วันนี้ฉันมีซ้อมละครเวที และแน่นอนว่าเก้าทัพมานั่งคุมฉันเหมือนเดิม เขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรนอกจากนั่งกอดอกมองเงียบ ๆ แต่สีหน้าเย็นชากับแววตาเรียบนิ่งของเขานั่นแหละที่ทำให้คนอื่น ๆ เกร็งกันไปหมด ถึงแม้ว่าความหล่อขาดใจของเขาจะช่วยกลบเกลื่อนบรรยากาศมาคุลงมาหลายส่วนก็เถอะ
การซ้อมจบลง ทุกคนแยกย้าย วายุเดินเข้ามาหาฉัน ยื่นโทรศัพท์ให้อ่าน
“อะไรเหรอ?” ฉันมัวแต่เช็ดเหงื่อออกจากข้างแก้มจึงไม่ทันได้อ่านดี ๆ รู้แต่ว่ามันคือแชทกลุ่มของพวกเรา
“มิลินทักมาชวนไปผับคืนนี้ เห็นว่ามี่ก็จะไปด้วยนะ ยุกำลังคิดอยู่ว่าจะไปดีไหม ถ้าจาไปยุก็ว่าจะไปด้วยน่ะ” พวกเราเดินลงบันไดด้านหลังเวทีแล้วอ้อมมาด้านหน้า ฉันเลิกคิ้วมองวายุ
“ลินชวนเหรอ? มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าวันนี้เป็นวันพิเศษอะไร”
“ยุก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่าต้องไปให้ได้ บอกให้ยุลากจาไปด้วย”
“จาก็ต้องไปเหรอ?” ฉันชี้หน้าตัวเองงุนงง ปกติฉันไม่ค่อยเที่ยวกลางคืน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่ค่อยชอบ อีกส่วนคือเก้าทัพไม่ยอมให้ไปโดยไม่มีเขา และถ้าต้องไปเที่ยวโดยมีเขาตามไปคุมด้วย ฉันเลือกที่จะไม่ไปซะดีกว่าอะนะ
ฉันหยุดเดินตรงหน้าเวที สายตามองตรงไปทางร่างสูงของเก้าทัพที่กำลังยืนรออยู่ไม่ไกล เขาหันมาเห็นฉันแล้ว และทำท่าจะเดินเข้ามาหา ฉันถอนหายใจกลอกตาใส่เขา คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย สีหน้าไม่พอใจฉายชัด
“ตกลงว่าไงอ่ะจา” วายุทวนถามคำตอบ ฉันละสายตามามองเขา
“ก็คงต้องไปแหละ”
“ถ้าจาไปงั้นยุก็ไป”
“อื้อ ไว้เจอกันคืนนี้แล้วกัน จากลับก่อนนะ” ฉันโบกมือลาแล้วเดินออกมาโดยมีเก้าทัพเดินตามหลังมาด้วย
เขาจะตามติดฉันไปถึงไหนกันนะ เฮ้อ…
“คืนนี้จะไปไหนกัน”
ฉันหันขวับมองแรงใส่คนขับรถ นี่เขาแอบฟังฉันคุยกับวายุเหรอ?
“พี่ไม่ควรแอบฟังเรื่องของคนอื่นนะ”
“ฉันไม่ได้แอบฟัง” เขาตอบหน้าตาย “และเธอก็ไม่ใช่คนอื่น”
ประโยคหลังทำลมหายใจฉันสะดุดเล็กน้อย เขามักจะพูดจากำกวมแบบนี้ตลอด พูดเหมือนว่าฉันคือคนสำคัญ ทั้งที่การกระทำโคตรไม่ใช่ เพราะเขาทำกับฉันเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยง เป็นตุ๊กตาไร้ความรู้สึก เป็นสถานะที่คล้ายจะสำคัญแต่ก็ไม่…
“ตกลงคืนนี้จะไปไหน”
“จาไม่จำเป็นต้องบอกพี่ทุกเรื่องนะ” ฉันหันมองออกไปนอกรถ ไม่อยากมองหน้าเขา ไม่อยากถูกความเย็นชาสาดใส่
“ทำไมจะไม่จำเป็น เธอจะไปไหน จะทำอะไรก็ต้องบอกฉันทั้งนั้น”
เห็นไหมล่ะ เขาชอบบงการชีวิตฉันขนาดไหน ไม่รู้จะสนใจอะไรฉันนัก เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ปล่อย ๆ ฉันไปไม่ได้หรือไงนะ
“ตกลงว่าจะไปไหน หรือต้องให้ฉันไปถามจากเพื่อนเธอเอง”
“มันไม่มากไปหน่อยเหรอ นี่มันเรื่องส่วนตัวของจานะ” ฉันจ้องใบหน้าครึ่งเสี้ยวของเก้าทัพ เขายังคงมองตรงไปทางถนนเบื้องหน้า สีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกไม่เปลี่ยน
ฉันเกลียด… เกลียดความรู้สึกนี้ชะมัด
“เรื่องส่วนตัว? หึ… เธอควรมีเรื่องส่วนตัวกับฉันหรือไงจา ทุกเรื่องของเธอก็คือเรื่องของฉัน เธอลืมไปแล้วหรือไง”
เป็นแบบนี้อีกแล้ว เขามักจะพูดแบบนี้กับฉันเสมอ เรื่องของฉันก็คือเรื่องของเขา แต่เรื่องของเขากลับไม่ใช่เรื่องของฉัน เขายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของฉันได้ แต่ฉันไม่มีสิทธิ์ยุ่งวุ่นวายกับชีวิตเขา
ความเท่าเทียมมันอยู่ตรงไหนกัน?
“แต่จาโตแล้วนะ จาจะไปไหน จะไปกับใคร มันก็เรื่องของจา ไม่เกี่ยวกับพี่!”
เอี๊ยดดดดด!
“ว้าย! พี่ทำบ้าอะไรเนี่ย!” จู่ ๆ รถที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็วร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเลี้ยวปาดเข้าข้างทางแถมยังเบรคกะทันหันจนหน้าฉันแทบคว่ำ โชคดีที่คาดเข็มขัดเอาไว้ ไม่งั้นหน้าฉันได้กระแทกแน่ ๆ
เขามันบ้าดีเดือดไม่มีใครเกินจริง ๆ!
“พูดอีกทีซิ”
“อะไร!” ฉันตวัดสายตามองเก้าทัพ ไม่สนใจแล้วว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน ฉันเหนื่อยที่ต้องเป็นตุ๊กตาของเขาเต็มทนแล้ว!
“พูดอีกทีซิจายา คำพูดอวดดีของเธอเมื่อกี้น่ะ” มือหนาล็อกจับปลายคางฉันแน่น แววตาคมเข้มเย็นชาดุดัน ฉันเม้มปากแน่น เชิดหน้า สู้สายตากับเขา
พอกันที… ฉันจะไม่ทนกับเขาอีกแล้ว!
“ปล่อยจา”
“…”
“จาบอกให้ปล่อย!”
พรึ่บ!
ฉันสะบัดมือเก้าทัพออกจากปลายคางตัวเองสำเร็จ ความแรงของการสะบัดนั้นทำหน้าฉันหันไปอีกทาง ผิวหน้าถูกปลายเล็บคมเกี่ยวจนเป็นรอย ถามว่าเจ็บไหม… ไม่เลย แค่นี้มันยังน้อยไปกับสิ่งที่ฉันอดทนมาตลอด
ฉันจ้องมองเขาผ่านความพร่าเบลอของหยาดน้ำตา ฉันไม่ได้อยากจะร้องไห้ ไม่เลยสักนิด แต่ความอึดอัด ความอัดอั้นในใจ มันทำให้ฉันอยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ อยากตะโกนใส่หน้าเขาว่าเลิกทำแบบนี้กับฉันสักที เลิกยุ่งกับฉัน เลิกบังคับฉัน เลิกบงการชีวิตฉันได้แล้ว!
ฉันทนไม่ไหวอีกแล้ว ทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ