ตอนที่ 18 ช้าหรือเร็วก็ต้องล่มสลายกันไปข้าง

1249 Words
สายตาที่หลานเยว่ทอดมองชายตรงหน้า มิได้สะท้อนความคาดหวังใดแม้แต่น้อย เยียบเย็นจนแทบไร้ชีวิต หากแต่คำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากนาง…กลับทำให้หัวใจของชายผู้หนึ่งกระตุก “หากท่านสามารถฉีกกระชากมันลงสู่ขุมนรกที่ลึกที่สุดได้...บางที ข้าอาจจะบอกกับหลานจิ่วอวิ๋นว่า เขามีท่านตาที่รักเขามากอยู่อีกหนึ่งคน” เสียงของนางเรียบเรื่อย แต่ทุกถ้อยคำกลับหนักราวก้อนหินทับอกเป็นคำพูดที่ไม่ใช่ การให้อภัย แต่คือ เหยื่อล่อ คือเศษเสี้ยวของความหวัง...ที่แลกมาด้วยคำมั่นอันโหดเหี้ยม แม่ทัพหลานซือเหยียนกำหมัดแน่นจนข้อกระดูกขาวซีดในอกของเขากำลังเดือดพล่าน...ไม่ใช่เพราะโทสะ แต่เป็นความขัดแย้งในจิตใจผู้หญิงที่เขาเคยมองว่าไร้ค่าบัดนี้กลับจับด้ามดาบแห่งชะตากรรมไว้แน่น และใช้เขาราวกับเป็นหุ่นเชิดในเงื้อมมือเขากัดฟันแน่นแต่ก่อนจะได้เอ่ยอะไร เสียงหัวเราะใส ๆ จากอีกมุมหนึ่งของจวนก็ดังลอยมากับสายลมเสียงนั้นเสียงที่บริสุทธิ์ ไร้มลทินเสียงของเด็กชายผู้หนึ่ง…ผู้มีแววตาเฉลียวฉลาด และพลังลมปราณที่ค่อย ๆ งอกงามขึ้นตามกาลเวลา แม่ทัพหลานซือเหยียนหันไปมองและเพียงแค่เห็นเงาร่างเล็ก ๆ นั้นในแสงแดดอ่อน...หัวใจของเขาก็เจ็บวูบเจ็บเพราะคิดว่าตนไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าไปโอบอุ้มเด็กคนนี้ไว้แนบอก “เหอะ...!” เสียงกระแทกออกจากลำคอด้วยความขุ่นเคืองปะปนเจ็บลึกเขาสะบัดอาภรณ์หันหลังอย่างเฉียบขาด และหมุนตัวเดินจากไปฝีเท้าหนักแน่น ดุดัน ราวกับพยายามกลบเสียงหัวใจที่กำลังสั่นไหว...กลบความรู้สึกที่ไม่ควรมีมาตั้งแต่ต้น และเบื้องหลังของเขาหญิงสาวผู้เคยถูกทอดทิ้ง…ยังคงยืนมองด้วยแววตาเยียบเย็นหากแต่ภายในนั้น อาจจะมีเศษเสี้ยวของแผลเก่า…ที่ยังไม่เคยสมาน แม่ทัพหลานซือเหยียนกลับถึงจวนในยามสนธยา ใบหน้าเคร่งเครียดราวมีคลื่นพายุซ่อนอยู่ภายในจิตใจ ก้าวเท้าที่เคยมั่นคงกลับแฝงความลังเลหนักอึ้งในทุกย่างเดินเมื่อย่างก้าวพ้นเรือนหน้า หลานหย่งจวิน บุตรชายคนโตก็ปรากฏตัวพร้อมเอ่ยทักอย่างฉงน “ท่านพ่อ สีหน้าของท่านในตอนนี้...มันหมายความว่าอย่างไร?” คำถามนั้นทำให้แม่ทัพหลานซือเหยียนชะงักเล็กน้อย แต่เขาไม่เอ่ยตอบ เพียงถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนกล่าวเสียงหนัก “เข้าไปข้างในก่อนเถิด เราจะพูดคุยกันในเรือน” แม้ที่นี่จะเป็นจวนของตระกูลหลาน หากแต่เรื่องที่เขาจะเปิดเผยนั้นเกี่ยวพันกับเครือข่ายอำนาจในราชสำนัก การปิดปากยังปลอดภัยกว่าการเปิดเผยแม้แต่กับอากาศเมื่อเข้าสู่ห้องลับภายในเรือนหลัก บรรยากาศภายในเงียบกริบราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน แม่ทัพหลานซือเหยียนจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าตัดสินใจแล้ว...ข้าจะจัดการซ่งเจี้ยนหง และตัดขาดจากตระกูลซ่งอย่างสิ้นเชิง” คำพูดนั้นราวฟ้าผ่ากลางห้อง แต่หลานหย่งจวินกลับไม่ได้แสดงความตกใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม แววตากลับวาววับ ก่อนจะเร่งเอ่ยตอบในทันที “ท่านพ่อ สมแล้วที่เป็นท่าน! ท่านเด็ดขาดยิ่งนัก! ฉายามังกรคู่พิทักษ์แผ่นดิน อะไรนั่น...มันก็แค่คำพูดไร้สาระ!” สองตระกูล หลานและซ่ง ถูกผู้คนยกย่องว่าคือเสาหลักแห่งยุค เป็นมิตรแท้แห่งสนามรบ เป็นขุนพลคู่บัลลังก์ หากแต่ในความเป็นจริง เบื้องหลังคำยกย่องนั้นเต็มไปด้วยแรงเสียดทานที่มองไม่เห็น หลานหย่งจวินรู้ดีว่าในสายตาราชสำนัก เขาไม่เคยสว่างไสวเท่าซ่งเจี้ยนหง ผู้เป็นดั่งดาวรุ่งของยุค บุรุษผู้มีทั้งพรสวรรค์ วาทศิลป์ และเสน่ห์แห่งผู้นำ “หากซ่งเจี้ยนหงล้มลง…สายตาทุกคู่ในวังจะหันกลับมามองข้า!”เขาไม่ได้พูดออกมาแต่ความคิดนั้นชัดเจนในใจเขามิได้เร่งเร้าเพราะภักดีต่อบิดา หากแต่เร่งรัดเพราะความริษยาที่ครอบงำมานานนับปี ส่วนแม่ทัพหลานซือเหยียน…ยังคงนิ่งเงียบ เขาจ้องหน้าบุตรชายด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกว่าคิดเช่นไร เขารู้ดีว่าคำตอบที่ได้รับไม่ใช่เพราะความเข้าใจ หากแต่เพราะความทะเยอทะยาน แต่เขาไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่มเพราะตอนนี้…เรื่องระหว่างเขา กับซ่งเจี้ยนหงไม่ได้เกี่ยวข้องแค่การเมืองหากคือการตอบแทนเลือดเนื้อของเขาเองและในเมื่อเขาเลือกแล้วว่าจะเป็นดาบ ในมือของหลานเยว่ ก็ไม่มีหนทางใดให้หันหลังกลับอีกต่อไป “ท่านพ่อ...”เสียงทุ้มต่ำของหลานหย่งจวินดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบงันของห้อง “เกี่ยวกับแผนการในครั้งนี้…ข้าจะขอร่วมมือกับท่านด้วย” แววตาของเขาเปล่งประกายไม่ใช่เพราะภักดี หรือห่วงใย หากแต่เต็มไปด้วยเพลิงแห่งความอาฆาต พูดด้วยน้ำเสียงที่ชั่วร้ายเกินกว่าจะปิดบังเจตนาเขารอคอยมานานแล้ว...วันที่จะได้บดขยี้ชื่อของซ่งเจี้ยนหง บุรุษที่ผู้คนเอ่ยชมยิ่งกว่าเขาทั้งในสนามรบ และในราชสำนักแต่คำตอบของแม่ทัพหลานซือเหยียน กลับเย็นชาเฉียบขาด “ไม่ได้เรื่องนี้ เจ้าห้ามยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องโดยเด็ดขาด ข้าจะเป็นผู้ลงมือด้วยตนเอง” แม้คำพูดนั้นจะเสมือนตัดสายสัมพันธ์ แต่หลานหย่งจวินกลับไม่แสดงความขุ่นเคืองเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขาโค้งศีรษะรับด้วยท่าทีนอบน้อม “ในเมื่อเป็นความประสงค์ของท่านพ่อ ลูกชายผู้นี้…ย่อมไม่สอดมือเข้าไป” หากแต่เบื้องหลังดวงตาคู่นั้น กลับเต็มไปด้วยเพลิงความหวังลุกโชน “แต่หากเมื่อใด...ท่านต้องการมือข้างหนึ่งไว้ฟาดฟันศัตรู ข้าจะเป็นดาบให้ท่านและจะไม่ลังเลแม้แต่น้อย” ใบหน้าของหลานหย่งจวินเงยขึ้นเล็กน้อย ภายใต้เงามืดที่ทาบทับบนเค้าโครงอันสง่างามนั้น แววตาของเขาฉายแวววาดฝันถึงวันที่อีกฝ่าย…จะล้มครืนลงแทบเท้าวันที่ชื่อของซ่งเจี้ยนหง จะกลายเป็นเพียงอดีตและเขา...จะยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างเพียงผู้เดียว ในโลกของราชสำนัก…ความจงรักภักดี คือของเปราะบางส่วนการทรยศ… คือกลไกธรรมดา ที่หมุนเวียนอยู่ในเงามืดของอำนาจมันมิใช่เรื่องใหม่หากแต่เป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจทุกผู้… จำต้องคุ้นชินยิ่งใกล้บัลลังก์ เงาแห่งการหักหลังยิ่งหนาแน่น ผู้ใดพลาด… ย่อมไร้ที่ยืนและหากยังมีหน้ากล่าวโทษผู้อื่นย่อมสมควรให้ผู้คนหัวเราะเยาะเพราะในสนามแห่งอำนาจ…ผู้ไร้เดียงสา คือผู้โง่เขลาและในที่แห่งนี้ ความโง่เขลา… ไม่มีวันได้รับความเมตตา แม้แม่ทัพหลานซือเหยียน จะยังมิได้รับคำสั่งจากบุตรสาวโดยตรงแต่เขาก็สัมผัสได้ว่า สายลมแห่งความขัดแย้ง ได้พัดผ่านแล้วไม่ว่าช้าหรือเร็วไม่ว่าในรุ่นเขา หรือรุ่นถัดไปตระกูลหลาน กับตระกูลซ่ง… ย่อมมิอาจยืนหยัดภายใต้ฟ้าเดียวกันได้อีกต่อไปเพราะเมื่อจิตใจถูกแบ่งขั้วเมื่อสายเลือดกลายเป็นเดิมพันทางเดียวที่เหลืออยู่…คือ ผู้หนึ่ง ต้องล่มสลาย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD