ตอนที่ 3 - 1

2086 Words
หลังจากนั่งพูดคุยกับติณณ์ เกี่ยวกับเรื่องการเรียนจบแล้ว เพียงตะวันก็ต้องขอตัวกลับทันที เนื่องจากหอพักของที่โรงเรียนประจำกำหนดเวลาเข้าออกอย่างเข้มงวด ติณณ์จึงให้คนขับรถขับไปส่งเธอ ขณะที่หญิงสาวกำลังจะก้าวเดินลงบันไดหินอ่อนที่ถูกขัดเป็นมันเงา ก็จำต้องชะงักอยู่กับที่เพราะน้ำเสียงเล็ก ๆ ที่ดังอยู่ข้างหลัง “เดี๋ยวก่อนตะวัน” เจ้าของเสียงนั้นปราดเข้ามาขวางทางเดินเอาไว้อย่างจงใจ “มีอะไรมิทราบ” เธอถามกลับด้วยน้ำเสียงกระด้าง เอมอรที่บัดนี้ได้ก้าวเข้ามาหน้าเพียงตะวัน ยกมือสองข้างขึ้นกอดในท่าทีถือดี ริมฝีปากอิ่มเบ้น้อย ๆ อย่างเย้ยหยัน ก่อนกวาดตามองคนตรงหน้าด้วยสายตาชิงชังก่อนที่ความอิจฉาริษยาจะวูบขึ้นมา เพราะ ผู้หญิงตรงหน้า ชื่อดูสมตัวเธอจริง ๆ โดดเด่น งดงามดั่งดวงตะวันที่ทอแสงสว่างจ้าในโลกใบนี้ นึกแล้วยิ่งรู้สึกยอกแสลงใจ ความคิดหวนกลับไปยังครั้งหลังโดยพลัน เมื่อก่อนเธอดูโดดเด่น เป็นที่รักของคนในบ้าน เคยเป็นลูกสาว ที่ ‘คุณพ่อ’ รักที่สุด แต่แล้ววันหนึ่งคุณพ่อของเธอได้โอบอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยอายุไล่เลี่ยกันกับเธอเข้ามาในบ้าน ทุกอย่างที่เคยเป็นของเธอกลับต้องถูกแบ่งครึ่งให้เป็นสอง ของเล่น บ่าวไพร่ในบ้านที่เคยเอ็นดู หรือแม้แต่ความรักความเอ็นดูของคุณพ่อที่เคยมีต่อเธอก็ถูกเด็กผู้หญิงคนนั้นแย่งชิงไปหมด ที่สำคัญเด็กผู้หญิงคนนั้นก็ยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้น ถ้าหากไม่มีเพียงตะวันในวันนั้น ชีวิตของเธอก็คงไม่ต้องพบเจอกับเรื่องพลิกผันจนน่าใจหายจนมาถึงวันนี้... ‘เอามานะ นังตะวัน!’ ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ถูกเด็กผู้หญิงสองคนยื้อแย่งกันไปมา คนหนึ่งจับขา อีกคนหนึ่งจับแขนออกแรงกระชากกันคนละด้าน ‘ของตะวันนะ’ เด็กผู้หญิงอีกคนพยายามรั้งเอาไว้ด้วยแรงของเธอ ใบหน้าขาวบัดนี้แดงกล่ำด้วยความโกรธเคือง และหวาดกลัวที่จะสูญเสีย ‘เพื่อนรักตัวใหญ่’ ของเธอไป ‘ของเธอ...แต่เป็นเงินของคุณพ่อฉัน เอามา!’ เด็กผู้หญิงอีกคน พยายามดึง อยากจะแกล้งเล่นด้วยความหมั่นไส้ที่เห็นเพียงตะวันคนนี้พูดจาปราศรัยกับตุ๊กตาหมีราวกับมันมีชีวิต ทำให้เกิดการยื้อแย่งขึ้น เมื่อทางนั้นไม่ยอมปล่อยยทางนี้ก็ยิ่งดึงกลับ จากที่จะแกล้งเล่น ๆ กลายเป็นอยากจะเอาชนะ เพียงตะวันจำต้องตัดใจปล่อยขาตุ๊กตาชั่วคราว เมื่อเธอมองเห็นสองแขนเพื่อนตัวเองกำลังจะฉีกขาด จึงจำใจปล่อยด้วยดวงใจที่เจ็บซ้ำ น้ำตาไหลพราก ทันทีที่ได้ตุ๊กตาตัวใหญ่มาไว้ในความครอบครอง เอมอรก็ลอยหน้าลอยตายั่วก่อนจะอุ้มตุ๊กตาหมีเดินหนี เพียงตะวันเห็นก็รีบเดินตามพร้อมกับตะโกนเปล่งเสียงขอความเห็นใจจากเอมอร เพื่อหวังให้คืนเพื่อนรักของเธอให้เสียที ‘หยุดนะเอาของตะวันคืนมา ขอร้องล่ะนะเอม’ เด็กผู้หญิงที่ชื่อเอมอรวิ่งจนมาหยุดตรงบันไดเพื่อจะไปยังชั้นล่าง หันหลังมายักคิ้วลิ่วตาล้อเลียนคนที่วิ่งตาม “ไม่ จ้างให้ก็ไม่คืน แบร่” แล้วก็หันหลังกลับเตรียมจะก้าวลงบันได หากแต่ตุ๊กตาที่เธออุ้มตัวใหญ่เกินไปจึดบังทัศนวิสัยในการมองเห็น เท้าของเด็กหญิงเกิดเหยียบพลาด ทั้งคนทั้งตุ๊กตาจึงลอยหวือกลิ้งตกลงมาทั้งคู่ ‘ตุ๊บ ๆ ๆ ๆ…’ ภาพของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกับตุ๊กตาตัวใหญ่ที่กลิ้งตกลงไปชั้นล่าง ทำให้เด็กหญิงเพียงตะวันกรีดเสียงร้องอย่างสุดเสียงด้วยความตกใจ เท้าเล็ก ๆ ชะงักงันอยู่กับที่ด้วยความช็อก! ‘กรี้ด...’ และเหตุการณ์ในวันนั้นก็เป็นจุดพลิกผันชีวิตของเธอจากหน้ามือเป็นหลังมือได้อย่างไม่น่าเชื่อ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เข้าใจมาตลอดว่าเธอเป็นลูกสาวของเจ้าของบ้านอนันท์ตระการ กลับกลายเป็นเพียงเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ไม่รู้แม้กระทั่งว่าบิดาบังเกิดเกล้าเป็นใคร! เอมอรกะพริบตาปริบ ๆ เพื่อกลบเกลื่อนน้ำตาที่กำลังรื้นให้ไหลย้อนกลับเข้าไปข้างใน ก่อนจะหวนคำนึงถึงอดีตในวันนั้นอีกครั้งอย่างชอกช้ำใจ ภาพของหญิงสาววัย40ต้น ๆ เดินไปมาอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ทำให้หนุ่มใหญ่ที่นั่งหน้าเครียดตรงม้านั่งยาวเงยหน้าขึ้นเอ่ยเสียงกึ่งปลอบกึ่งปราม ‘คุณหยุดก่อนเถอะ เดินไปเดินมาอยู่อย่างนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยให้ยัยเอมลูกเราหายเจ็บหรอกนะ’ สาวใหญ่ชะงักทันทีกับน้ำเสียงของสามี เธอชะเง้อคอมองเข้าไปในห้องฉุกเฉินด้วยใบหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างจากสามี เผลอผ่อนลมหายใจยาว ก่อนจะหันหน้ามาเอ่ยกับสามีอย่างเป็นกังวล ‘ก็ฉันเป็นห่วงลูกนี่’ หนุ่มใหญ่ผุดลุกยืนเต็มความสูงจากม้านั่ง วันนี้เขาอยู่ในชุดสูทเรียบหรู ส่วนผู้หญิงก็อยู่ในชุดราตรีดูสง่าไม่บอกก็รู้ว่าทั้งสองต้องรีบออกจากงานสังคมทันที เมื่อได้ทราบว่าบุตรสาวคนเล็กประสบอุบัติเหตุ ถูกนำส่งตัวโรงพยาบาล แต่กว่าถูกนำตัวมาส่งได้ก็ต้องใช้เวลานานทีเดียว เพราะในช่วงเวลานั้นดูเหมือนว่าในบ้านไม่มีใครว่างแม้แต่คนเดียว แม่บ้านสองคนไปตลาด ส่วนอีกคนก็อยู่ในห้องครัว คนรถหนึ่งคนก็ติดสอยห้อยตามเขาและภรรยามาที่โรงแรม ส่วนอีกคนก็นำรถไปเช็กที่อู่ กว่าบุตรสาวคนเล็กจะมาถึงมือหมอก็ทุลักทุเลพอสมควร ‘ผมก็ห่วงยัยเอมไม่แพ้คุณหรอกน่า’ หนุ่มใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนพร้อมกับเดินเข้าไปกุมมือภรรยาหลวม ๆ เมื่อได้ฟังคำพูดปลอบประโลมนั้น ภรรยาก็หันไปสบตากับสามีนิ่ง และในวินาทีนั้น นายแพทย์ก็ผลักประตูห้องฉุกเฉินออกมา ทั้งสองเหลียวไปมองก่อนจะรีบปรี่เข้าไปถามถึงอาการของบุตรสาวทันที ด้วยความเป็นห่วง ‘คุณหมอครับ/คะ ลูกสาวของเราเป็นอย่างไรบ้าง” สองสามีภรรยาถามขึ้นพร้อมกันด้วยสีหน้าเป็นกังวล ‘ลูกสาวคุณศีรษะแตก และผมได้เย็บให้แล้ว แต่เธอเสียเลือดมาก เอ่อ...คุณสองคนใครที่,uเลือดกรุ๊ปเอ เชิญทางนี้ครับ ลูกสาวคุณจำเป็นต้องได้รับการให้เลือด’ คำถามของนายแพทย์หนุ่มทำให้คนถูกถามอย่างคุณเตชสิทธิ์ อนันท์ตระการ ชะงักงันนิ่งค้าง เขาหันไปสบตากับภรรยาที่ยืนอยู่ข้างกายคล้ายประหนึ่งคนถูกไฟซ๊อต เพราะรู้สึกชาไปหมดกับสิ่งที่ตนเพิ่งรู้! 'ผมมีเลือดกรุ๊ปบี' และภรรยาที่ยืนหน้าถอดสีก็มีเลือดกรุ๊ปเดียวกับเขา ดวงตาของเอมอรเลื่อนลอย เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาสายตาแห่งความรักและความเอ็นดูที่เธอมักจะได้รับจากคุณพ่อก็แปรเปลี่ยนเป็นสายตาเคลือบแคลงสงสัย มิหนำซ้ำยังถูกคุณพ่อผลักดันให้ออกห่าง แล้วกลับมีเด็กที่ชื่อเพียงตะวันเข้ามาแทนที่ ก็เพราะว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ จะไม่ให้เธอเคียดแค้นคนตรงหน้านี้ได้อย่างไร! “ตกลงเธอมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันรึเปล่า ถ้าไม่มีขอตัว...” เสียงเพียงตะวันที่ดังขึ้น ดึงความคิดของเอมอรให้กลับมา เมื่อเห็นเพียงตะวันทำท่าจะก้าวหนี เธอก็รีบดักหน้าเอาไว้อีกครั้ง “เดี๋ยว..ฉันมีเรื่องจะถามเธอ” “เรื่องอะไร...” “จดหมายที่คุณพ่อได้ฝากให้เธอวันนั้นไง” สองตาของเพียงตะวันกลอกไปมาอย่างนึกทบทวนถึงจดหมายที่เอมอรหมายถึง ก่อนที่ในห้วงความคิดของเธอจะไปประหวัดถึงจดหมายที่ทนายของคุณลุงเตชสิทธิ์นำมามอบให้กับเธอ ในวันที่เธอจำต้องย้ายออกไปอยู่โรงเรียนประจำ เด็กสาวพยักหน้าเบา ๆ “เธอไม่รู้ เหรอ...การอยากรู้อยากเห็นในเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมันเป็นเรื่องที่ผู้ดีไม่สมควรทำนะ” ถูกเหน็บเข้าให้เอมอรก็แทบจะร้องกรี๊ดขึ้นมาทันใด แต่น้ำเสียงดังขึ้นมาอีกครั้งทำให้เธอต้องหยุดฟัง “ฉันคงบอกเธอไม่ได้หรอกว่าในจดหมายเขียนถึงเรื่องอะไร เพราะฉันเองก็ยังไม่ได้เปิดอ่านเหมือนกัน” เพียงตะวันตอบตามความจริง เธอยังไม่ได้เปิดจดหมายสองฉบับนั้นอ่านเลย บอกแล้วก็เดินหนีแต่เสียงเอมอรก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะการก้าว เด็กสาวจึงชะงักอยู่กับที่อีกครั้ง “โกหก ฉันไม่เชื่อ!” “เธอไม่เชื่อมันก็เรื่องของเธอ เสียใจด้วยนะ ฉันมีเวลาไม่มากต้องรีบกลับเข้าหอพักก่อนที่มันจะปิด” เพียงตะวันตอกกลับอย่างไม่ยี่หระ ตอนนี้เธอไม่สนใจจะหันไปมองดวงตาคุกรุ่นคู่อยู่หลังด้วยซ้ำ “นี่ ตะวัน ฉันพูดกับเธออยู่ ได้ยินมั้ย” เอมอรพูดเสียงแข็งรีบเดินมาฉุดแขนอีกฝ่ายให้หันมาเผชิญหน้า “ปล่อย...” เพียงตะวันแกะมือเอมอรออกจากตัวทันที ตวัดสายตามองอย่างฉุนกึกกับมารยาทของเอมอร ไม่นานนักเธอก็สามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้ รวมทั้งไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกโดยเฉพาะเรื่องทะเลาะวิวาท เพราะเธอเพิ่งสัญญากับชายหนุ่มเพียงไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ “มีอะไรก็ว่ามา”เพียงตะวันถามกลับเสียงเรียบ “ตกลงพี่ติณณ์เรียกเธอไปคุยเรื่องอะไร” เพียงตะวันเผลอผ่อนลมหายใจนิดหนึ่ง ด้วยรู้สึกปลงในคำถามของเอมอรที่ถามแต่เรื่องส่วนตัวของเธอทั้งสิ้น แต่เมื่อคิดว่าเรื่องที่คุยกับติณณ์เมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องที่มีลับลมคมใน เธอจึงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เรื่องเรียนต่อ” “เรียนต่อ...นี่พี่ติณณ์จะให้เธอไปเรียนต่อต่างประเทศเหรอ” เอมอรโพล่งถามด้วยดวงใจริษยา เพียงตะวันเลือกที่จะใช้ความเงียบเป็นคำตอบแทนการส่ายหน้าหรือคำพูดว่า ‘ไม่ใช่’ การปล่อยให้เอมอรเดาคำตอบเอาเองดูจะสนุกกว่าพูดออกมา เพราะการเงียบแบบนี้แหละ จะทำให้เด็กสาวตรงหน้าเดาคำตอบไปสารพัด เธอเข้าใจจิตใจคนตรงหน้านี้ดีว่าเอมอรเป็นคนเช่นไร... เมื่อเห็นอีกฝ่ายหนึ่งเงียบ เอมอรก็คิดว่าคำตอบนั้นคือ ‘ใช่’ “นี่พี่ติณณ์จะให้เธอไปเรียนต่อต่างประเทศจริง ๆ เหรอเนี่ย ...” เอมอรโพล่งถามอีกครั้งอย่างตกใจ นั่นไง! เป็นอย่างที่เธอคิดจริง ๆ เพียงตะวันเม้มริมฝีปากน้อย ๆ อย่างสะกดรอยยิ้ม ก่อนจะค่อย ๆ คลายออก “ถามคุณติณณ์เองดีกว่า ... ขอตัว” พูดจบก็เดินไปขึ้นรถคันสีดำมันวับที่เคลื่อนตัวออกจากโรงรถมาจอดรออยู่ตรงหน้า ปล่อยให้เอมอรยืนคิดไปสารพัดด้วยจิตใจร้อนรุ่มริษยา “คุณแม่คะ คุณแม่!” เสียงเอ็ดตะโรที่ดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องที่ถูกเปิดผลัวะเข้ามาทำให้การสนทนาของสกาวใจกับวรวุธต้องหยุดชะงัก สกาวใจหันมาเอ็ดบุตรสาวด้วยกริยาไม่เหมาะ ทั้ง ๆ ที่เธอได้เพียรสอนให้บุตรสาวคนเดียววางตัวให้เหมาะสมกับฐานะ “อะไรกันยัยเอม ร้องลั่นออกอย่างนั้น!” “เกิดเรื่องแล้วค่ะคุณแม่” เอมอรรี่เข้ามาเกาะขามารดา ‘เรื่อง’ ให้มารดาทราบทันที “เรื่องอะไร หวังว่าไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ฉันเสียเงินเสียทองหรอกนะ” คำพูดจี้ใจดำทำให้บุตรสาวออกอาการค้อนหน่อย ๆ “ไม่ใช่ค่ะ เรื่องนังตะวันต่างหาก พี่ติณณ์จะส่งมันไปเรียนต่อต่างประเทศ เอมไม่ยอมนะคะคุณแม่ขา” “อะไรนะ ติณณ์เหรอจะส่งตะวันไปเรียนต่อต่างประเทศ!” สกาวใจเอียงหน้าฟัง อาการคล้ายหูฝาดไป “จริง ๆ ค่ะ นังนั่นมันบอกเอมเอง คุณแม่ขา เอมยอมไม่ได้นะคะคุณแม่...” เอมอรขึ้นเสียงฟึดฟัด เธอจะยอมได้อย่างไรกัน .. สกาวใจได้ฟังก็นิ่งคิด ใช่ เธอยอมไม่ได้แน่ ๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD