กันไปด้วย
“แล้วจะไปไหน” นายอังกูรเอ่ยขึ้น น้ำเสียงบ่งบอกถึงความกังวลชัดเจน ทั้งหมดเข้าไปนั่งรออิชย์ภายในบ้าน ล่วงเลยเวลาอาหารเย็นชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า กลับไม่มีใครกินอะไรลง เพราะเอาแต่เป็นห่วงจันทร์กระจ่าง ผู้หญิงที่ตอนเรียนก็เอาแต่เรียนและทำแต่งาน พอมีสามีก็อยู่แต่บ้านและดูแลแต่สามี จะไปที่ไหนได้ ยิ่งคิด ก็ยิ่งมืดแปดด้านและเป็นห่วงจับใจ
บรื้นนน...
เสียงรถกระบะดังที่บริเวณหน้าบ้าน ทำให้คนทั้งหมดต่างลุกขึ้นยืนแทบจะพร้อมเพรียงกัน และชะเง้อมองออกไป ร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามาในเวลาเกือบสี่ทุ่มครึ่งดูอ่อนล้าไม่น้อย ขณะเดียวกันทุกคนมองไปยังเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง แม้ไม่พบตัวแต่ถ้าได้ข่าวคราวบ้างก็ยังดี
“ว่ายังไงบ้างลูก ได้ข่าวน้องไหม” นางมนพรยกมือขึ้นจับแขนกำยำของลูกชาย พลางกวาดตามองดวงหน้าคมคายของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและกังวลใจในเวลาเดียวกัน
“ไม่เจอครับ” เขาตอบเสียงเรียบแต่แฝงอาการอ่อนล้า ส่วนสีหน้าที่แสดงออกเคร่งขรึมกว่าทุกวัน ขณะที่คนฟังใจหายวาบ ทุกคนเกิดความรู้สึกเดียวกันคือ เป็นห่วง...
“ผู้หญิงตัวคนเดียวแบบนั้นจะไปที่ไหนได้ น้องเคยพูดหรือเปรยให้ฟังบ้างหรือเปล่าว่าอยากไปที่ไหน”
นางมนพรเอ่ยถามลูกชายด้วยน้ำเสียงร้อนรน ระหว่างนั้นนายอังกูรได้เห็นแววตาไหววูบของลูกชายที่บ่งบอกถึงความกังวลใจและรู้สึกผิด
“มานั่งก่อนเถอะ หิวหรือเปล่า”
ชายหนุ่มเหลือบตามองบิดา ลมหายใจพรูพรั่งพร้อมส่ายหน้า
“ไม่หิวครับ”
แน่นอน ตอนนี้ไม่มีใครคิดอยากจะกินอะไรทั้งนั้น
ร่างสูงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างมารดา ส่วนบิดานั่งข้างๆ ลูกสาว นางแม้นและจอยนั่งตัวถัดไป
“แล้วจะเอาไงต่อ” หลังจากที่นิ่งเงียบมานาน อัจฉราจึงเอ่ยถามน้องชาย อีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบใบหน้าอย่างจนหนทาง
“ผมยังไม่รู้”
คนเป็นพี่ขมวดคิ้วพลางเม้มปากแน่น รู้สึกโกรธน้องชายจนตัวสั่น เพราะช่วงสายเพื่อนที่เป็นนางพยาบาลในจังหวัดโทรศัพท์มาบอกกับหล่อนว่าพบอิชย์ที่โรงพยาบาล ตอนแรกหล่อนก็ตกใจคิดว่าใครสักคนเป็นอะไร แต่เมื่อรู้ว่าน้องชายดอดไปนอนเฝ้าอดีตคนรักที่ประสบอุบัติเหตุจนต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลก็โกรธจนควันออกหู แต่ยังเก็บเรื่องนี้รอที่จะเล่นงานเจ้าตัวโดยตรง ทว่ายังไม่ทันไร น้องสะใภ้คนโปรดก็หายออกจากบ้านเสียก่อนที่จะได้มีการจัดการต้นเรื่อง
“เรื่องนี้มันเป็นเพราะแกคนเดียว รู้เอาไว้ซะด้วย”
ไม่พูดเปล่า แต่อัจฉรามองน้องชายตาขวาง ทำให้นายอังกูรมองลูกสาวด้วยสายตาเข้มจัด
“อัจ ตอนนี้เราต้องช่วยกันคิดว่าจะหาตัวจันทร์ได้ที่ไหน ไม่ใช่เวลาจะมาโทษน้อง”
หญิงสาวเม้มปากแน่นเมื่อถูกบิดาเอ็ด ส่วนอิชย์นั้นละสายตาจากพี่สาวแล้วสบตาบิดาอย่างนึกขอบคุณ
“พรุ่งนี้ผมจะออกแต่เช้า จะไปแจ้งความ แล้วออกตามหา”
อัจฉราได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะหลุดปากออกไป
“ถ้าใครบางคนรู้ว่าจันทร์ไม่อยู่คงตีปีก ได้ข่าวว่านอนแบ็บอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ ตอนนี้นายว่างแล้วนี่ ไม่ไปเฝ้าอีกสักคืนล่ะ”
สิ้นคำของอัจฉรา สายตาทุกคู่ก็มองขวับมายังอิชย์
“แกพูดอะไรของแก” นางมนพรหันไปมองลูกสาวนัยน์ตาเขียวปัด ขณะที่ลูกชายนิ่งเงียบและถูกจับจ้องจากสายตาของบิดามารดาด้วยอาการกังขา “ว่าไงอิชย์ พี่แกหมายความว่าอะไร”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว สบตามารดาอยู่อึดใจก่อนตอบ
“ไม่มีอะไรครับ”
ไม่เพียงนางมนพรที่ไม่เชื่อ แต่นายอังกูรเองคิดว่ามองไม่ผิด ลูกชายกำลังมีเรื่องปิดบังตนและทุกคนในที่นี้
“ก็หวังว่าเรื่องที่พี่แกพูดจะไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เมียของแกต้องเก็บกระเป๋าออกจากบ้านไปโดยไม่บอกไม่กล่าวกันแบบนี้หรอกนะ”
คำกล่าวนี้เป็นของนายอังกูร สายตาที่มองลูกชายจึงเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและดุดัน
เจ้าของดวงตาคมกริบไม่ต่างจากบิดาหลุบต่ำ เขาเองคิดเรื่องนี้มาทั้งวัน ถ้าหล่อนจะโกรธเรื่องที่เขาหายไปทั้งคืนก็ไม่น่าจะทำให้ถึงกับหนีเขาไปโดยไม่คิดเอ่ยลา แต่ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่ามันมากกว่านั้น ชายหนุ่มตวัดสายตามองไปยังพี่สาวอีกครั้ง คราวนี้ฝ่ายนั้นจ้องตอบกลับมาเช่นกัน
เขาไม่แปลกใจนักถ้าอัจฉราจะรู้เรื่องนี้ เพราะมีเพื่อนรักทำงานอยู่ในโรงพยาบาลที่เหมือนแพรพักรักษาตัว แต่ก็ไม่คิดว่าพี่สาวจะบอกเรื่องนี้กับจันทร์กระจ่างเช่นเดียวกัน และถึงบอกก็ไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวโกรธจนตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป เพราะเขาได้บอกไปแล้วว่าหายไปไหนมาทั้งคืน อะไร ที่ทำให้หล่อนจากเขาไปเงียบๆ
ถ้าเป็นเรื่องเหมือนแพร ทำไมหล่อนไม่พูดกับเขาตรงๆ ทำไมต้องทำแบบนี้
ดวงตาสีเข้มหรี่แคบยามขบคิดหาเหตุผลของการจากไปโดยไร้คำร่ำลาของหญิงสาว