บ่ายวันหยุดในคาเฟ่เล็ก ๆ ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกาแฟและขนมอบสดใหม่ มีเสียงเพลงคลอเบา ๆ สร้างบรรยากาศชวนผ่อนคลาย ทว่าในมุมหนึ่งริมกระจกกลับมีหญิงสาวที่ดูไม่ค่อยเข้ากับความสบายรอบตัวสักเท่าไหร่
อริลนั่งเท้าคาง มองแก้วกาแฟตรงหน้าที่แทบไม่พร่องลงเลยสักนิด ดวงตาเหม่อลอยราวกับมีเรื่องให้คิดไม่หยุด ข้าง ๆ กันคือคิมพี่สาวคนสนิทที่นั่งมองเธอด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“มีอะไรหรือเปล่า?? พี่เห็นริลนั่งถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว หืม??” คิมแกล้งเอ่ยแซวน้ำเสียงนุ่มแต่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“ก็ริลไม่อยากไปฝึกงานที่บริษัทนี่นา” อริลเบะปากพลางทำแก้มพองเหมือนเด็กน้อยถูกขัดใจ
“อ้าว!! ทำไมล่ะ อาไรอัลกับอาใบชาก็ไม่ได้บังคับสักหน่อยนะ” คิมหัวเราะเบา ๆ ก่อนเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างสบายตา อริลหันมาตาปริบ ๆ หน้าบูดเล็กน้อย
“พ่อกับแม่ไม่บังคับ แต่ถ้าไปที่บริษัทนะ ริลต้องโดนรัลแกล้ง ใช้งานเหมือนทาสแน่ ๆ เลย”
“โธ่… ริลคนเก่งของพี่ แค่นี้ก็ท้อแล้วเหรอจ๊ะ” คิมหัวเราะอีกครั้งกับท่าทางจริงจังแบบเด็ก ๆ ของน้อง ก่อนเอื้อมมือมาลูบเส้นผมนุ่มของอริลด้วยความเอ็นดู
“ก็รัลอ่ะ ทั้งขี้แกล้งทั้งขี้บ่น จู้จี้ที่สุดเลย คิดแค่ว่าต้องเจอทุกวันก็เหนื่อยแล้ว…” อริลเม้มปากแน่น เอียงคอพิงโต๊ะอย่างหมดแรง
“งั้น… ถ้าไม่อยากฝึกที่บริษัท ลองไปที่อื่นไหมล่ะ??” คิมยิ้มบาง ๆ แววตาฉายความเอ็นดู ก่อนนิ้วเรียวเคาะเบา ๆ บนแก้วกาแฟเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้
“ที่ไหนเหรอคะ??” อริลเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตากลมโตเป็นประกายอย่างมีความหวัง คิมยิ้มเจ้าเล่ห์นิด ๆ
“บริษัทคนรู้จักของพี่เอง ที่นั่นบรรยากาศดีมากนะ แล้วก็…” คิมเว้นจังหวะอย่างตั้งใจ ทำให้อริลหันมามองอย่างสงสัย
“แล้วก็อะไรคะ??”
“แล้วก็… มีหนุ่มหล่อ ๆ ด้วยนะ” คิมยกมุมปากยิ้ม
“หนุ่มหล่อ?? โธ่... พี่คิม ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องหนุ่มหล่อเลยสักนิด” คิมหัวเราะกับท่าทางสุดเซ็งอย่างที่สุดของอริล พลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบก่อนตอบกลับอย่างไม่รีบร้อน
“อย่าคิดมากเลย ถ้าไม่อยากใกล้รัลก็ไปฝึกที่บริษัทคนรู้จักพี่หรือไม่บริษัทพี่ก็ได้นะ เฮียครูซไม่ว่าอะไรหรอก”
“งั้นก็ไปบริษัทคนรู้จักพี่ ตัดปัญหา” คิมยกยิ้มบาง ๆ สายตาเจ้าเล่ห์แอบวาววับ
“แล้วคนรู้จักพี่นี่ใครคะ?” อริลขมวดคิ้ว สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย คิมส่ายหน้าช้า ๆ
“ไม่บอก”
“เจ๊คิม!! แบบนี้มันแกล้งกันชัด ๆ เลยนะ” อริลตีแขนเบา ๆ พลางทำหน้าบูดจนแก้มนิ่ม ๆ พองออกมาอย่างน่าหมั่นไส้ คิมหัวเราะเสียงใส ก่อนยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า พี่รู้ว่าที่นั่นเหมาะกับริลแน่ ๆ เดี๋ยวพี่โทรไปบอกให้เอง” อริลยังคงทำหน้าตาไม่มั่นใจนัก แต่ก็ยอมพยักหน้าเบา ๆ
“ก็ได้ค่ะ” คิมเอื้อมมือมาลูบผมเธออีกครั้งพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น
“เชื่อพี่สิ ริลจะได้เจออะไรดี ๆ กว่าที่คิดแน่นอน” และอริลก็ไม่รู้เลยว่า อะไรดี ๆ ที่คิมพูดถึง คือการได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่จะเข้ามาเปลี่ยนทั้งการฝึกงานและหัวใจของเธอไปตลอดกาล
แสงแดดยามเช้าสาดทออบอุ่นไปทั่ว บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างตึกเรียน อริลนั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อน สมุดโน้ตถูกเปิดค้างอยู่บนโต๊ะ แต่เธอกลับไม่ได้มองมัน ดวงตาเหม่อลอยทอดยาวไปไกลราวกับกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
“ไอ้ริล แกเป็นอะไรเนี่ย” เสียงของทรายเพื่อนสนิทดังขึ้นพร้อมกับร่างที่ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ก่อนวางแก้วชานมไข่มุกลงบนโต๊ะหิน
“หน้าตาเหมือนกำลังแบกโลกทั้งใบเลยนะ”
“ก็เรื่องฝึกงานน่ะสิ ตอนแรกว่าจะไปที่บริษัทบ้าน แต่พอคิดดูแล้ว… คงกลายเป็นทาสของรัลแน่ ๆ” อริลถอนหายใจยาวก่อนยกยิ้มบาง ๆ
“รัล?? พี่ชายฝาแฝดตัวแสบที่ชอบแกล้งแกนะเหรอ??” ทรายเลิกคิ้วถาม
“ใช่นะสิ!! ถ้าไปอยู่ที่เดียวกันนะ ไม่ต้องพักหรอก โดนใช้งานทั้งวันแน่นอน”
“อันนี้จริง!! แต่ถ้าไม่ไปบริษัทบ้าน แล้วแกจะไปที่ไหนล่ะ??” ทรายหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจทันที
“เจ๊คิมแนะนำบริษัทคนรู้จักให้ บอกว่าบรรยากาศดีมาก แล้วก็…” อริลหยุดไปเล็กน้อย พลันนึกถึงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบเดียวกับของคิมเมื่อวานนี้
“แล้วก็อะไร!? อย่าบอกนะว่ามีหนุ่มหล่อ” ทรายรีบเอียงตัวเข้ามา ดวงตาเป็นประกายฉายแววเจ้าเล่ห์
“บ้า!! เจ๊คิมก็พูดเล่นไปงั้นแหละมั้ง จะเชื่อได้หรือเปล่าก็ไม่รู้” อริลทำตาโตรีบโบกมือปฏิเสธไปมาด้วยความเร็ว
“แต่ฟังจากน้ำเสียงแกนี่ ดูมีพิรุธชัด ๆ เลยนะ” ทรายหรี่ตามองอริลด้วยสายตาจ้องจับผิด
“ไม่มี๊!! แต่ถ้าแกอยากรู้จริง ๆ ว่ามีหนุ่มหล่อหรือเปล่า งั้นไปฝึกงานด้วยกันไหมล่ะ??” อริลหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับทรายที่นั่งดูดชานมไข่มุกด้วยความเอร็ดอร่อย
“จริงดิ?? โอ๊ย!! ยิ่งถ้ามีหนุ่มหล่อก็น่าสนใจใหญ่เลยสิ” ทรายตาโตด้วยท่าทางตื่นเต้นก่อนจะทำท่าลังเลเล็กน้อยแต่แล้วก็ยิ้มกว้าง
“งั้นไปด้วยกันสิ ริลจะได้บอกเจ๊คิมเลยว่าไปสองคน”
“เออ!! ไปด้วยก็ได้ อย่างน้อยแกจะได้ไม่เหงา”
“เยี่ยม!! มีเพื่อนไปแบบนี้ดีสุด ๆ ไปเลย” รอยยิ้มโล่งอกผุดขึ้นบนหน้าอริลทันที อย่างน้อยการฝึกงานที่มีทรายไปด้วยก็คงไม่เหงา
ภายในห้องทำงานกว้างร่างสูงของเอ็นเจทิ้งตัวลงบนโซฟาหนังพลางยกมือคลายเนกไทเล็กน้อย สายตาคมที่เมื่อครู่ยังจริงจังอยู่กับกองเอกสาร บัดนี้ผ่อนคลายลงมาก
“วันนี้เหมือนงานจะยาวไปหน่อยนะ โคตรเหนื่อย” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขณะหยิบแก้วน้ำเย็นจิบเบา ๆ ไม่นานนักประตูถูกผลักเข้ามาอย่างไม่รีบร้อนคริสลูกน้องคนสนิทที่ทำงานด้วยกันเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสารในมือ แต่แทนที่จะยื่นงาน เขากลับทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างสบายใจเฉิบ
“ก็ใครล่ะครับ ที่ประชุมยาวไม่ยอมปล่อยซักที” คริสยักคิ้วกวน ๆ ก่อนหัวเราะเบา ๆ “หมอเอ็นเจคนงานเยอะ” เอ็นเจหัวเราะในลำคอ เสียงทุ้มนั้นฟังอบอุ่น
“อย่ามาโทษกูเลย งานก็คืองาน ทำให้จบ ๆ ไปดีกว่าปล่อยค้างแล้วค่อยมาสะสาง”
“ก็จริง แต่คืนนี้ผมว่าพักบ้างก็ดีไปผับด้วยกันไหมครับ??” คริสยื่นข้อเสนอแบบไม่อ้อมค้อม ดวงตาวาววับเหมือนกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง
“ผับเหรอ??” เอ็นเจเลิกคิ้ว ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ๆ “ผับมันมีอะไรดีนักหนามึงถึงชอบไปนัก”
“มีเหล้ากิน มีสาวสวย มีดนตรีฟัง มีตรงไหนไม่ดี” คริสยักคิ้วหยอก
“ไอ้ที่มึงพูดนั่นแหละไม่ดี”
“เห้อ... ไร้สาระ!!” คริสหัวเราะพรืดอย่างหมั่นไส้
“ครับ ๆ ไร้สาระก็ได้”
“แล้วตกลงจะให้กูไปใช่ไหม” เอ็นเจเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีกครั้ง
“ก็ใช่น่ะสิ” คริสยิ้มเจ้าเล่ห์ เอ็นเจถอนหายใจเบา ๆ ก่อนตอบเสียงเรียบ
“อื้ม… ไปก็ได้”