“พี่มีอะไร จาเหนื่อย อยากอาบน้ำนอนแล้ว” ฉันไม่ตอบคำถามเขา เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า ไม่อยากให้เขามาก้าวก่ายไปมากกว่านี้
“ฉันถามว่าเธอคุยกับใคร?”
ฉันเงยหน้าจ้องตาเขาตรง ๆ ปลายนิ้วชี้ไปทางตู้เย็น แล้วพูดหน้าตาย
“กฎข้อ 2 ห้ามก้าวก่ายหรือยุ่งเรื่องส่วนตัวกันเด็ดขาด”
“…”
“เข้าใจนะ” ฉันผลักเก้าทัพให้พ้นประตู เปิดประตูเข้าห้องแล้วรีบปิดเสียงดังปัง!
ใจอยากจะกระแทกใส่หน้าหล่อ ๆ ของเขาเลยด้วยซ้ำ!
.
.
.
เช้าวันต่อมา วันนี้เป็นวันหยุด ฉันเลยตื่นสายกว่าปกติ ตอนออกจากห้องนอน กลิ่นอาหารลอยมาแตะปลายจมูก มองไปทางครัว เห็นอาหารวางอยู่บนโต๊ะ ฝีมือเก้าทัพแน่ ๆ เลย
ว่าแต่มีแค่อาหารวางอยู่ แล้วคนทำหายไปไหนซะล่ะ?
“…” ฉันมองหาเก้าทัพทั่วห้อง แต่ไร้วี่แววของเขา หรือว่าเขาจะอยู่ในห้องนอนนะ นี่มันสิบโมงแล้วนี่นา เขาเข้าไปงีบหรือเปล่า…
ฉันตัดใจไม่แตะต้องอาหารบนโต๊ะ หยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาจากเคาน์เตอร์แล้วหันไปเปิดแก๊สเตรียมต้มน้ำ เป็นจังหวะเดียวกับเสียงประตูหน้าห้องเปิดปิดพอดี ร่างสูงในชุดไปรเวทหล่อออร่าทะลุสายตาเดินเข้ามาหยุดยืนตรงโต๊ะอาหาร
“…” เขามองหน้าฉันสลับกับอาหารบนโต๊ะ แล้วหยุดสายตาที่ซองบะหมี่ในมือฉัน “ทำอะไร”
ฉันกระแอมแก้เขินเล็กน้อย หันกลับไปหยิบหม้อมาวางบนเตา
“ต้มบะหมี่ไง”
“ต้มทำไม อาหารบนโต๊ะก็มีทำไมไม่กิน” ร่างสูงเดินเข้ามาซ้อนหลัง เขาเอื้อมปิดแก๊ส แย่งบะหมี่ในมือฉันไป ขณะที่ฉันตัวแข็งทื่อเอาเสียดื้อ ๆ ความใกล้ชิดกะทันหันทำหน้าฉันร้อนแปลก ๆ กลิ่นน้ำหอมของเขาก็ด้วย ทำไมมันถึงได้หอมยั่วจมูกฉันแบบนี้นะ
บ้าจริง… ปกติเก้าทัพถึงเนื้อถึงตัวฉันออกจะบ่อย ฉันไม่เคยรู้สึกแปลก ๆ เลยนี่นา แต่ทำไมวันนี้มันถึงรู้สึกต่างออกไปนะ
“ไปนั่งที่โต๊ะเลย หิวก็กินซะสิ” ฉันหมุนตัวกลับมา ชะงักเล็กน้อยเมื่อระยะห่างระหว่างเรามันอยู่ใกล้กันเกินพอดี เก้าทัพเป็นคนตัวสูงมาก น่าจะราว ๆ ร้อยแปดสิบเซนต์ขึ้น ในขณะที่ฉันสูงแค่ร้อยหกสิบปลาย ๆ เท่านั้น ด้วยความสูงที่ต่างกันสิบกว่าเซนต์ทำให้เวลาที่เขาคุยกับฉัน เขาต้องก้มหน้าหรือโค้งตัวลงมาเสมอ และตอนนี้เขาก็กำลังทำแบบนั้นอยู่
“…” ฉันนิ่งงัน เงยหน้าจ้องตากับดวงตาคม ปอยผมสีเทาของเก้าทัพระใบหน้าหล่อลงมา ฉันอดไม่ได้ที่จะมองมัน ฉันชอบผู้ชายผมยาว โดยเฉพาะผมสีเทา มีครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ฉันบังเอิญติดมังงะเรื่องหนึ่ง พระเอกเป็นปีศาจจิ้งจอกเก้าหางผมยาวสีเทาแบบโคตรหล่อ ฉันหลงพระเอกคนนั้นมากจนเก้าทัพแอบขโมยมังงะเล่มนั้นของฉันไปเผาทิ้ง ฉันทะเลาะกับเขาไปหลายวันเลย
หลังจากนั้นไม่นาน เก้าทัพก็เริ่มไว้ผมยาว แถมยังทำสีผมเป็นสีเทาอีกด้วย ฉันไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะว่าเขาทำไปเพื่อฉันน่ะ แต่พอมาเห็นแบบนี้มันก็อดคิดไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ
เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องนั้น มือข้างหนึ่งยกขึ้นสัมผัสปอยผมของเก้าทัพด้วยความลืมตัว ซึ่งเจ้าตัวก็ยืนนิ่งให้ฉันจับผมเล่น แถมยังก้มลงมาใกล้กว่าเดิมอีก
“…”
นุ่มมือชะมัด… ทำไมเส้นผมเขานุ่มแบบนี้นะ
มันเหมือน… เหมือนกับ…
“เหมี๊ยว~”
ใช่! เหมือนกับขนแมวเลยแฮะ…
เดี๋ยว… เดี๋ยวนะ… เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงแมวใช่ไหม?
“…” ฉันสะดุ้ง กะพริบตาปริบ ๆ มองหน้าหล่อ ๆ ของเก้าทัพงุนงง
เอ๊ะ… ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม เมื่อกี้เหมือนฉันได้ยินเสียงแมวร้องจริง ๆ นะ
“เหมี๊ยว~”
เฮือก! จริงด้วย!
ฉันผละมือออกจากปอยผมของเก้าทัพแล้วหันมองไปทั่วห้องเพื่อหาต้นตอของเสียง นั่นมันอะไร… เสียงแมวร้องมาจากที่ไหนกันน่ะ!
“เป็นอะไร?”
“สะ เสียง… จาได้ยินเสียงแมวร้อง” ฉันวิ่งมาชะเง้อมองที่ประตูระเบียง เป็นไปไม่ได้ นี่มันชั้นสิบเจ็ดเลยนะ จะมีแมวปีนเข้ามาทางระเบียงได้ยังไง อีกอย่างที่คอนโดนี้มีกฎห้ามเลี้ยงสัตว์ด้วยนี่นา หรือฉันจะหูฝาดไปจริง ๆ
“หมายถึงเจ้านี่หรือเปล่า”
“…!”
คราวนี้ฉันอ้าปากค้าง มองสิ่งที่อยู่ในมือเก้าทัพ สีหน้าเหวอ เขาชูตะกร้าหรือกล่องหรืออะไรสักอย่างที่ด้านในบรรจุแมวอ้วนตัวสีขาวเอาไว้ และมัน… น่ารักมาก!
“มะ แมว? !”
“อือ แมว” เก้าทัพตอบรับหน้าตาเฉย วางตะกร้าแมวลงบนเคาน์เตอร์ครัวแล้วเปิดฝาด้านข้างออก เจ้าแมวตัวสีขาวก้าวออกมาด้วยท่าทางเกียจคร้านแถมยังหาวหวอดอย่างน่ารัก ฉันครางงื้อออกมาไม่รู้ตัว ดวงตาฉันตอนนี้คงกลายเป็นรูปหัวใจแล้วแน่ ๆ
งื้อ~ไอ้ต้าววววว~ทำไมน่ารักน่าฟัดขนาดนี้~