ตอนที่ 1 - 1

2262 Words
กรุณานำส่ง   นางสาวเพียงตะวัน พัฒนกุล หอพักสตรี2  ร.ร. ดรุณีวิทยาลัย   ถึงคนที่เป็นเจ้าของจดหมายฉบับนี้ ..ถ้าจำไม่ผิด เธอได้รับจดหมายของฉันมาแล้วสี่ครั้ง ด้วยเหตุผลของจดหมายฉบับที่ห้า ...ฉันอยากรู้ว่า ทำไมเธอถึงไม่ทำตาม คำสั่งทั้งสี่ครั้งที่ผ่าน...ถ้าเธออยากจะตอบโต้ หรือประท้วงฉัน ก็ขอให้ใช่วิธีอื่น ไม่ใช้วิธีเด็ก ๆ อย่างที่ทำแบบนี้ ..วันนี้ฉันหวังว่าจะได้รับคำอธิบายของเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนของเธอ . และหากเธอจะมีเหตุผลมาอธิบาย กรุณาอย่าเขียนจดหมายโต้ตอบ ฉันมีวิธีที่ดีกว่านั้น ที่เธอจะได้ชี้แจงถึงพฤติกรรมที่ผ่านมาของเธอในโรงเรียน…วันนี้เลิกเรียน 5 โมงเย็น ฉันจะให้คนมารับ กรุณาตรงเวลา                                                                        ติณณ์ ...ลมหายใจอันกลัดกลุ้มถูกระบายออกมาจากจมูกโด่งที่ปลายจมูกเชิดขึ้น บ่งบอกถึงนิสัยเจ้าของมันว่า 'รั้น' ได้เป็นอย่างดี ก่อนที่นิ้วเรียวจะค่อย ๆ พับจดหมายฉบับนี้เอาไว้ในซองตามเดิม ริมฝีปากบางเม้มเข้าด้วยกันน้อย ๆ อย่างขบคิด            ที่จริงไม่จำเป็นต้องเขียนจดหมายแล้วให้คนมาส่งแบบนี้ก็ได้ ด้วย'อำนาจ' และ 'สิทธิ์’ ที่มีของเขา สามารถให้คนมาลากตัวเธอไปพบเขาได้เลย ในความรู้สึกลึก ๆ ที่เธอรับรู้ จากจดหมายทั้งสี่ฉบับที่ผ่านมาของ ‘เขา’ มันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกริ่งเกรงเลยสักนิด หากแต่จะเป็นตัวกระตุ้นอารมณ์อย่างดีให้เขาเอง หากเธอไม่ทำตาม           ขณะที่เด็กสาวกำลังนึกไปถึงเจ้าของจดหมายที่เพิ่งให้ม้าเร็วของเขานำมาส่งให้เธอถึงที่นี่นั้น ฉับพลันประตูห้องพักก็ถูกเปิดออก ร่างท้วมของสตรีที่อยู่ในชุดฟอร์มนักเรียนก็ปราดเข้ามา           “จดหมาย... ของใครเหรอ ตะวัน”            เพียงตะวันยกจดหมายที่มินตราถามถึงขึ้นมาดูอีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนลิ้นชักออก นำจดหมายฉบับนี้เข้าไปเก็บรวมไว้กับจดหมายอีกสี่ฉบับ แล้วหันไปตอบคำถามของเพื่อนอย่างเซ็ง ๆ           “ของคุณติณณ์”            “อีกแล้วเหรอ” มินตราอุทานเสียงสูงอย่างตกใจ            “อื่ม...เป็นจดหมายฉบับที่ห้าในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา”            “ฮื่อ…แล้วฉบับนี้ คุณติณณ์เขาให้ตะวันทำอะไรเหรอ”           “ก็...ให้เราอธิบายเหตุผลของจดหมายทั้งสี่ฉบับที่ผ่านมาไง”            “ซึ่งตะวันไม่เคยทำตาม”           “ใช่”            “แล้วครั้งนี้ล่ะ ตะวันจะทำยังไง?”            “ก็ …..” เพียงตะวันผ่อนลมหายใจออก ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่างยืนกอดอกทอดสายตามองสนามหญ้าสีเขียวที่กำลังได้รับการดูแลอย่างดีโดยมีละอองน้ำกระจายออกมาจากสปริงเกอร์ ซึ่งสะท้อนกับแสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้า ช่างเป็นภาพที่น่าดูยิ่งนัก หากแต่จิตใจของคนมองกลับไม่ได้ดื่มด่ำกับความงามตรงหน้าเลยสักนิด ดวงตาคู่สวยกลอกไปมาอย่างกังวล “เขาจะให้คนมารับเราเพื่อไปอธิบายเหตุผลบ้าบอที่บ้าน”            เพียงตะวันนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนที่จดหมายฉบับแรกของเขาจะส่งมาถึงเธอ.. ในช่วงพักเที่ยงเธอของวันที่เรียนหนังสือตามปกติ เธอและมินตราเปิดประตูเข้าไปห้องน้ำ ขันน้ำใบหนึ่งที่บรรจุน้ำ ใส ๆ ก็ร่วงโดนเธอเข้าอย่างจัง จากนั้นก็เกิดเสียงหัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ เธอก็เลยสมนาคุณเจ้าของเสียงหัวเราะเหล่านั้นด้วยการจับศีรษะกดลงกับอ่างน้ำ เสียให้หมด ...แค่นั้น!                “ตะวันจะไปมั้ย” เสียงของมินตราถามขึ้นมาทำลายความเงียบ            “ก็...” คนถูกถามละสายตาจากภาพเบื้องหน้า หันมายิ้มน้อย ๆ กลบเกลื่อนความกังวลใจ “คงต้องไป”            การเผชิญหน้ากับเจ้าของจดหมายมันไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอะไรนัก แต่สิ่งที่ทำให้เธอหนักใจคงจะเป็น...            ณ คฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่สิบกว่าไร่ รถยุโรปสีดำเงาวับ แล่นเข้ามาจอด ก่อนที่คนขับรถจะวิ่งอ้อมมาอีกด้านเพื่อเปิดประตูให้ผู้ที่นั่งอยู่เบาะหลัง สาวน้อยในชุดนักเรียนของโรงเรียนสตรีชื่อดังแห่งหนึ่งก็ก้าวลงมา ผมยาวที่ถูกรวบไว้สูง เหลือเพียงปอยผม เล็ก ๆ แนบแก้มเนียน ดวงตาทอประกายเจิดจรัสทอดมองบ้านหลังใหญ่อย่างยินดี แต่เพียงชั่วครู่ ดวงตาคู่สวยกลับแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง            “หนูตะวัน หนูตะวันจริง ๆ ด้วย” เสียงแหบแห้งที่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาดังขึ้น พร้อม ๆ กับร่างของสตรีผู้สูงวัยที่เดินเร็ว ๆ ออกจากประตูบานใหญ่ของบ้านมา           “ป้าแก้ว”            “ป้าคิดถึงหนูจริง ๆ” เสียงคนเก่าแก่ของบ้าน พูดเสียงดังอย่างยินดีที่ได้พบกับเด็กสาวอีกครั้ง มือเหี่ยวแห้งกุมมือของขาวเนียนเอาไว้ “ทำไมไม่กลับมาเยี่ยมบ้านบ้างล่ะคะ ทำไมไม่กลับบ้านบ้าง” น้ำเสียงนั้นเจือด้วยความน้อยใจ สะเทือนใจแก่คนที่ถูกถามไม่น้อยเลย           “คงไม่เหมาะถ้าจะให้หนูกลับมาที่นี่อีก” คนถูกถามจะตอบเป็นเสียงสะอื้นไห้ ถ้าเธอไม่กลั้นมันเอาไว้ได้ก่อน ความดีใจ ความอาทร ความคิดถึง มันประดังประเดเข้ามาจนไม่รู้ว่าจะเรียกความรู้สึกนี้ว่ายินดีที่ได้กลับมายืนที่นี่อีก หรือสะเทือนที่ได้กลับมาเห็นป้าแก้วของเธอร่ำไห้คิดถึงเธออย่างนี้กันแน่            “โธ่ หนูตะวันขา อย่าทำเป็นเหมือนคนอื่นคนไกลสิคะ” คนเก่าแก่ของบ้านทอดเสียงอย่างอาทร มองดูใบหน้าที่ยิ้มแห้ง ๆ แต่นัยน์ตาแฝงแววเศร้า พลางใช้มือทั้งสองข้างพลิกร่างเด็กสาวไปมาราวกับสำรวจ           “ผอมลงรึเปล่าคะ เนี่ย ...อยู่โรงเรียนประจำคงลำบาก” เมื่อรู้ตัวว่าพลั้งปากพูดเรื่องกระทบกระเทือนความรู้สึกของเพียงตะวัน ป้าแก้วจึงรีบก้มหน้าซ่อนความรู้สึกผิดเอาไว้ “เอ่อ ..ป้าขอโทษ”            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ป้าแก้วขา ไม่ลำบากเลย...” เพียงตะวันบอกพลางตบมือบนหลังมือเหี่ยวย่นเบาๆ ราวกับปลอบใจ            “แล้วนี่ ...คุณตะวัน”            “มาพบคุณติณณ์ค่ะ”           “คุณติณณ์ยังไม่กลับนี่คะ ส่วนคุณสกาวใจกับคุณเอมก็คงจะอยู่ที่ร้าน” สองคนหลัง เธอลดน้ำเสียงลงอย่างจงใจราวกับไม่ต้องการเอ่ยถึง ให้หนูตะวันของเธอรู้สึกไม่สบายใจ            “ไม่เป็นไรค่ะป้า... ป้าแก้วจะไปทำอะไรก็ไปเถอะค่ะ ตะวันนั่งเล่นแถวนี้รอคุณติณณ์ก็ได้ค่ะ”            “ไม่เข้าไปในบ้านล่ะคะ”           เพียงตะวันส่ายหน้าในทำนองปฏิเสธอย่างช้า ๆ            “เฮ้อ...ทำอย่างนี่อีกแล้ว หนูตะวันก็ใช่คนอื่นคนไกล จะเดินเข้าออกบ้านนี้เมื่อไหร่ก็ได้” คนพูดถอนหายใจยาว รู้สึกไม่สบายใจที่เห็นหญิงสาวทำห่างเหินหมางเมินกับที่นี่            “ตะวันบอกแล้วว่ามันไม่เหมาะ” แม้น้ำเสียงจะเรียบ แต่คนฟังก็รับรู้ได้ว่ามันแฝงความดื้อดึงเอาไว้               สุดท้ายแล้วป้าแก้วก็ต้องส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ พร้อมกับชี้นิ้วไปยังสนามหญ้าสีเขียวของบ้าน “งั้น หนูตะวันไปนั่งเล่นตรงนั้นก็ได้ค่ะ ป้าจะเอาขนมกับน้ำไปให้ ห้ามบอกว่าไม่นะ ป้าโกรธจริง ๆ ด้วย ”            เพียงตะวันยิ้มน้อย ๆ อย่างขอบคุณในความเอื้ออาทรของป้าแก้วที่มีต่อเธอเสมอ ไม่ว่าเธอจะอยู่ในฐานะหนูตะวันคนที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านนี้ หรือจะอยู่ในฐานะหนูตะวันของแขกบ้านนี้ แต่น้ำใจของหญิงผู้นี้ยังมีให้กับเธอเสมอไม่เคยขาด ไม่เหมือนกับใครหลาย ๆ คนที่คอยกลั่นแกล้งเธออยู่บ่อยครั้ง            หลังจากป้าแก้วเดินลับหายเข้าไปในตัวบ้านแล้ว เพียงตะวันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ น้ำตาใส ๆ คลอหน่วยออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองดูบ้านหลังใหญ่ตรงหน้าอย่างเต็มตาอีกครั้ง            'บ้านอานันท์ตระการ’ เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ทรงยุโรปสีขาว ...แสงแดดย่ามบ่ายคล้อยตกกระทบทำให้ดูอบอุ่น น่าแปลก...เมื่อได้เข้ามาอยู่ในอาณาบริเวณของบ้านหลังนี้ ความสับสนวุ่นวายที่เธอประสพพบเจอมาจากข้างนอก  ก็มลายหายไปจากใจ  ถึงแม้เธอจะไม่ใช่เจ้าของบ้านหลังนี้ แต่ก็อยู่มานานกว่าบ้านจริง ๆ ของตัวเอง  รู้สึกรักและผูกพันอย่างเหนียวแน่นยิ่งกว่าสายใยใด ๆ หรืออาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ ตอนที่ ‘คุณลุงเตชสิทธิ์’ ยังมีชีวิตอยู่ ท่านทำให้เธอสึกอุบอุ่นใจปลอดภัยไปด้วยกระมัง            เด็กสาวทอดน่องไปตามทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินทรายสีเหลืองผ่านสนามหญ้าเขียวขจี ซึ่งมีพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ปลูกไว้ดูเขียวชอุ่ม โดยมีสายลมเย็น ๆ หยอกล้ออยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งมาหยุดตรงม้านั่งโต๊ะกลมสีขาว ที่ใต้ลีลาวดีต้นใหญ่ซึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มรื่น ภาพของความทรงจำในวันเก่ายังไม่เลือนหาย           อุปาทานเหมือนดั่งเสียงของคุณลุงเตชสิทธิ์  ที่ชอบมานั่งอ่าน หนังสือ ณ ตรงนี้ แว่วเข้าหู...แล้วมันก็เกิดภาพของวันวานสะท้อนขึ้นในดวงตาทั้งคู่  ดั่งกับภาพในฟิล์ม ที่ถูกฉายออกมาเป็นฉาก ๆ            ‘ ตะวัน ลุงไม่สามารถดูแลหนูไปตลอดชีวิต หากวันดีที่ไม่มีลุงอยู่อีกแล้ว ลุงขออย่างเดียวได้มั้ย…’            ‘คะ?’ สาวน้อยเงยหน้าขึ้นมามองผู้สูงวัยกว่าอย่างช้า ดวงตาทอดมองที่สีหน้าอันโรยราตามกาลเวลาของคนพูด ยิ่งเห็นแล้วก็ยิ่งเศร้าใจ           ‘ขอให้ความเข้มแข็งจงอยู่กับหนูนะตะวัน’ผู้สูงวัยเอ่ยเสียงเครือ         แล้วเด็กสาวก็ก้มหน้ารับคำซึมซับกับคำพูดของผู้สูงวัยอย่างตื้นตันใจ ‘ค่ะ ตะวันจะเข้มแข็ง’            เสียงกรุ๊งกริ๊งที่ดังแว่วเข้ามาเมื่อเกิดสายลมพัดโชยมา ทำให้ภวังค์ของวันวานหลุดหาย เท้าเล็ก ๆ ที่กำลังเหยียบลงบนพื้นหญ้าชะงัก เธอค่อย ๆ เหลียวมองโมบายเล็ก ๆ ที่เธอนำมาผูกกับกิ่งไม้ของต้นลีลาวดีที่โตเต็มที่ต้นนี้ ด้วยมือของเธอเอง           ดวงตาเพ่งมองดูโมบายรูปต่าง ๆ ที่แกว่งไกวไปตามแรงลม     พร้อม ๆ กับเสียงกรุ๊งกริ๊งอันที่กังวานไปรอบ ๆ บริเวณ และแล้วน้ำตาที่เธอพยายามกลั้นเอาไว้ มันก็ไหลทะลักออกมาจนได้            ใครบอกว่าเธอไม่คิดถึงที่นี่            ใครบอกว่าเธออยู่โรงเรียนประจำแล้วมีความสุข ทั้งเหงาและเดียวดายจะตายไป            ใครบอกว่าเธอไม่อยากเข้าไปภายในบ้านหลังนี้ เธอคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มันอยู่ในนั้น คิดถึงโซฟาตัวใหญ่ที่เธอชอบไปอ่านหนังสือ คิดถึงเก้าอี้สีขาวในสวนแห่งนี้ ที่เธอมักจะไปนั่งวาดภาพระบายสี คิดถึงห้องสมุดที่เธอมักจะอ่านหนังสือจนผล็อยหลับไป จนต้องให้ป้าแก้วมาปลุกทุกครั้ง            เธอคิดถึงห้องนอนสีขาวอบอุ่น ที่เธอออกแบบตกแต่งเองกับมือ        น้ำตาใส ๆ ไหลรินอาบสองแก้ม ใครเลยจะรู้ว่าชีวิตเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อสองปีที่แล้วซึ่งมีแต่ความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนกับเด็กในวัยเดียวกันทั่ว ๆ ไป แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ความสุขและรอยยิ้มที่เคยมีกลับเหือดหายออกไปจากชีวิต เมื่อเธอต้องมาสูญเสียคนที่เธอรักดั่งพ่อบังเกิดเกล้าของเธอเอง           เพียงตะวันจำได้…            ยามสาย ๆ ของเช้าวันนั้น อากาศดีเสียจนเธออดไม่ได้ที่จะนั่งวาดรูปอย่างสบายอารมณ์บนเก้าอี้สีขาว โดยมีดอกทานตะวันสีเหลืองสดที่มันกำลังบานอยู่ในกระถางเป็นแบบ            และแล้วเสียงร้องที่กรีดร้องก็ดังขึ้น ทำให้พู่กันที่กำลังจะแต้มสีลงบนผ้าใบนั้นต้องชะงัก ก่อนจะร่วงลงมาจากมืออันสั่นเทา เธอเงยหน้าขึ้นไปมองต้นทางของเสียงที่ดังออกจากข้างในบ้าน           “ลุงเตชสิทธิ์!”            เพียงตะวันละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ออกแรงวิ่งไปตามทางเข้าบ้าน เธอวิ่งมุ่งหน้าไปยังห้องนอนใหญ่ ซึ่งมีเสียงร้องไห้ดังระงมออกมา ประตูห้องที่เปิดรออยู่แล้ว ไม่ทำให้เธอต้องเสียเวลาเปิด ทันทีที่ชะโงกหน้าเข้าไปมองก็เห็นบ่าวไพร่นั่งร้องไห้ล้อมรอบเตียงนอนใหญ่ ป้าแก้วที่นั่งอยู่ข้างเตียงกำลังกุมมือเจ้าของเตียงที่ดูเหมือนจะหลับสนิท ก่อนจะหันหน้าที่เอ่อนองไปด้วยน้ำตามาบอกเธอที่กำลังก้าวเข้าไปหาอย่างช้าๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ…            “คุณท่านสิ้นแล้วค่ะ หนูตะวัน!”            และในวันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายที่เธอได้มีโอกาสกอดคนที่เธออยากเรียกว่าพ่อมากที่สุดเอาไว้เป็นครั้งสุดท้าย เด็กสาวนอนกอดร่างอันไร้วิญญาณจนน้ำตามันแห้งเกรอะไปทั้งแก้ม ตลอดเวลาที่รอให้เจ้ากับร่างลุงเตชนั้น เธอก็ได้ยินคำพูดเย้ยหยันของสกาวใจผู้หญิงที่อยู่ในฐานนะภรรยาของคุณลุงเตชสิทธิ์อยู่เป็นระยะ ๆ      
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD