“…!” ฉันสะดุ้งหันกลับไปมองตามเสียงคุ้นเคย ร่างสูงเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าฉัน เงยหน้าสบตากับเขานิ่งงัน เมื่อครู่เขาว่าอะไรนะ…
“ทำไม? ตกใจมากที่เห็นหน้าฉันหรือไง?”
“ปะ เปล่าค่ะ จาแค่กำลังสับสน” ฉันหลบสายตาเขา สองมือกุมกันพลางเม้มปาก ตัดสินใจถามออกมา “คนที่ช่วยจาเมื่อวานคือพี่สิบเหรอคะ?”
“…” สิบทิศมองหน้าฉันนิ่ง ๆ เขาไม่ตอบอะไร ทำเพียงส่งสายตาไปทาง รปภ. ฉันมองตามจึงเห็นว่า รปภ. คนนั้นเดินกลับเข้าไปในห้องรักษาความปลอดภัยแล้ว
จริงสิ… มิลินบอกว่าคอนโดนี้เป็นธุรกิจในเครือของครอบครัวสิบทิศ งั้นก็แสดงว่าเขาคือเจ้าของที่นี่สินะ ไม่แปลกที่ รปภ. จะเกรงกลัวเขา
“เธอกลับห้องไปได้แล้ว และทางที่ดีก็เลิกเดินเพ่นพ่านตอนค่ำ ๆ แบบนี้ด้วย”
ฉันเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่า สิบทิศปรายตามองฉันเล็กน้อยก่อนเดินผ่านหน้าฉันไป ทว่าเขาเดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดเดินก่อนหันมามองฉันด้วยแววตานิ่ง ๆ
“อ่อ… คิดจะดื้อแล้ว ก็ดื้อต่อไปเรื่อย ๆ นะ”
“…”
“สนุกดี”
สิบทิศแสยะยิ้มหลังพูดจบก่อนหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้ฉันยืนมึนงงกับคำพูดกำกวมของเขา ดื้ออะไรกัน… ฉันไปดื้ออะไร ตอนไหนเหรอ?
งงไปหมดแล้วนะ
.
.
.
ติ๊ด ๆ ๆ ๆ
ฉันกดรหัสเปิดประตูเข้ามาในห้อง แสงไฟหน้าประตูสว่างอัตโนมัติ ชะงักเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นอาหารลอยมาแตะปลายจมูก
กลิ่นอาหารงั้นเหรอ… มาจากไหนกัน?
ฉันรีบถอดรองเท้าแล้วเดินดุ่ม ๆ เข้ามาในครัว ก่อนหยุดชะงักมองภาพตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ บนโต๊ะอาหารปรากฏจานอาหารสองสามอย่างวางอยู่ และยังมีจานข้าวสวยร้อน ๆ ด้วยหนึ่งจาน
ใครกัน?
ฉันมองหาซ้ายขวารอบห้องแต่กลับไม่เจอใครสักคน ใครกันที่เข้ามาในห้องฉัน แถมยังจัดแจงอาหารไว้ให้ฉันด้วย แม่หรือเปล่านะ…
ฉันนั่งลงหน้าจานข้าว กลิ่นหอมแบบนี้… หน้าตาน่าทานแบบนี้…
หรือว่า…
ครืด!
ฉันถลึงตัวลุกขึ้นทันที สองตาเบิกกว้างมองไปรอบตัวอีกครั้ง เป็นไปไม่ได้… จะเป็นเขาไปได้ยังไงกัน… เขาไม่ได้อยู่ที่นี่นี่!
โทรศัพท์เครื่องบางถูกยกขึ้นมากดต่อสายหาแม่เพียวทันที ฉันต้องถามแม่ให้แน่ใจว่าคนที่มาทำอาหารให้ฉันคือแม่หรือเปล่า ทว่าปลายสายยังไม่ทันจะกดรับ…
พรึ่บ!
หมับ!
จู่ ๆ โทรศัพท์ฉันถูกปัดจนมันเกือบจะหล่นลงพื้น ทว่ากลับมีมือหนาของใครคนหนึ่งรองรับมันไว้ทันท่วงที ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ สองตาจ้องมองมือนั้นที่เอื้อมมาจากด้านหลังฉัน
“…” กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ กลิ่นนี้อีกแล้ว… ฉันจำมันได้ในทันที
ครืด…
ฉันหมุนตัวกลับมามองร่างสูงด้านหลัง ก่อนจะต้องตกใจจนถอยหลังสะโพกชนโต๊ะอาหาร ความแรงในการชนทำฉันเสียหลักเกือบล้ม แต่ถูกวงแขนแกร่งคว้าเอวบางเอาไว้ เขากระชับวงแขนรั้งตัวฉันให้กลับไปแนบชิดกับร่างกายเขา ความร้อนผ่าวแล่นวาบระหว่างเรา
“พะ พี่เก้า…”
ใช่แล้ว… ผู้ชายตรงหน้าฉันคนนี้คือเก้าทัพ!
“ระวังหน่อยสิ ไม่มีฉันเธอคงล้มไปแล้ว” น้ำเสียงเย็นชา ทว่านุ่มละมุนกระซิบใกล้ ๆ ลมหายใจของเขาเจือกลิ่นบุหรี่อ่อน ๆ ใบหน้าหล่อเหลาแสนร้ายกาจอยู่ใกล้เพียงไม่กี่คืบ ฉันนิ่งอึ้งลืมวิธีหายใจไปชั่วขณะพร้อมกับคำถามมากมายเต็มหัว
ทำไม… ทำไมเก้าทัพถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
“อ๊ะ…” ฉันอุทานออกมาเมื่อวงแขนแกร่งรั้งเอวฉันแนบแน่นกว่าเดิมจนร่างฉันแนบชิดกับเขาเกินพอดี ฉันรีบแกะแขนเก้าทัพออกแล้วเบี่ยงตัวเดินหนีออกมาจากรัศมีอันตราย
นี่มันอะไรกัน… ฉันงงไปหมดแล้ว
“พี่… พี่มาที่นี่ได้ยังไง ไม่สิ พี่เข้ามาในห้องจาได้ยังไง ที่นี่มันคอนโดจานะ พี่บุกรุกเข้ามาได้ยังไง?” ฉันพยายามตั้งสติ สรรหาคำมาถามเขา หัวใจฉันเต้นระรัวทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขา ไม่รู้ว่ามันเพราะอะไร เพราะความกลัว ความหวาดหวั่น หรืออะไรก็ช่าง เอาเป็นว่าฉันไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย
“ทำไมจะเข้ามาไม่ได้ในเมื่อที่นี่มันห้องฉัน”
เขาว่ายังไงนะ?
“พี่หมายความว่ายังไง”
เก้าทัพขยับเข้ามาใกล้ เขาโค้งตัวลงมาสบตากับฉัน ริมฝีปากหนายกยิ้มร้าย ขณะที่หัวใจฉันแทบจะหยุดเต้น
“ที่นี่คือห้องฉัน ชัดยัง?”
ไม่จริง…
“พี่พูดบ้าอะไร? ที่นี่จะเป็นห้องพี่ได้ยังไง นี่มันห้องจาต่างหาก” ฉันมองไปรอบห้อง ทั้งรูปภาพบนผนัง ทั้งเครื่องครัว หรือแม้แต่แจกันดอกไม้บนโต๊ะอาหาร ทุกอย่างล้วนเป็นของที่ฉันตกแต่งด้วยตัวเอง ฉันไม่มีทางจำผิดหรือเข้าห้องผิดแน่ ๆ เขาจะมาขี้ตู่แบบนี้ได้ยังไงกัน
“ถูกแล้ว ห้องเธอกับห้องฉัน”
“…”
“หรือจะเรียกง่าย ๆ ก็คือ… ห้องของเราสองคน”