เช้าวันเปิดภาคการศึกษาของหอจูหมิง…
ภายใต้ท้องฟ้าอันปลอดโปร่ง รถม้าคันหรูเคลื่อนตัวอย่างสง่างามเข้าสู่ลานกว้างหน้าสถานศึกษาล้อไม้ขัดมันเคลื่อนไปบนพื้นหินอย่างเรียบลื่น ผืนผ้าคลุมสีเข้มสะบัดเบาในสายลม นั่นคือรถม้าที่หลานเยว่ได้รับมาจากซูจิ่งหลงพ่อค้าแห่งความตาย ซึ่งจัดหาให้อย่างดีที่สุดทั้งโครงสร้างแข็งแรง ผ้าม่านไหมประณีต กลิ่นหอมอ่อนของสมุนไพรภายในยังช่วยป้องกันลมชื้นหลานจิ่วอวิ๋น บุตรชายของนางนั่งอยู่ภายในรถม้าอย่างสงบนิ่งไม่หวาดหวั่น ไม่เคอะเขิน เพราะแม่ของเขาได้จัดเตรียมทุกสิ่งไว้อย่างสมเกียรติ
วันนี้...คือวันแรกที่เขาจะได้เริ่มต้นเส้นทางแห่งการเรียนรู้และในขณะเดียวกัน นี่ก็คือวันแรก...ที่หลานเยว่เผยตัวตนออกสู่แสงตะวันอย่างเต็มภาคภูมิ
หอจูหมิงสถานศึกษาที่เก่าแก่และเปี่ยมเกียรติ ฝาผนังยังคงมีร่องรอยลวดลายของยุคก่อน กระเบื้องมุงหลังคาที่ซีดจางไปตามกาลเวลาล้วนบ่งบอกถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน และบารมีที่ยิ่งใหญ่ไม่เสื่อมคลาย
ในยามเช้าวันนี้ บริเวณหน้าสถานศึกษาแน่นขนัดไปด้วยขบวนรถม้าจากจวนขุนนางต่าง ๆ ขุนนางผู้ทรงอำนาจ ผู้นำกองทัพ พ่อค้าผู้ร่ำรวยต่างพาบุตรหลานมาเข้าศึกษาด้วยตัวเองเพราะนี่คือเกียรติยศที่มิอาจมองข้าม
และในท่ามกลางขุนนางเหล่านั้นหลานเยว่...สตรีผู้ไร้แซ่ตระกูลค้ำจุนกลับยืนสงบอยู่ลำพังใบหน้านิ่งสงบ ท่าทีสง่างาม ราวกับมิใช่คนธรรมดาแม้นางจะมาจากเงามืด แต่นับจากวันนี้เป็นต้นไป นางเลือกแล้วที่จะยืนอยู่ท่ามกลางแสงตะวันเคียงข้างลูกของตน
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...”
เสียงเข้มเย็นดังขึ้นจากด้านข้างทันทีที่หลานเยว่จูงมือลูกชายก้าวลงจากรถม้าชั้นดี เสียงนั้นเย็นชา ดุจน้ำแข็ง และเต็มไปด้วยความไม่เชื่อปนขุ่นเคือง
หลานเยว่หยุดฝีเท้าเล็กน้อย ดวงตาของนางไม่ได้เหลียวกลับไป แต่บุตรชายที่อยู่ข้างนางเงยหน้ามองด้วยความสงสัย
บุรุษวัยกลางคนผู้ยืนอยู่ใต้ร่มไม้ในชุดแม่ทัพสีกรมเข้ม สะพายดาบยาว มีบารมีจากหัวจรดเท้า... หลานซือเหยียน บิดาผู้ให้กำเนิดของนาง
ข้างกายเขาคือเหล่าหลาน ๆ แห่งตระกูลหลาน ต่างแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมประณีต ประดับตราตระกูลอย่างภาคภูมิ ราวกับจะประกาศให้ทั้งหอจูหมิงรู้ว่า ตระกูลหลานยังคงสูงศักดิ์ดั่งอดีตท่ามกลางภาพเหล่านั้น หลานเยว่กลับดูเงียบงัน สงบนิ่ง...ราวสายน้ำใต้หิมะนางหันไปมองเขาเพียงชั่วครู่ ก่อนกล่าวเสียงราบเรียบอย่างไม่ยี่หระ
“พวกเรารู้จักกันด้วยหรือ?”
น้ำเสียงนั้น…เรียบเฉยดั่งสายลม แต่กลับทิ่มแทงใจผู้ฟังได้ลึกยิ่งกว่าคำสบถใด ๆหลานซือเหยียนหน้าถอดสี ชั่วขณะหนึ่ง มือใหญ่กำแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด ความโกรธอัดแน่นในดวงตา แต่กลับไม่อาจระเบิดออกมาได้ เขารู้...ว่านางแค้นเขา
ในวันวาน เขามองนางเป็นเพียงสตรีไร้พลัง แม้มีรูปโฉมงดงาม แต่ไร้ประโยชน์ต่อสายเลือดนักรบ เขาจึงทอดทิ้ง ปฏิบัตินางดั่งสาวใช้ในบ้าน มิหนำซ้ำยังยกนางให้กับนายกองใต้บัญชา เสมือนสิ่งของที่ไร้ชีวิตจิตใจ
แต่บัดนี้หญิงสาวที่เขาเคยเหยียบย่ำ กลับปรากฏตัวในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนชั้นสูง พร้อมรถม้าชั้นดี พร้อมบุตรชายผู้มีใบหน้าเปี่ยมแววเฉลียวฉลาด และจิตใจบริสุทธิ์เกินเด็กทั่วไป
ไม่ต้องมีคำใดเอ่ยเพิ่มเติมเพียงท่าทีที่นางแสดง...ก็เพียงพอจะประกาศต่อใต้หล้าแล้วว่า "ข้า…มิใช่สตรีที่พวกท่านเคยเหยียบย่ำอีกต่อไป"
“ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าพาบุตรชายเข้ามาในสถานศึกษาทรงเกียรตินี้ได้อย่างไร...แต่เด็กนั่นคงไร้ค่าไม่ต่างจากเจ้า”
คำพูดของแม่ทัพหลานซือเหยียนฟังดูเย็นชา ราวกับจะสกัดเลือดจากคำเหยียดหยามเขากัดฟันพูดอย่างกดอารมณ์ ใบหน้าแสดงความเฉยเมย แต่ในแววตานั้นกลับไม่สามารถปกปิดความรู้สึกภายในได้ทั้งหมด เพราะทุกครั้งที่สายตาของเขาสบเข้ากับร่างเล็กข้างหลานเยว่ดวงตากลมโต ใบหน้าขาวนวล และแววฉลาดล้ำเกินวัยของเด็กชายผู้นั้น...
กลับทำให้ใจของเขาสะท้านอย่างไร้เหตุผล เด็กคนนี้ ทั้งน่ารัก และคล้ายเขาอย่างน่าประหลาด...เงารูปหน้า มุมตา ลักษณะการยืนนิ่งด้วยท่วงท่าเปี่ยมศักดิ์ศรี ราวกับหล่อหลอมมาจากสายเลือดเดียวกัน
วันนี้คือวันเปิดภาคการศึกษาวันแรกของหอจูหมิง เหล่าอาจารย์ต่างเร่งตรวจวัด ระดับพลังปราณ และ สติปัญญา ของเหล่าศิษย์ใหม่เพื่อจัดลำดับเด็กเหล่านั้นเข้าสู่ชั้นเรียนตามศักยภาพหากผู้ใดฉายแววโดดเด่น ก็จะได้เข้าสู่ ห้องอัจฉริยะซึ่งเปรียบเสมือนใบเบิกทางสู่อนาคตอันรุ่งโรจน์ในแผ่นดิน
เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้น เมื่อถึงคิวของเด็กชายรูปร่างเล็กผู้หนึ่งหลานจิ่วอวิ๋นเด็กชายที่เดินเข้าสู่ประตูสถานศึกษาโดยไม่มีผู้ใดรู้เบื้องหลังแต่เมื่อผลการวัดพลังเผยออก...
พลังปราณภายในสมบูรณ์ดั่งน้ำใสในโอ่งหยกสติปัญญาเฉียบแหลมเกินวัยเสียงของครูวัดปราณถึงกับสะดุดไปชั่วขณะ ก่อนประกาศด้วยน้ำเสียงอื้ออึง“ระดับสูง...เป็นพรสวรรค์หายาก!”
สายตาของผู้คนพากันหันขวับไปยังเด็กน้อยรวมถึงสายตาของ...แม่ทัพหลานซือเหยียนดวงตาของชายผู้ยิ่งใหญ่ สั่นไหวโดยไม่อาจควบคุมเขาไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ตนเห็นเด็กคนนี้คือบุตรของหลานเยว่สตรีที่เขาเคยตราหน้าว่า ไร้ค่า...เขาเคยเหยียบย่ำนางอย่างเย็นชายัดเยียดให้นางกลายเป็นเพียงสาวอุ่นเตียงไร้ตัวตนแต่ลูกของนาง...กลับเปี่ยมด้วยแสงสว่างที่ลูกหลานในจวนหลานไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้
และในเวลาเดียวกันสายตาของเขาก็หันไปสบกับหลานรักคนโตที่เขาภาคภูมิใจนักหนา...ผู้ที่เพิ่งผ่านการวัดพลังไปเมื่อครู่ ด้วยระดับเพียง ปานกลาง เงาแห่งความผิดหวังเจือขึ้นในใจของแม่ทัพใหญ่สิ่งที่เขาเคยเชื่อ สิ่งที่เขาภูมิใจ...เริ่มสั่นคลอน
แม่ทัพหลานซือเหยียนจ้องมองเด็กชายตัวน้อยด้วยสายตาที่แฝงความซับซ้อนยากจะกล่าวดวงตาคมกร้าวของชายผู้เคยถือดีเหนือผู้ใด...กลับสั่นไหววูบวาบเมื่อสบกับรอยยิ้มใสซื่อของหลานจิ่วอวิ๋น
หากเด็กคนนี้...เป็นหลานของเขาจริง ๆหากโชคชะตาไม่บิดเบี้ยว หากเขาเคยมอง ลูกสาวที่ถูกทอดทิ้งในฐานะคน...บางที เด็กน้อยตรงหน้าอาจได้เติบโตภายใต้ชายคาจวนแม่ทัพได้รับความรัก...จากท่านตาผู้ภูมิใจในสายเลือดของตนเอง
ในห้วงใจของชายชรา มีเสียงแผ่วเบาดังสะท้อนแต่นั่น...เป็นเพียงความเพ้อฝันในห้วงวินาทีสั้น ๆเพราะในโลกแห่งความจริงรอยร้าวจากอดีต...ไม่อาจสมานคืนได้ด้วยคำเสียใจเพียงไม่กี่คำ