หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปหลังจากย้ายมาอยู่ที่นี่ ฉันเริ่มเคยชินกับชีวิตอิสระมากขึ้น ชีวิตที่ไม่มีใครมาตามควบคุม มันเป็นชีวิตที่ฉันถวิลหามาโดยตลอด ฉันมีความสุขมาก… มากจนลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป
ตึก ตึก ตึก
เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบลงบนพื้นลานจอดรถใต้คอนโด ฉันกลับจากมหาวิทยาลัยตามเวลาปกติเหมือนทุกวัน ทว่าวันนี้กลับมีความรู้สึกแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก
ฉันรู้สึกเหมือน… มีคนกำลังจ้องมองตลอดเวลา
“…” ฉันหยุดเดิน หันกลับไปมองด้านหลัง แม้ว่าที่คอนโดนี้จะมีระบบความปลอดภัยค่อนข้างดี แต่ในลานจอดรถก็ยังดูวังเวงและน่ากลัวไม่ต่างจากที่อื่นนั่นแหละ
ฉันก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างไม่คิดอะไร ทว่าเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งดังแผ่วเบามาจากที่ไกล ๆ นั่นทำให้ฉันอดจะขนลุกไม่ได้
“…” ฉันหันมองอีกครั้งตามเสียงฝีเท้านั้น
ไม่มีใครงั้นเหรอ…
ที่ตรงนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครเดิน คิ้วสวยเริ่มขมวดเล็กน้อย ฉันไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ แต่เหมือนมีใครกำลังเดินตามฉันอยู่
คิดได้ดังนั้นก็รีบสาวเท้าเดินเร็วขึ้น เพื่อพาตัวเองให้ไปถึงประตูทางเข้าคอนโดให้เร็วที่สุด ทว่ายิ่งฉันเดินเร็วขึ้น เสียงฝีเท้าด้านหลังก็ยิ่งดังมากขึ้น คราวนี้ฉันหันไปมอง สองตาเบิกกว้างด้วยตกใจ
ผู้ชายร่างสูงสวมฮู้ดสีดำกำลังเดินตรงมาทางฉัน ความมืดสลัวของลานจอดรถทำให้มองเห็นใบหน้าเขาไม่ชัด ฉันแทบจะกรีดร้อง มั่นใจแล้วว่าตัวเองกำลังถูกสะกดรอยตาม สองเท้ารีบวิ่งเร็วขึ้น ก่อนที่จะ…
ปึ่ก!
“อ๊ะ…” เพราะความรีบเร่งทำให้ฉันสะดุดล้มลงบนพื้น ความเจ็บแสบแล่นวาบไปทั่วหัวเข่าทั้งสองข้าง ฉันใช้มือทั้งสองยันพื้นเพื่อพยุงตัวจะลุกขึ้น แต่เสียงฝีเท้าหนัก ๆ จากด้านหลังกลับสั่นประสาทฉันแทน
“โอ๊ะโอ… คนสวยหกล้มซะแล้ว” เสียงน่าขนลุกดังก้องไปทั่วบริเวณ ฉันกำมือแน่น ค่อย ๆ เอี้ยวตัวเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงนั้น
ฉันจำผู้ชายคนนี้ได้…
เมื่อหลายเดือนก่อน ฉันเคยแอบหนีเก้าทัพกลับบ้านเอง ตอนนั้นฉันนั่งแท็กซี่กลับและแวะซื้อของหน้าปากซอยหมู่บ้าน เพราะเห็นว่าบ้านอยู่ไม่ไกลจากหน้าปากซอยนักฉันจึงเลือกที่จะเดินกลับ ทว่าวันนั้นฉันเกือบถูกพวกโรคจิตทำร้าย โชคดีที่เก้าทัพตามมาช่วยไว้ได้ทัน ครั้งนั้นฉันรู้สึกขอบคุณเขามาก แม้ว่าจะถูกเขาโมโหใส่อย่างหนักก็เถอะ
และใช่… ไอ้โรคจิตนั่นก็คือผู้ชายที่ยืนค้ำศีรษะฉันอยู่ตอนนี้นี่เอง
“แก… แกตามฉันมาเหรอ? แกรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่!” ฉันตวาดเสียงสั่น ทั้งกลัว ทั้งโกรธ ไม่คิดว่าชีวิตฉันจะถูกคุกคามขนาดนี้ ฉันเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้อาทิตย์เดียวเองนะ แต่กลับต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้แล้ว
หรือว่าคนที่กดออดห้องฉันเมื่อหลายวันก่อนก็คือหมอนี่… งั้นแสดงว่าเขารู้จักห้องฉันด้วยงั้นเหรอ?!
“โธ่… ไม่เอาน่าที่รัก อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นสิ มันทำให้ฉันยิ่งรักยิ่งหลงเธอเข้าไปใหญ่เลยนะ” ร่างสูงย่อตัวลงนั่งยอง ๆ ตรงหน้า หน้าตาน่ารังเกียจบิดเบี้ยวแสยะยิ้ม เขาใช้หลังมือลูบไล้ใบหน้าฉันเบา ๆ ฉันเบี่ยงหน้าหนี กัดฟันแน่น รู้สึกขยะแขยงจนอยากจะอาเจียน
“อย่าแตะต้องฉันนะ! ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย!” ฉันปัดมือน่ารังเกียจออก พลางเช็ดถูข้างแก้มตัวเองด้วยความขยะแขยง
นี่คือผลจากการที่ฉันต้องการความอิสระงั้นเหรอ… ฉันก็แค่อยากจะใช้ชีวิตด้วยตัวเองบ้างเท่านั้น ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องน่าบัดซบแบบนี้ด้วย
‘เธอขาดฉันไม่ได้หรอกจา’
น้ำเสียงเย็นชาลอยเข้ามาในห้วงความคิด ฉันแค่นยิ้มสมเพชตัวเอง ทั้งที่พยายามหนีจากเขาแทบเป็นแทบตาย แต่สุดท้าย… ในตอนที่กำลังเผชิญหน้ากับความอันตราย ฉันก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงผู้ชายคนนั้น
“จุ๊ ๆ อย่าดุสิที่รัก” เสียงน่ารังเกียจยังคงพูดต่อไป เขาชักมีดออกมาก่อนใช้ใบมีดแตะข้างแก้มฉัน ร่างกายฉันสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว เขาใช้มืออีกข้างค่อย ๆ ลูบไล้ต้นขาฉันลงมาที่หัวเข่าซึ่งมีรอยถลอก ฉันรวบรวมสติปัดมือน่ารังเกียจออกสุดแรง แต่ไม่ได้ผลเพราะเขายื้อมือเอาไว้แถมยังทิ้งน้ำหนักลงบนบาดแผลของฉัน ยิ่งฉันแสดงสีหน้าเจ็บปวด เขาก็ยิ่งกดมือแรงขึ้น ริมฝีปากหนาแสยะยิ้มบิดเบี้ยว พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างคนเสียสติ “อา… ดี… ฮ๊า”
“อึก…” ฉันกัดฟันกลั้นความเจ็บปวด ควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าอย่างลนลาน ฉันต้องการความช่วยเหลือ… ใครก็ได้ช่วยฉันที!
“ฮ๊า…” เสียงครางน่ารังเกียจดังไม่หยุด ขณะที่มือยังคงบีบขย้ำบาดแผลจากรอยถลอกของฉัน มันเจ็บแสบจนน้ำตาไหล ฉันอยากจะกรีดร้องออกมา แต่ก็กลัวว่าเขาจะทำร้ายฉันมากไปกว่านี้
เม็ดเหงื่อไหลซึมจากทุกอณูผิว ความรู้สึกวิงเวียนแล่นวาบเข้ามา ฉันแทบจะครองสติเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ทั้งความกลัว ความเจ็บปวด ถาโถมเข้ามาจนฉันรับไม่ไหว ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยหวาดกลัวเท่านี้มาก่อน
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้ซึ้งถึงคำว่าอันตรายอย่างแท้จริง
พลั่ก!
ตุบ!
“…เธอนี่มันดื้อจริง ๆ”
และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินก่อนหมดสติไป…