เงียบๆ น่า เดี๋ยววิญญาณบรรพบุรุษก็ตกใจตื่นมาบีบคอแกหรอก

1216 Words
หลังจากแวะซื้อเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ให้ฉันและขับรถต่อมาอีกไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมง ในที่สุดเราทั้งคู่มาถึงที่หมายสักที พี่คริสเตียนนำฉันออกจากรถลงไปยืนรับลมเย็นๆ ยามหัวค่ำด้วยอารมณ์เปี่ยมสุข ฉันตามลงมาอย่างเหนื่อยใจพลางมองตึกข้างหน้าด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก ก่อนที่คนพามาจะแนะนำขึ้นประหนึ่งภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน “นี่คือหอพักที่พี่แอบมาเช่าไว้เอง เป็นไงบ้าง ถูกใจล่ะสิ” ฉันอยากจะเสยคางพี่ตัวดีนัก แต่ก็ทำได้แค่เหลือบมองตึกสามชั้นตรงหน้า มันเป็นสถานที่ที่ไม่น่าเรียกว่าหอพักได้เลย มันดูวังเวงจนน่าขนลุกยังไงไม่รู้ แถมรอบๆ ก็ไม่มีบ้านคนเลยสักหลัง ข้างขวาเป็นบึงน้ำที่มีหญ้าขึ้นรก ข้างซ้ายก็เป็น...เอ่อ...ป่าช้าจีน บรรยากาศช่างชวนให้ฉันออกไปหาไก่กินเสียเหลือเกิน ให้ตายสิ พี่คริสเตียนบ้ารึเปล่าที่มาเช่าห้องที่นี่ = =; แต่ก็ช่างเหอะ อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ที่แม่หามาให้แล้วกัน “เข้าไปข้างในกันเถอะ พี่ชักจะเพลียแล้ว ขับรถมาทั้งวันยังไม่ได้พักเลย” ดูพี่คริสเตียนจะคุ้นเคยกับคนที่นี่เป็นอย่างดี เพราะตั้งแต่เดินเข้ามา ไม่ว่าลุงยาม แม่บ้าน ยันคนที่เช่าห้องอยู่ในตึกนั้น ต่างเข้ามาทักทายพร้อมกับของฝากเล็กๆ น้อยๆ ติดไม้ติดมือเต็มไปหมด “อ่ะ นี่กุญแจสำรอง ส่วนนี่เบอร์โทรของป้าคนดูแลหอนะ มีอะไรโทรไปหาได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้พี่ต้องบินกลับไปถ่ายรายการที่จีนต่อ โทษทีที่ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อน” “อืม...หนูอยู่ได้ ไม่ต้องเป็นห่วง” พี่คริสเตียนยิ้มให้ฉันเล็กน้อยก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงไม้ผุๆ อย่างแรง แคร่กๆ เอี๊ยดอ๊าดๆ บอกฉันหน่อยเถอะว่ามันจะไม่พังครืนลงมาน่ะ = =; “เอ่อ...ของมันเก่าแล้วก็อย่างนี้แหละ พี่ขอนอนก่อนนะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า ด้านหลังหอพักมีร้านค้าอยู่ ถ้าหิวก็ไปหาซื้ออะไรกินได้” พอแก้ตัวให้เตียงของตัวเองเรียบร้อยก็หันหลังให้ฉันทันที ไม่นานเสียงกรนสะเทือนโลกก็ดังเสียดโสตประสาทฉันจนรู้สึกปวดหัวตึ้บๆ ฉันจึงตัดสินใจเดินลงมานั่งเล่นด้านล่างตึก พลันเสียงจากกระเพาะน้อยๆ ก็ดังโครกคราก อ๊ะ จริงสิ ตั้งแต่ออกมาจากบ้านยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนี่นา ไปหาอะไรประทังชีวิตหน่อยก็แล้วกัน ครืดๆ ฉันเดินลากรองเท้าแตะไปเรื่อยๆ โดยมีจุดหมายคือร้านค้าด้านหลังหอพัก แต่ด้วยความไม่ชำนาญเส้นทางและไม่เห็นว่าจะมีทางไหนทะลุไปด้านหลังได้เลย จึงจำต้องเดินเลาะป่าช้าจีนไปเท่านั้น หากว่าความหิวไม่เข้ามาระรานกระเพาะล่ะก็ ให้ตายฉันก็ไม่เดินมาหรอก รบกวนดวงวิญญาณเปล่าๆ เผลอๆ จะคิดว่าฉันเป็นพวกเดียวกันแล้วลากไปอยู่ด้วย แค่คิดก็หลอนแล้ว ว่าแต่...ร้านค้ามันอยู่ตรงไหนล่ะเนี่ย? ฉันเดินวนในป่าช้านั้นอยู่นานจนเริ่มรู้สึกตัวว่า...หลงทางซะแล้ว เพราะยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่ ทางก็ยิ่งรกขึ้น แถมฮวงซุ้ย (หลุมศพคนจีน) ก็มากขึ้นเรื่อยๆ ฉันจึงตัดสินใจเดินย้อนกลับมาทางเดิม แต่ทันทีที่หันกลับมาก็ต้องหนักใจเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เนื่องจาก เอ่อ...จำทางกลับไม่ได้ = =;; ด้วยความเหนื่อยผสมกับความหิวทำให้ฉันทรุดนั่งลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง ซวยจริงๆ เลยให้ตาย เมื่อเช้าก็เกือบจะโดนแม่หาสามีให้ ตกกลางคืนยังมาหลงป่า (ช้า) อีก สวรรค์โปรดส่งใครก็ได้มานำทางลูกกลับออกไปที เพลียจะตายอยู่แล้ว! สิ้นคำอธิษฐานต่อเง็กเซียนฮ่องเต้ในใจก็มีดวงไฟสีส้มสว่างวาบไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่ฉันอยู่มากนัก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าย่ำใบไม้แห้งพร้อมกับเสียงพูดคุยกัน โฮกกก รอดตายแล้ว! “ทำไมเตี่ยต้องให้เราสองคนเข้ามาเอาของที่โรงเจเก่าด้วยก็ไม่รู้ น่ากลัวจะตายชัก” “เงียบๆ น่า เดี๋ยววิญญาณบรรพบุรุษก็ตกใจตื่นมาบีบคอแกหรอก รีบๆ เดินแล้วรีบๆ ออกไป เฮียก็ไม่อยากอยู่ในนี้นานเท่าไหร่หรอก” เสียงพูดคุยนั่นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พร้อมกับดวงไฟสีส้มที่คาดว่าคงจะเป็นไฟฉายวาดไปวาดมา ริมฝีปากฉันอ้าออกโดยอัตโนมัติเพื่อเรียกให้คนช่วย แต่น้ำเสียงที่ลอดออกมามันช่างแผ่วเบาเหลือเกิน สงสัยเป็นเพราะหิวข้าวแน่ๆ “ช่วย...ช่วยด้วย...ช่วยฉันด้วย....” สวบๆ กึก! จู่ๆ เสียงฝีเท้าก็เงียบหายไปกลายเป็นเสียงกระซิบของผู้ชายดังขึ้นมาแทน “ฮะ...เฮีย มะ...เมื่อกี้ได้...ยะ...ยินอะไรมั้ย....” “ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย หูฝาดแล้ว” “ตะ...แต่ผมได้ยิน...จะ...จริงๆ นะ” “ช่างหัวแกเถอะ รีบๆ เดินตามมาเร็วๆ เข้า” พลันร่างของทั้งคู่ก็เปลี่ยนทิศทางไปทางอื่นแทน สงสัยเสียงฉันคงจะไม่ดังพอสินะ อีกคนเลยไม่ได้ยิน ดีล่ะ งั้นคงต้องพูดให้ดังกว่านี้หน่อยแล้ว “ช่วย...ด้วย...ช่วยฉันด้วย....” “เฮีย...ผมได้ยินอีกแล้ว...เสียงนั้น....” “แกเลิกเกาะหลังเฮียเป็นลิงก่อนได้มั้ย รำคาญจะแย่ แล้วก็อย่าเรียกอีก เฮียไม่เห็นจะได้ยินอะไรเลย” “แต่ผมได้ยินนะ...” “หุบปาก!” เสียงคุยกันของคนที่สวรรค์ส่งมาเงียบไปอีกครั้ง ก่อนเสียงฝีเท้าจะหันเหทิศไปทางอื่น ทำไมถึงไม่ได้ยินฉันนะ หรือยังพูดไม่ดังพอ เอ๊ะ! หรือจะหูตึง อย่างนี้ต้องให้ได้สัมผัสทั้งรูป รส กลิ่น เสียงแล้วสินะ =..= ฉันรวบรวมแรงที่ยังพอเหลืออยู่ดันตัวลุกขึ้นแล้วส่งเสียงเรียกสองคนที่กำลังจะเดินจากไปพลางกวักมือหย็อยๆ ช่วยอีกแรง “อย่าเพิ่งไป...พาฉันไปด้วย...” สวบๆ กึก! ชายสองคนนั้นชะงักฝีเท้าลงอีกครั้ง ก่อนจะคุยกันเองโดยไม่สนใจฉันที่ยืนอยู่ข้างหลังเลยสักนิด “เมื่อกี้แกได้พูดอะไรหรือเปล่า” “มะ...ไม่ได้พูดอะไรเลยนะเฮีย ฮือๆ ผมไม่ได้พูด...YOY” “ละ...แล้ว เอ่อ...เมื่อกี้เสียงใคร....” สองคนนั้นยืนมองหน้ากันไปมาอย่างเค้นหาคำตอบ ฮึ่ย~ ชักจะโมโหขึ้นมานิดๆ แล้วนะ ทำไมถึงไม่ให้ความสนใจฉันบ้างเลย พวกบ้า! “ผะ...ผมว่า เรารีบออกไปจากที่นี่กันเหอะ” “อืม... ฮะ...เฮียเห็นด้วย” สิ้นข้อเสนอของผู้ชายที่ได้ยินเสียงฉัน ทั้งคู่ก็ตั้งท่าเตรียมจะวิ่ง แต่ฉันไม่ปล่อยให้พวกนายทิ้งฉันไปหรอกย่ะ ฉันรวบรวมแรงที่มีเหลือทั้งหมดวิ่งไปกระโดดเกาะหลังคนที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วเกี่ยวขาเข้ากับเอวเขาแน่นทันที เจ้าของแผ่นหลังกว้างสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะตามมาด้วยคนข้างๆ ที่อ้าปากค้างแล้วชี้นิ้วอันสั่นเทามายังฉัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD