Chapter 4 ความหวั่นไหว (2)

3802 Words
Chapter 4 ความหวั่นไหว (2) ภายในรถที่อากาศกำลังเย็นสบาย ภัทรนนท์จับจ้องมองคนข้างกายแล้วถอนหายใจ เขาต้องล้มเลิกความตั้งใจที่จะให้หล่อนไม่ขาดเรียน เพราะหลังจากขึ้นรถมายังไม่ทันถึงที่หมายหล่อนก็หลับไปอีกครั้ง กลายเป็นว่าเขาต้องพาคนยังไม่สร่างเมาตามติดมาที่ออฟฟิศ เพราะประเมินสภาพดูแล้วถ้าดันทุรังให้ไปเรียนก็คงไม่รู้เรื่องแน่นอน "น้องอัยย์..." เสียงเรียกและเขย่าเบาๆ ที่แขนเพื่อปลุกให้หล่อนตื่นขึ้นมา...มินตราปรือตามองแล้วกรอกตาอย่างงุนงง หล่อนเห็นหน้าภัทรนนท์ลอยเด่น ท่ามกลางสมองที่กำลังปรับสภาพ หูก็ได้ยินว่าเขาบอกว่าถึงที่หมาย แต่ว่าถึงไหนนั้นหล่อนคิดไม่ทัน "ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไปนอนต่อในห้องทำงานของพี่ วันนี้คงไม่ต้องไปเรียนแล้วสภาพแบบนี้" หญิงสาวกรอกตามองไปรอบๆ อีกครั้ง ที่เห็นนั้นคือตึกสูงที่เป็นอาคารสำนักงานของบิดา ท่านมาเช่าพื้นที่เปิดออฟฟิศที่ตึกนี้ หล่อนจำข้างหน้าทางเข้าได้ดีจึงเพิ่งเข้าใจว่าเขาไม่ได้พาไปส่งที่มหาวิทยาลัยอย่างที่ตั้งใจในทีแรก "ให้อัยย์...ไปนอนในห้องพี่ภามน่ะเหรอคะ" "ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ เพราะพี่คงไม่เสียเวลาขับย้อนไปส่งบ้านแน่นอน" "ให้อัยย์กลับเองก็ได้นะคะ ใกล้รถไฟฟ้านิดเดียวเอง" "ตามใจ ถ้านั่งหลับบนรถแล้วเลยบ้าน พี่ไม่ตามกลับนะ" ชายหนุ่มหัวเราะอยู่ในลำคอแล้วดับเครื่องยนต์ หล่อนไม่มีทางเลือก เพราะเขามัดมือชกด้วยการลงจากรถแล้วถอยห่างไปยืนรอ บอกเป็นนัยๆ ว่าให้รีบลงไปเพราะเขาจะล็อกรถ อาการที่ทำทีเป็นดูเวลาที่ข้อมือ ทำให้ต้องรีบคว้ากระเป๋าสะพายแล้วลงไปจากรถ "ก็แค่นั้น นึกว่าถึงกับจะต้องอุ้มเข้าไป" เขากระเซ้าพร้อมรอยยิ้ม ดูเหมือนอาการโกรธขึ้งแบบเมื่อเช้าจะหายไป มินตราคิดก่อนจะต่อปากต่อคำ "แล้วพี่ภามกล้าหรือเปล่าล่ะคะ ถ้าอัยย์จะอ้อนให้พี่ภามอุ้มเข้าไป" อีกฝ่ายหยุดเดินกะทันหันจนคนที่เดินตามมาหยุดไม่ทัน ร่างของหล่อนจึงชนกับแผ่นหลังกว้างเข้าเต็มๆ สองมือผวาโอบเอวคนตัวโตเอาไว้เพราะเซเสียหลักจะล้ม...ความนุ่มหนุ่นที่เบียดอยู่กับแผ่นหลังทำเอาเจ้าตัวร้อนวูบไปทั้งกาย เขาเป็นผู้ชายที่มีชีวิตจิตใจมีความรู้สึก มีก้อนเนื้อแสนอ่อนไหวที่ควบคุมมันไม่ได้ ความต้องการตามธรรมชาตินั้นยังไม่เคยขาดช่วงเพราะวัยที่ยังหนุ่มยังแน่น แต่...มันต้องไม่เกิดกับคนที่ได้ชื่อว่าเลี้ยงดูเธอมาตลอดระยะเวลาสิบกว่าปี น้องสาวนอกไส้ที่บิดารับมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมเมื่อตอนเธออายุได้แค่เจ็ดขวบ ส่วนเขาในตอนนั้นยี่สิบสองเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้ายพอดี "ปล่อยได้แล้ว เดี๋ยวมีคนมาเห็น" เขาแกะมือที่เกาะเอวแล้วรีบเดินหนีไปกดลิฟท์ มินตราสาวเท้าตามไป เดินไปหยุดยืนที่หน้าลิฟท์เคียงข้างเขา รู้สึกกระดากอายในการกระทำของตนเมื่อสักครู่จนไม่กล้าที่จะเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมคร้าม หากแต่ว่ากลิ่นน้ำหอมที่มาจากตัวเขากลับยิ่งทำให้ใจปั่นป่วนลุ่มหลง กลิ่นที่หล่อนชอบและอยากสูดดมทุกๆ วัน มันหอมอ่อนๆ กำลังดีไม่ฉุนจนเกินไป รอเพียงไม่นานประตูลิฟท์ก็เปิดออก ภัทรนนท์พยักพเยิดให้ มินตราเข้าไปก่อน เขาตามเข้ามาแล้วกดเลขชั้นที่ต้องการ...เพียงประตูลิฟท์เลื่อนปิด ภายในกล่องสี่เหลี่ยมแคบๆ ก็มีเพียงสองหนุ่มสาวท่ามกลางบรรยากาศแสนเงียบงัน ยากที่จะเดาในความคิดของกันและกันว่าภายในก้อนเนื้อแสนอ่อนไว้นั้นซุกซ่อนความรู้สึกอะไรไว้บ้าง เส้นศีลธรรมที่ขวางกั้นคือกำแพงที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่กล้าที่จะกระโดดข้ามมันมาหากัน สังคมคือตัวกำหนดกฎเกณฑ์ให้ทุกชีวิตดำเนินไปในเส้นทางที่ถูกที่ควร ภายในห้องทำงานของรองบอสเดอะเรดนั้นกว้างใหญ่พอๆ กับห้องนอนตน...มินตรายืนนิ่งอยู่กลางห้องหลังจากเข้ามาด้านใน แววตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ เขาบอกให้หล่อนไปนั่งๆ นอนๆ บนเดย์เบดหลังฉากกั้น ตรงนั้นจะมีทีวีให้ดูและเป็นมุมกาแฟ มีตู้เย็นเล็ก มีผ้าห่มที่แม่บ้านซักมาแล้วพับเก็บไว้ในตู้สามารถหยิบมาใช้ได้เลย "นอนเล่นอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน ถ้าอยากหลับก็หลับได้เลย ถึงเวลาพักกลางวันเดี๋ยวพี่มาปลุก ในห้องนี้ไม่ค่อยมีพนักงานเข้ามาหรอก นอกจากแขกของพี่เท่านั้น" เขาหยิบผ้าห่มผืนไม่หนามากสีครีมออกมาจากตู้แล้วยื่นมาให้ มินตรารับมาถือไว้พลางคลี่ยิ้มขบขัน "เห็นมั้ยคะ ลากอัยย์ออกมาผลสุดท้ายก็ไม่ได้เรียน" ชายหนุ่มกระตุกยิ้มให้กับคำพูดนั้น โดนคาดโทษเอาไว้แล้วยังจะไม่สลด คิดพลางเปิดตู้เย็นที่มีเครื่องดื่มแช่อยู่หลากหลาย สายตาคู่คมหรี่มองคนตรงหน้าก่อนหยิบไวน์ที่อยู่ในนั้นออกมาจนหมด เรียงกันไว้บนโต๊ะรอหยิบออกไป ท่ามกลางสายตาที่มองการกระทำนั้นอย่างงุนงง "อะ อ้าว แล้วไวน์พวกนี้..." "ดื่มได้ทั้งหมดที่อยู่ในตู้ ยกเว้นไวน์ที่ห้ามดื่ม พี่จะให้คนมาเก็บไปแช่ที่อื่น เอาไว้ไม่ได้ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าไม่ได้หลับได้นอน" "โธ่ อัยย์คงจะไม่ดื่มหรอกค่ะ ยังไม่สร่างเลย" เขาไม่พูดอะไร มินตรามองคนที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เดินออกไปจากห้อง สักพักก็กลับเข้ามาโดยมีพนักงานเดินตามหลังมาสองคน "เอาไวน์พวกนี้ไปแช่ที่ห้องคุณภีม บอกว่าผมให้เอาไป" พนักงานเหลือบตามองน้องสาวบอสเสน่ห์แรง หากแต่ว่าก็ช่วยกันหยิบไวน์ออกไปโดยไร้ซึ่งคำถาม มินตรามองตามแล้วอดที่จะลอบยิ้มออกมาไม่ได้ หล่อนทิ้งกายนอนลงบนเดย์เบด สองมือเล็กสลัดผ้าห่มให้คลายออกแล้วนำมาคลุมกาย ท่ามกลางสายตาที่มองการเคลื่อนไหวของตนอยู่ตลอดเวลา คือแววตาที่ซ่อนความห่วงหาอาทรเอาไว้ ภายใต้ท่าทีแข็งกร้าวที่จำต้องแสดงออกมากลบเกลื่อนความรู้สึกแท้จริง "มีอะไรก็เรียกนะน้องอัยย์ พี่จะได้ทำงานเสียที" "ค่ะ อัยย์จะนอนล่ะนะ สัญญาว่าจะไม่ก่อกวนพี่ภาม" "แต่ถ้าเธออ้วกออกมาเหมือนเมื่อคืน ได้เห็นดีกันแน่" เขาข่มขู่พลางดึงฉากกั้นให้ยืดออกมามากกว่าเดิม ด้วยไม่ต้องการให้ใครเข้ามาแล้วเห็นว่าพาใครมานอน โดยเฉพาะแขกของเขาที่ไม่รู้ว่ามินตราเป็นใคร ไม่อยากให้ใครมองไปในทางเข้าใจผิด คิดไปไกลว่าเขากินเด็กเลี้ยงดูปูเสื่อนักศึกษาจนพามาเปิดเผยออกหน้าออกตา โดยไม่กลัวถ้อยคำซุบซิบนินทาจากพนักงาน มินตรานอนดูทีวีไปเรื่อยเปื่อย และช่วงเวลาที่กำลังจะเคลิ้ม หลับ กลับถูกสะกิดเพราะเสียงเตือนทางไลน์นั่นแท้ๆ มือเล็กควานหาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋า หยิบมาเปิดดูก็เห็นว่ามันเป็นข้อความจากภัทรนันท์ จากที่ฝ่ายนั้นไลน์มาเพราะเป็นห่วงกลัวว่าน้องสาวจะพานพะโรไม่สบาย "ตื่นหรือยังครับ สายแล้วนะ" หญิงสาวอ่านแล้วยิ้มออกมากับการที่เขาคิดว่าตนยังนอนอยู่ที่บ้าน ปลายนิ้วเรียวจิ้มตอบกลับไป "ตื่นตั้งแต่เช้าค่ะ พี่ภามเข้าไปปลุก" เพียงได้อ่าน ภัทรนันท์ก็ใจหายวาบตามประสาคนมีชนักติดหลัง คำถามมากมายก่อเกิดในใจที่เริ่มจะเต้นแรง 'หมอนั่นเข้าไปปลุกน้องอัยย์ ไปตอนไหน แล้ว...เห็นอะไรหรือเปล่านะ...’ "หมอนั่นปลุกน้องอัยย์ทำไม" "ลากให้ไปเรียนค่ะ อัยย์บอกลุกไม่ไหวแต่ถูกพี่ภามบังคับให้อาบน้ำ" "บ้าไปแล้ว ไม่ไหวก็คือไม่ไหวจะบังคับอะไรขนาดนั้น" "สุดท้ายเขาก็ให้อัยย์มานอนที่ห้องทำงาน ไม่ได้เรียนอยู่ดีค่ะ" "อ้าว อยู่ที่นี่เหรอ" "ค่ะ ตอนนี้อัยย์อยู่ห้องพี่ภาม แต่งตัวออกจากบ้านเสียดิบดี แต่มานอนหลับต่อซะงั้น" หญิงสาวส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะกลับไป แต่ปลายทางกลับซีเรียสขึ้นมาทันที เพียงได้รู้ว่าหล่อนอยู่ไหน ภัทรนันท์รู้สึกไม่ชอบใจอยู่ลึกๆ กับ การที่น้องชายตนสร้างกฎขึ้นมาจนเคร่งเครียดเกินไป เขามองว่าบางอย่างควรผ่อนปรนกันบ้าง ไม่มีใครชอบการบีบบังคับ โดยเฉพาะวัยที่กำลังต้องการใครสักคนที่เข้าใจอย่างเช่นน้องสาวตน "กลางวันไปกินข้าวกันไหม อยากกินอะไรหรือเปล่า" "เลี้ยงหรือเปล่าคะ" "มันก็คงต้องเป็นอย่างนั้น มีตังค์เลี้ยงคนอื่นเขาเหรอเราน่ะ" "ไม่มี รอให้พี่ภีมเลี้ยง" "ตลอดดดด" มินตราถึงกับหัวเราะออกมาอยู่คนเดียว เมื่อเห็นว่าเขารู้ทันว่าจริงๆ แล้วหล่อนนั้นขี้งกมากขนาดไหน ค่าขนมไม่เคยเล็ดลอด เก็บอย่างเดียวแล้วก็อาศัยให้พี่ชายเลี้ยงข้าวอยู่เสมอ "พี่ภีมจะไปก็ไลน์มาปลุกนะคะ อัยย์ขอนอนก่อน จะลืมตาไม่ขึ้นอยู่แล้ว" "โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นนอนก่อนเถอะ พี่ไม่กวนแล้ว" "โอเคค่ะ" "ว่าแต่...ต่อไปอย่าให้ไอดีไลน์ของพี่กับใครอีกนะน้องอัยย์ พี่ขี้เกียจเปลี่ยนหนี" ภัทรนันท์นึกขึ้นมาได้ว่าต้องพูดเรื่องนี้ เพราะไลน์ที่เด้งซ้อนขึ้นมานั่นแท้ๆ...มันมาจากแพรวา อีกฝ่ายชอบไลน์มาทักเช้าเที่ยงเย็น ไม่เว้นแม้กระทั่งกลางคืน "ไม่ได้ให้ แต่มีคนเอาโทรศัพท์อัยย์ไปเปิดดูเองนะคะ" "รู้หรือไงว่าพี่หมายถึงใคร" "อัยย์ก็คิดว่าพี่ภีมหมายถึงขิง" หล่อนเดาว่าเขาคงหมายถึงเพื่อนตน ซึ่งมันเป็นเรื่องสุดวิสัยที่จะปิดบัง เพราะแพรวารู้รหัสและชอบแย่งโทรศัพท์ไปเปิดดูว่าวันๆ นั้นตนคุยกับใครบ้าง คล้ายต้องการตามติดชีวิตของเธอและต้องการรู้ลึกเรื่องส่วนตัวแบบติดขอบเตียง นี่คือนิสัยส่วนตัวของแพรวาที่ทำให้อึดอัดใจทุกครั้ง แต่ความเกรงใจในฐานะเพื่อนทำให้ไม่กล้าพูดอะไรแรงๆ กลัวว่าจะผิดใจกันจนลงเอยด้วยการทะเลาะกันรุนแรง "หัดเปลี่ยนรหัสล็อกหน้าจอบ่อยๆ สิครับ อย่าให้ใครมาล้วงความลับเราได้ง่ายๆ คนเราสมัยนี้ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจนไม่รู้ว่านั่นคือการเสียมารยาท" "ใครจะเหมือนพี่ภีมล่ะคะ ความลับเยอะจนเปลี่ยนรหัสเป็นว่าเล่น" "บ้าเหรอ เขาเรียกว่าอยู่เป็นต่างหาก" ภัทรนันท์หัวเราะออกมาเบาๆ เขามองไปบนหน้าจอโทรศัพท์ หล่อนเข้าใจถูกแล้วเรื่องแพรวา อีกฝ่ายชอบไลน์มาหาตั้งแต่ได้ไอดีส่วนตัวของเขาไป จริงอยู่ที่เขาสนใจเพราะเธอสวยมีเสน่ห์ และเขาก็ชอบมองคนสวยเพราะมันคือโรคประจำตัวแก้ไม่หาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้หล่อนรู้ถึงไอดีส่วนตัวที่มีเพียงแค่คนสนิทเท่านั้นที่จะได้มันไป ไลน์ที่เด้งเตือนชวนไปกินข้าวดูหนังถูกสไลด์ทิ้งโดยยังไม่เปิดเข้าไปอ่าน เขาเลือกที่จะไม่ตอบเพราะยังรู้สึกเบื่อไม่อยากไปไหนกับใครในตอนนี้ แต่ถ้าหากอยากได้เพื่อนดูหนังเมื่อไหร่เขาจะเป็นฝ่ายชวนไปเอง และนั่นมักเป็นเพียงความสัมพันธ์สั้นๆ ไม่ยืนยาว เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้อยากเลิกกับภรรยาเพราะหล่อนกำลังตั้งครรภ์ ภัทรนนท์เหลือบตามองเมื่อสัมผัสได้ถึงบานประตูที่ถูกผลักเข้ามา...เขากดวางสายที่จบจากการคุยธุระ ยิ้มให้คนที่เข้ามาเพราะไม่ใช่ใคร เป็นพี่ชายตนที่เดินเข้ามาแล้วตรงดิ่งไปตรงหลังฉากกั้น คล้ายกับรู้ว่ามีใครอยู่ในนั้น ชายหนุ่มลุกตามไปเพราะกลัวว่าคนที่กำลังนอนหลับจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา "ฉันไม่เห็นด้วยเลยที่นายลากเธอมาทรมาน แทนที่จะได้นอนอยู่บ้านสบายๆ แต่ก็ต้องมานอนในห้องทำงานที่คนเดินเข้าออกเป็นว่าเล่น นายน่ะทำตัวเหมือนคนแก่เก่าหัวโบราณคร่ำครึไปได้" "รู้ได้ยังไงครับว่าน้องอัยย์อยู่ที่นี่ ใครไปฟ้องพี่ถึงได้แจ้นมาดู" ภัทรนันท์ไม่ตอบ ที่จริงเขาเดินมาดูเพราะทั้งไลน์ทั้งโทร.หาแต่น้องสาวไม่รับสาย จากที่นัดเอาไว้ว่าจะไปทานข้าวด้วยกัน "เที่ยงแล้ว ฉันจะออกไปหาอะไรกิน นัดน้องอัยย์เอาไว้ว่าจะออกไปข้างนอก แต่ถ้ายังคงหลับอยู่อย่างนี้แล้วจะไปได้ยังไง" "ไม่ได้หรอกครับ ผมคงปล่อยให้ไปกับพี่อีกไม่ได้ ไปแล้วชอบพากันเตลิด ต่อไปเรื่อยบ้านช่องไม่กลับ แล้วข้าวกลางวันผมก็สั่งมาเผื่อเธอแล้ว ตื่นขึ้นมาก็ทานได้เลย" ภัทรนันท์ถึงกับมองหน้าคนพูด...มีสิทธิ์อะไรมาบงการชีวิตของเขา แล้วมินตราก็เป็นน้องสาวที่เขาจะชวนไปไหนมาไหนก็ได้ คิดพลางถอนหายใจออกมากับความเผด็จการของน้องชายตน "ฉันจะบอกอะไรให้ ไอ้วิธีที่นายทำอยู่น่ะมันไม่ถูกต้อง การบังคับว่าต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ เดินไปในทางที่ถูกขีดกรอบเอาไว้ มันคือวิถีของเผด็จการชัดๆ ไม่มีใครชอบหรอก" "แต่ผมจำเป็นต้องเข้มงวดกับความประพฤติของน้องอัยย์ ใน วัยเรียนก็ควรจะโฟกัสไปที่การเรียนเท่านั้น ผมไม่เห็นด้วยที่จะเที่ยวผับอาทิตย์เว้นอาทิตย์แบบนี้ ดูอย่างตอนนี้สิครับ พี่พาเธอไปเมาจนไปเรียนไม่ไหว สุดท้ายก็ขาดเรียน" "ฉันยอมรับว่าเมื่อคืนเลยเถิดไปนิด แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีอะไรเสียหาย มันคือการเปิดโลกกว้างเพื่อให้ได้รู้ได้ลอง ฉันกำลังสอนให้เธอรู้เท่าทันผู้คนในโลกสีดำ วัยรุ่นคือวัยที่อยากรู้อยากลอง เมื่อได้รู้เสียแล้วความอยากรู้อยากเห็นจะหายไปจนกลายเป็นชาชิน ความคิดที่อยากหนีเที่ยวอยู่นอกสายตาก็จะไม่มี เที่ยวเสียให้พอเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งก็จะเบื่อไปเอง" "นั่นแหละครับ ถ้าจะเสียคนก็เสียไปเลย เอาไม่อยู่เพราะติดเที่ยวแล้วก็เรียนไม่จบ" "นายจะซีเรียสอะไรนักหนา ขาดเรียนวันเดียวถ้าจะทำให้เรียนไม่จบก็ให้มันรู้ไป ก็เพิ่งมีแค่วันนี้ที่ขาดเรียน ถ้าขาดทุกครั้งก็ว่าไปอย่าง นายกำลังทำให้เกิดช่องว่างอย่างไม่รู้ตัว มีปัญหาอะไรน้องอัยย์ก็จะไม่กล้าปรึกษานายเพราะกลัวถูกดุ อะไรที่ตึงเกินไปมันไม่ดีหรอก สักวันมันก็คงขาดลง" "ถ้าอย่างนั้นเราก็มองกันคนละมุมแล้วล่ะครับ ที่ทำลงไปก็ไม่ใช่เพื่อใคร ก็เพื่ออนาคตของน้องอัยย์เอง ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าต่อไปนี้พี่ห้ามชวนเธอไปเที่ยวกลางคืนอีก" "นายก็เคยผ่านชีวิตช่วงนี้มาก่อนน่าจะเข้าใจดี ไม่มีใครชอบอะไรที่มันตึงเกินไปแล้วก็ไร้อิสระ ชีวิตในแต่ละช่วงก็ควรใช้มันให้เต็มที่ เพราะเวลาไม่มีวันหวนคืนให้กลับไปใช้ได้อีก การสนุกกับมันคือการเปิดโลกในหลากหลายมุมมอง โลกจริงมีมากกว่าการก้มหน้าก้มตาเรียนแล้วก็จมอยู่กับสังคมด้านเดียว การได้เรียนรู้เท่าทันในอีกสังคมคือวัคซีนคุ้มกันตัวเรา นายคิดว่าจะอยู่ดูแลกันไปแบบนี้ได้ตลอดเหรอ สักวันหนึ่งน้องอัยย์ก็ต้องแยกย้ายไปมีครอบครัวของตัวเอง" "มีครอบครัวเหรอ เลิกคิดไปได้เลย" ดูเหมือนคนพูดจะลืมตัวจึงโพล่งออกมาแบบนั้น ภัทรนันท์ได้ฟังแล้วถึงกับนิ่งอึ้งไม่เข้าใจว่าน้องชายตนจะบอกอะไร "ของแบบนี้ห้ามกันได้ด้วยเหรอ ตีกรอบแม้กระทั่งเรื่องรัก" "ผมหมายถึงตอนนี้ เลิกคิดได้เลยเรื่องมีแฟน" ภัทรนันท์นิ่งเงียบเพราะไม่อยากจะถกเถียงกันไปมากกว่านี้ ดูท่าว่าความไม่ลงรอยทางความคิดจะทำให้บรรยากาศอึมครึมขึ้นมาทันที ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก เพราะต่างคิดว่าความเงียบคือการยอมสงบศึกที่ละมุนละม่อมที่สุดแล้ว ท่ามกลางความอึดอัดจากความขัดแย้ง ประตูที่ถูกผลักเข้ามาอีกครั้งเป็นดั่งระฆังช่วยสงบศึกสงครามเย็น ผู้มาใหม่ชะงักไปเมื่อเห็นสองพี่น้องยืนนิ่งอยู่กลางห้องด้วยท่าทีแปลกๆ สายตาสองคู่เหลือบมองในมือของแม่บ้านที่ถือถาดอาหารมาด้วย "เอาวางไว้ข้างในเลยมั้ยคะคุณภาม" หล่อนหมายถึงหลังฉากกั้น ภัทรนนท์พยักพเยิดให้ไปวางไว้บนโต๊ะรับแขก เพราะเขาไม่อยากให้คนนอกเข้าไปรบกวนมินตรา "จะทานเลยมั้ยคะ ป้าจะได้เตรียมให้" แม่บ้านเข้าใจว่านายสองคนจะทานมื้อกลางวันด้วยกัน หล่อนทำท่าจะเดินเข้าไปหลังฉากกั้นเพื่อหยิบน้ำในตู้เย็น "ยังไม่ทานครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง ป้าไปทานข้าวเถอะ ไม่ต้องห่วงผม" หล่อนชะงักเพราะถ้อยคำนั่น เหลือบมองหน้าภัทรนันท์ อีกฝ่ายคลี่ยิ้มอ่อนกลับมา "ถ้าอย่างนั้นป้าไปนะคะ มีอะไรก็เรียกนะคะคุณภีมคุณภาม" คล้อยหลังแม่บ้าน ภัทรนนท์เหลือบดูเวลาบนผนัง เข็มชี้ไปที่ตัวเลขโรมันบอกว่าเลยเที่ยงไปหลายนาทีแล้ว และเขาก็คิดว่ามินตราคงไม่ตื่นขึ้นมาตอนนี้ อาหารที่สั่งมาคงเย็นชืด การชวนอีกฝ่ายทานด้วยกันจะช่วยทำให้ลืมเรื่องที่ถกเถียงกันเมื่อสักครู่ลงได้ "ทานด้วยกันสิครับ น้องอัยย์ดูท่าว่าจะยาว" ภัทรนันท์นิ่งเงียบคล้ายครุ่นคิด เขาไม่ตอบแต่เดินไปหลังฉากกั้น เปิดตู้เย็นมองหาเครื่องดื่มที่อยู่ในนั้น บอกเป็นนัยๆ ว่าถ้าจะทานอาหารก็ต้องมีเครื่องดื่มเป็นของคู่กัน ไวน์ที่หายไปจนเกลี้ยงตู้ ทำให้เขาถึงกับยกยิ้มมุมปาก ที่แท้มันถูกถ่ายเทไปแช่ที่ห้องของเขาก็เพราะการนี้ คิดอย่างรู้เท่าทันในความคิดของกันและกัน เขาปิดตู้เย็นแล้วเดินไปยังชุดรับแขก รอยยิ้มของอีกฝ่ายส่งมาแทนคำพูด ก่อนจะเดินไปเปิดประตูเพื่อบอกให้แม่บ้านไปนำไวน์ที่ห้องพี่ชายตนมาให้หนึ่งขวด แค่หนึ่งขวดสำหรับมื้อกลางวันก็กรึ่มๆ เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ถ้าดื่มมากกว่านั้นตอนบ่ายเขาคงประชุมไม่รู้เรื่องแน่นอน อาหารกลางวันแบบเรียบง่ายบนโต๊ะรับแขก ไวน์ถูกรินใส่แก้วทีละใบยั่วปุ่มใต้ลิ้นให้รีบหยิบขึ้นลิ้มลอง ภัทรนันท์ดื่มไวน์คู่มื้ออาหารจนชิน แต่เขาก็มีขีดจำกัดสำหรับการดื่ม ในช่วงเวลาทำงานเขารู้ว่าควรดื่มแค่ไหนไม่ให้กระทบ และเขาก็ไม่เคยเสียงานเสียการเพราะมัน เสียงแก้วกระทบกันเบาๆ น้ำสีแดงอมม่วงถูกจิบแล้วกลืนลงคอพอให้รู้รส ดูเหมือนว่าอารมณ์ของสองหนุ่มจะกลับมาปกติดังเดิม ยังกลับมานั่งดื่มทานข้าวด้วยกันได้เหมือนเคย คือความพันผูกของสายใยที่ไม่มีอะไรมาทำลายความเหนียวแน่นให้ขาดออกจากกันได้ "สั่งพิชซ่าไว้รอน้องอัยย์ก็ดี ตื่นขึ้นมาก็คงจะงอแงหิวข้าว" ภัทรนันท์เสนอแนะ เพราะอีกฝ่ายบอกว่าตั้งแต่เช้ามินตราทานแค่ขนมปังกับสมูทตี้ หลังจากนั้นก็ยังไม่ได้ทานอะไรอีกเลย "ดีเหมือนกัน เดี๋ยวผมให้คนสั่งมาให้ก็แล้วกัน" "อืม..." ภัทรนันท์วางแก้วไวน์ที่พร่องลงไป ยังไม่ทันร้องขอ ไวน์ในขวดก็ถูกรินเติมมาอีกครั้ง "ช่วยกันคนละครึ่งขวดนะครับ" "ทำไมฉันรู้สึกว่าดื่มมากกว่านายอีก เหมือนโดนโกงยังไงไม่รู้" ภัทรนนท์ยิ้มกึ่งหัวเราะ ขณะเติมไวน์ที่เหลือใส่แก้วตน "ตอนบ่ายผมมีประชุมกับหัวหน้าฝ่ายมาร์เก็ตฯ ไม่อยากดื่มมากน่ะ เดี๋ยวคุยดับใครเขาไม่รู้เรื่อง" "แล้วนายจะปล่อยให้น้องอัยย์นอนอยู่ในนี้คนเดียวเหรอ" "ถ้าอย่างนั้นพี่ก็หอบงานมาทำที่นี่ ผมน่าจะประชุมยาว" "นี่ถ้าฉันไม่มา นายก็คงทิ้งไว้แบบนี้" "ผมก็เบี้ยวประชุมไงครับ" "แบบนี้ก็ได้เหรอ" เสียงหัวเราะดังประสาน ความขุ่นเคืองถูกขับไล่ออกไปจากใจด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ คือความเหมือนในความต่าง แม้จะแนวคิดต่างกันจนสุดขั้ว แต่ว่าสิ่งที่ทั้งสองมีเหมือนกันนั่นก็คือ ความรักและความห่วงใยที่มีให้กันมาอย่างยาวนาน และมันจะคงอยู่ตลอดไปไม่มีอะไรมาทำลายลงได้… เกือบบ่ายสองเข้าไปแล้วที่มินตรายังคงนอนอุตุ ภัทรนันท์เห็นว่าหล่อนนอนนานเกินไป และอีกไม่นานก็จะได้เวลาเลิกงาน ชายหนุ่มจึงละสายตาจากแมคบุ๊คเมื่อเห็นว่าวันนี้ไม่มีอะไรด่วนที่ต้องจัดการแล้ว ร่างสูงลุกขึ้นแล้วถอดเบลเซอร์พาดไว้บนเก้าอี้ เดินเข้าไปหลังฉากกั้นเพื่อปลุกให้หล่อนตื่น เขากลัวว่าจะเป็นโรคกระเพาะจากการที่ทานอาหารไม่เป็นเวลา สายตาคู่คมจับจ้องมองร่างที่เริ่มนอนพลิกไปมาอยู่บนเดย์เบด ไล่มองไปยังแพขนตาที่หลุบลงยามหลับใหล และไล่ไปตามเรือนร่างสมส่วนอย่างลืมตัว ความทรงจำที่ไม่ตั้งใจจะนึกถึงก็แวบเข้ามา...เมื่อคืนเขานอนอยู่กับหล่อน ในห้องนอนที่ไม่ใช่ของตน สัมผัสในห้วงกึ่งตื่นกึ่งฝันที่เข้าใจผิดคิดว่าหล่อนคือสิตางคุ์กำลังกลับมา ปลายนิ้วแกร่งเผลอยกขึ้นแตะริมฝีปากอย่างลืมตัว กลิ่นหอมของดอกไม้แรกแย้มกำลังลอยวนกลับมาก่อกวนอบอวลอยู่ในใจ 'บ้าจริง...เราเป็นอะไร...’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD