โถงหน้าล็อบบี้ของโรงพยาบาลเอกชนหรู ร่างสูงอาร์เจในชุดกาวน์สีขาว ท่าทางสง่าและสุขุมแต่แผ่วรังสีเย็นชาจนใครต่อใครไม่กล้าเข้าใกล้ มีเพียงคิมเท่านั้นที่เดินเคียงข้างด้วยใบหน้ายิ้มสดใส มือเล็กเกาะแขนเขาแน่นไม่ยอมปล่อย
“พี่อาร์เจ เดี๋ยวเลิกงานแล้วไปกินข้าวด้วยกันนะคะ คิมอยากกินชาบู” เสียงหวานเอื้อนเอ่ยพร้อมแววตาออดอ้อน อาร์เจเหลือบตามองเธอสั้น ๆ ก่อนพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ คิมยิ้มกว้างทันที ความอบอุ่นเล็ก ๆ คล้ายจะโอบล้อมบรรยากาศไว้ แต่แล้วเสียงทุ้มคุ้นหูก็ดังแทรกจากด้านหลัง
“ไงไอ้คุณหมออาร์เจ” ทั้งอาร์เจและคิมหันไปตามเสียงเรียกก็เห็นเอ็นเจในชุดสูทเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ดูขี้เล่นจนผิดบรรยากาศ
“เอ็นเจ” อาร์เจเอ่ยชื่อเสียงเรียบ ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แต่แววตาคมเข้มฉายแววระแวดระวังเล็กน้อย
“สวัสดีค่ะพี่เอ็นเจ ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่คะ” คิมยิ้มทักพลางเอียงคออย่างสงสัย เพราะปกติเอ็นเจจะประจำอยู่ที่บริษัทส่วนอาร์เจประจำอยู่ที่โรงพยาบาล
“ลมงานหอบมาน่ะสิ” เอ็นเจหัวเราะเบา ๆ “น้องคิมสบายดีไหม??”
“สบายดีค่ะ พี่เอ็นเจละคะ”
“ก็ดี” เขาตอบสั้น ๆ
“แค่ก็ดีเองเหรอคะ??” คิมหรี่ตามองเอ็นเจ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาแฝงแววจับผิด จนทำให้เอ็นเจเลิกคิ้วขึ้นมอง
“ทำไมมองพี่แบบนั้น หมายความว่ายังไง??”
“กาแฟกับครัวซองต์ตอนเช้า…” คิมย่นจมูกใส่ แววตากึ่งเล่นกึ่งจริง
“อ๋อ…” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับมาทันที “ก็แค่น้ำใจนะน้องคิม อย่าคิดมากสิ”
“เหรอคะ?? แน่ใจนะว่าแค่น้ำใจไม่ใช่ใส่ใจ” คิมเอียงคอยังคงไม่เชื่อเต็มร้อย ส่วนอาร์เจยืนฟังเงียบ ๆ ใบหน้านิ่งเฉย แต่สายตาคมกริบกลับกวาดมองน้องชายราวกับกำลังประเมิน บรรยากาศรอบตัวเหมือนเย็นยะเยือกขึ้นจนเอ็นเจเองยังรู้สึก
“ทำหน้าแบบนี้หมายความว่าไงเนี่ย จะสอบสวนกันหรือไงครับ” เขายกมือขึ้นเล็กน้อยอย่างยอมแพ้
“จะสอบสวนกันหรือไงครับ” เอ็นเจยกมือเล็กน้อย แสร้งทำหน้าละอา แต่แววตากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็แค่สงสัยค่ะ ว่าพี่เอ็นเจนี่… มีน้ำใจกับทุกคน หรือมีใครบางคนเป็นพิเศษ” คิมยังไม่วางใจนัก
“แหม…” เอ็นเจหัวเราะเบา ๆ ก่อนปรายตามองพี่ชาย “…ถ้าเด็กมันตั้งใจเอาของมาให้ทุกวัน พี่จะใจร้ายไม่ตอบแทนบ้างก็ดูจะโหดเกินไปหน่อย จริงไหมอาร์เจ”
คำพูดนั้นโยนตรงไปที่อาร์เจทันที บรรยากาศพลันเงียบลงราวกับเวลาหยุดเดิน อาร์เจเหลือบตาคมกริบมองน้องชาย สีหน้าเรียบสงบไร้รอยยิ้ม แต่กลับทำให้เอ็นเจรู้สึกเหมือนถูกกดดันโดยไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ
“ปากแข็ง” เสียงทุ้มต่ำของอาร์เจดังขึ้นช้า ๆ แต่หนักแน่นพอจะทำให้คนฟังรู้สึกสะดุ้ง เงียบกริบไปทั้งโถง
“หึ… ก็ว่าไปนั่น นายเนี่ยนะ รู้จักคำว่าปากแข็งด้วยเหรอ” เอ็นเจเลิกคิ้ว มุมปากยกยิ้มเหมือนถูกท้าทาย
สายตาคมกริบของอาร์เจวาบขึ้นมองน้องชายชั่ววินาทีเดียว แต่แค่แวบนั้นก็เหมือนพลังงานรอบตัวกดทับจนคิมเผลอกอดแขนเขาแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“สองคนนี้…” คิมพึมพำเบา ๆ พยายามยิ้มกลบเกลื่อน “คุยกันเหมือนจะเล่น ๆ แต่ทำไมบรรยากาศมันเหมือนจะมีคนตายขึ้นมาซะงั้นละคะ”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกน้องคิม แค่แซวกันนิดหน่อยอาร์เจเขาไม่ค่อยพูดก็เลยเข้าใจผิดกันง่าย” เอ็นเจหัวเราะเบา ๆ พลางยกมือขึ้นเหมือนจะบอกว่าไม่คิดจริงจัง
“พี่เอ็นเจงานด่วนไหมคะ” คิมยิ้มบาง ๆ พยายามผ่อนคลายบรรยากาศ เธอเอียงหน้าเล็กน้อย มองทั้งอาร์เจและเอ็นเจสลับกัน
“ไม่เท่าไหร่ ทำไมเหรอ??” เอ็นเจเลิกคิ้วตอบเสียงเนิบ ๆ แฝงรอยขำ
“ไปกินชาบูกันด้วยกันนะคะ ไปกันหลายคนสนุกดี” คิมพูดอย่างร่าเริง มือเล็กกอดแขนอาร์เจแน่นขึ้นเหมือนเน้นให้รู้ว่าเธออยากชวนจริง ๆ
เอ็นเจหัวเราะเบา ๆ “แต่…” เขาหันมองแวบหนึ่ง สายตาเจ้าเล่ห์คล้ายจงใจเลื่อนผ่านพี่ชายตรงหน้า
“ไปเถอะค่ะ” คิมยืนยันทันควัน ดวงตาใสวาววับเหมือนจะไม่ยอมให้ปฏิเสธ เอ็นเจชะงักไปครู่หนึ่งก่อนคลี่ยิ้มกว้าง
“ก็ได้สิ… จะปฏิเสธรอยยิ้มแบบนี้ก็คงใจร้ายเกินไปหน่อย”
อาร์เจเหลือบตามองเพียงสั้น ๆ ไม่เอ่ยคำใด แต่การที่เขาไม่ได้ค้านก็เหมือนเป็นการยอมรับโดยปริยาย บรรยากาศระหว่างสามคนกลับมาคลี่คลายลงเพียงเล็กน้อย ทว่าเงาเย็นยะเยือกที่ซ่อนอยู่ยังคงทำให้รอบ ๆ ดูกดดันแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก
ภายในรถคันหรูอาร์เจทำหน้าที่คนขับด้วยท่าทางสุขุม มือเรียวยาวประคองพวงมาลัยมั่นคง ดวงตาคมนิ่งไม่ละไปจากถนน เสียงเครื่องยนต์อันเงียบเรียบแทบจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ดังในบรรยากาศ คิมนั่งเบาะข้างคนขับ มือเล็กถือโทรศัพท์แนบไว้บนตัก เธอเพิ่งกดส่งข้อความหาอริลเรียบร้อย
Kim : ริลมากินชาบู เจอกันที่ห้าง
Aril : เจ๊ไปกับใคร
Kim : มากับพี่อาร์เจ
Aril : ไม่ไปได้ไหม ไม่อยากเป็นก้าง
Kim : ไม่ได้ ยังไงก็ต้องมา เร็ว ๆ ด้วยนะไม่งั้นงอน ไม่พูดด้วย
Aril : ก็ได้ค่ะ จะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย
ริมฝีปากของคิมยกยิ้มด้วยความชอบใจที่แผนขั้นแรกของตัวเองสำเร็จไปด้วยดี แต่แล้วก็รีบหุบลงทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาคมของอาร์เจที่เหลือบมามอง
“ยิ้มอะไร??” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเรียบ ๆ ไม่ได้ดังมาก แต่ทำให้คิมสะดุ้งจนรีบซ่อนโทรศัพท์ไว้ในมือ
“เอ่อ… เปล่าค่ะ คิมแค่… นึกถึงชาบู มันน่ากินเลยเผลอยิ้มออกมา” เธอรีบแก้ตัวเสียงใส
อาร์เจไม่พูดอะไรต่อ แค่ปรายตามองเธอสั้น ๆ ก่อนหันกลับไปจ้องถนนเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ปลายนิ้วเรียวที่จับพวงมาลัยกลับกดแน่นขึ้นเล็กน้อย
บรรยากาศเงียบลงอีกครั้ง คิมแอบถอนหายใจเบา ๆ พลางเบือนสายตาออกไปนอกหน้าต่าง มองบรรยากาศเมืองยามเย็น
ห้างสรรพสินค้าที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ร่างสูงของอาร์เจในชุดกาวน์ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงสแลคเรียบหรู ดูเรียบง่ายแต่ยังคงสง่าและดึงสายตาไม่ต่างจากเวลาสวมกาวน์ คิมเดินเคียงข้างเขามือเล็กยังคงเกาะแขนพี่หมอไว้แน่นราวกับกลัวใครบางคนจะหลุดหาย
“พี่อาร์เจ… วันนี้คนน่าจะเยอะเลยนะคะ” คิมเอ่ยพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ น้ำเสียงสดใสเหมือนจะพยายามกลบเกลื่อนความตื่นเต้นในใจ
“…” อาร์เจเพียงพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรแต่สายตาคมกริบกวาดไปทั่วอย่างระวังเช่นเคย ไม่นานนักเอ็นเจในชุดสูทที่ต่างจากบรรยากาศห้างก็เดินเข้ามา เขาสอดมือข้างหนึ่งไว้ในกระเป๋ากางเกง อีกข้างถือโทรศัพท์ เหลือบสายตามองคู่รักตรงหน้าแล้วแสยะยิ้มบาง ๆ
“ชาบูพร้อมกันทั้งที สนุกแน่” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์กึ่งล้อกึ่งจริงทำให้คิมชะงักไปนิด ก่อนรีบยิ้มกลบเกลื่อน
“ดีเลยค่ะ ไปกันหลายคนอบอุ่นดี”
พวกเขาถูกพนักงานพาไปยังโต๊ะที่คิมจองไว้ติดริมกระจก อาร์เจเลือกนั่งฝั่งในสุดอย่างเคย ส่วนคิมนั่งข้างเขาโดยไม่ยอมปล่อยแขน เอ็นเจเลือกนั่งฝั่งตรงข้าม มุมปากยังคงยกยิ้มขี้เล่น บรรยากาศเหมือนกำลังจะคลายตัว แต่เสียงฝีเท้าที่เดินตรงเข้ามากลับทำให้คิมสะดุ้งอีกครั้ง