บทที่ 7 น้ำที่สาดทิ้ง

2449 Words
ช่วงนี้หทัยชนิตต้องรีบตื่นแต่เช้า เพื่อมาจัดการเตรียมอาหารเช้าให้แขก เพราะหยุนหายไป เธอจึงต้องทำทุกอย่างเอง ศดิศา ที่มาพักอยู่ด้วยก็ช่วยหยิบช่วยจับได้ประมาณหนึ่ง แต่เธอก็เกรงใจเพื่อน เพราะจะว่าไปศดิศาก็เป็นแขกคนหนึ่งของเธอ “ศดิ ไปนั่งที่ล็อบบีเถอะ เดี๋ยวเราทำเอง เกรงใจว่ะ” หทัยชนิต บอกกับเพื่อนที่กำลังช่วยเช็ดทำความสะอาดเตา “ไม่เป็นไรหรอกน่า ช่วยกันทำก็เสร็จไว จะได้ออกไปนั่งกินข้าวพร้อมกันไง ขาดคนงานนี่แกก็เหนื่อยอยู่นะ ยังดีที่มีแขกพักไม่กี่คน” ศดิศาตั้งหน้าตั้งตาเช็ดเตาจนสะอาดเอี่ยม “พูดถึงเรื่องคนงาน ฉันยังอยากจะกรี๊ดที่เมื่อวานเราไปแจ้งความเรื่องหยุน” หญิงสาวถอนหายใจแรง “นี่มันบ้าชัดๆ แกว่าไหม” เมื่อล้างจานชามเสร็จ เธอสลัดมือแรงๆ หลายทีระบายอารมณ์ “ถึงว่าสิ... ฉันนี่เหวอเลย พอตำรวจตามไปถึงตัวผู้ชายที่ฉุดหยุน แล้วโทร.กลับมาบอกว่าเขาตกลงกับพ่อแม่หยุนได้แล้ว เรื่องเลยจบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ศดิศาเบ้ปาก “เรานี่หมาหัวเน่าเลย” หทัยชนิตเสยผมยาวที่ปรกหน้า พยายามเตือนตัวเองให้หลุดออกจากอารมณ์ขุ่นมัวโดยเร็ว “นิตเอ๊ย...” เสียงอุ๊ยคำแก้วร้องเรียกมาจากล็อบบีที่อยู่ติดกันกับครัว “ออกมานี่หน่อยลูก” “ค่ะอุ๊ย” เธอหันไปมองทางเคาน์เตอร์แล้วรีบเดินออกไป ศดิศาก็เดินตามกันออกมาด้วย ภาพที่หญิงสาวเห็นทำให้เธอต้องย่นหัวคิ้ว เด็กสาวชนเผ่าที่พวกเธอเพิ่งจะพูดถึง กำลังนั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าอุ๊ยคำแก้วซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น “หยุน” เธอเรียกเด็กสาวที่นั่งหันหลังอยู่ เมื่ออีกฝ่ายหันมาหา หญิงสาวจึงได้เห็นภาพอันน่าตกใจ “เอ๊ะ!” ใบหน้าของหยุนฟ้องชัดว่าเธอถูกทำร้ายทุบตีมาอย่างหนัก ตาซ้ายเขียวช้ำและบวมปิดลงมาจนไม่น่าจะมองอะไรเห็น ริมฝีปากแตกบวมเจ่อ คราบเลือดยังปรากฏให้เห็น และเมื่อมองลงไปตามเนื้อตัวก็เห็นรอยฟกช้ำดำเขียวไปทั่ว ไม่ต้องสงสัยว่าเนื้อตัวข้างในร่มผ้าจะมีร่องรอยถูกทำร้ายหนักหนาขนาดไหน เมื่อเห็นหน้าเจ้านายสาว หยุนปล่อยโฮ น้ำตาไหลลงมาเป็นทาง เธอลุกมากอดขาหทัยชนิต ส่งเสียงอ้อแอ้ฟังไม่เป็นภาษาเพราะเธอพูดไม่ได้ แต่ทำเอาหทัยชนิตน้ำตาซึม เพราะมันเหมือนเสียงร้องของสัตว์เจ็บที่วอนขอชีวิต เธอลงนั่งกอดเด็กสาวไว้ รู้สึกเลยว่าร่างผอมบอบบางนั้นร้อนผ่าวด้วยพิษไข้และกำลังสั่นเทา “หยุน เกิดอะไรขึ้น ทำไมเป็นอย่างนี้” หญิงสาวงุนงง เพราะเท่าที่ทราบจากตำรวจที่เธอไปแจ้งความเมื่อวาน คนที่ฉุดหยุนไปได้รับเธอเป็นภรรยาและพูดคุยตกลงกับพ่อแม่ของหยุนเรียบร้อยแล้ว หทัยชนิตยังคิดว่าหยุนคงจะมีครอบครัวไปแล้ว แต่สภาพของเด็กสาวที่เห็นในตอนนี้มันเลวร้ายเหลือเกิน “เด็กใช้ภาษามือได้ไหม” ศดิศานั่งลงข้างๆ เธอพูดเสียงอ่อนโยน และให้สติทั้งหทัยชนิตและหยุน “ได้... อุ๊ยช่วยแปลให้หน่อยค่ะ หยุนค่อยๆ เล่า ช้าๆ” หยุนใช้ภาษามือ คนที่คุ้นเคยภาษามือของหยุนดีกว่าใครก็คืออุ๊ยคำแก้ว เพราะเห็นมาตั้งแต่เล็กๆ หญิงชราขมวดคิ้ว ตั้งใจจับใจความจากเสียงอ้อแอ้และมือไม้สั่นเทาที่โบกปัดไปมา เพราะอารมณ์กระเจิดกระเจิงของเด็กสาว “หยุนบอกว่าถูกฉุดไปข่มขืน” หางเสียงของผู้เฒ่าแผ่วหายด้วยความเวทนา “โอ... ให้ตายสิ!” หทัยชนิตสบถออกมาด้วยความโกรธ แล้วน้ำตาร้อนผ่าวก็เอ่อคลอขึ้นมา เธอสงสารเด็กสาวจับใจ หยุนยังโบกไม้โบกมือเล่าต่อ คราวนี้ภาษากายของเธอแรงขึ้น “อ้าว” อุ๊ยคำแก้วย่นหัวคิ้ว “อะไรคะอุ๊ย” หทัยชนิตรีบซักด้วยความร้อนใจอยากรู้ “หยุนต้องไปเป็นเมียน้อย เพราะผู้ชายคนนั้นมีเมียอยู่แล้ว” อุ๊ยคำแก้วแปลภาษามือออกมาตามที่เด็กสาวเล่า “เธอถูกเมียหลวงกับคนในครอบครัวของผู้ชายคนนั้นข่มเหง ใช้งานหนัก ทุบตีเหมือนทาส ทนไม่ไหว ก็เลยหนีออกมา” หทัยชนิตพยายามข่มอารมณ์ตัวเองไม่ให้โมโหจนสติแตก “แล้วนี่หยุนไปบอกพ่อกับแม่หรือยังว่าไปอยู่บ้านเขาโดนทำทารุณแบบนี้” เธอถามเด็กสาวที่กำลังสะอื้น สองมือป้ายน้ำตาป้อยๆ แม้หูจะหนวก แต่หยุนอ่านปากเธอออก เด็กสาวหน้าแดงก่ำขึ้นมา ที่สะอื้นเปลี่ยนมาเป็นสองมือปิดหน้า ร้องไห้โฮ “อ้าว เป็นอะไร ทำไมร้องไห้หนักอย่างนี้ พ่อแม่รู้หรือยัง หยุน” เธอถามย้ำ แต่เด็กสาวกลับร้องไห้หนักขึ้นอีก เธอจึงได้แต่กอดร่างผอมบางนั้นไว้ หวังว่าอ้อมกอดของเพื่อนมนุษย์นี้ จะช่วยปลอบโยนจิตใจที่กำลังเตลิดกลัวได้บ้าง “หยุน บอกอุ๊ยซิ ว่าไปบอกพ่อกับแม่หรือยัง” เสียงของผู้เฒ่าเรียกสติของเด็กสาวกลับมา เธอเงยหน้านองน้ำตาขึ้นมอง แววตานั้นเจ็บปวด เมื่อเล่าเป็นภาษามือ “เฮ้อ...” อุ๊ยคำแก้วถอนหายใจหนักหน่วงเมื่อหยุนเล่าจบ หญิงชราหันมามองหน้าหทัยชนิต กะพริบตาปริบๆ อย่างหยั่งอารมณ์ “อุ๊ยคะ บอกนิตเถอะ” “นี่มันเจ็บปวดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เด็กบอกว่า มันหนีกลับไปบ้าน พ่อแม่ก็ไม่ยอมให้เข้าบ้าน บอกว่าถ้ารับเข้าบ้านก็จะผิดผี ทำให้ครอบครัววิบัติ ถ้าได้ผัวแล้วก็ต้องตัดขาดจากครอบครัวเดิม ต่อให้ป่วยหรือตายก็ต้องตายนอกบ้าน ธรรมเนียมของเขาลูกสาวก็เหมือนน้ำในขันที่สาดทิ้งออกไปแล้ว เอากลับคืนมาไม่ได้ นี่ยังดีที่น้องชายมันแอบเอายาแก้ไข้แก้อักเสบออกมาให้ กินหยูกยาแล้วมันก็มาที่นี่ละ ไม่รู้จะไปหาที่ซุกหัวนอนที่ไหน” หทัยชนิตฟังแล้วสะท้อนใจ เธอรู้สึกว่าไม่สามารถวางใจให้นิ่งเฉยได้ หญิงสาวลุกขึ้นเดินหนีออกมานั่งร้องไห้คนเดียวเงียบๆ บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกอย่างไหนมากกว่ากัน ระหว่างความโกรธกับความสงสาร ที่รู้คือมันพลุ่งขึ้นมาจนเกินจะรับเมื่อได้ฟังสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กใบ้ เมื่อสงบสติลงได้ระดับหนึ่ง เธอเดินกลับไปที่เดิม อุ๊ยกำลังนั่งมองศดิศาทายาให้ตรงแผ่นหลังของหยุนซึ่งเขียวช้ำ ดูก็รู้ว่าเป็นรอยกระทืบ “อุ๊ยคะ นิตจะไปคุยกับพ่อแม่ของหยุนค่ะ” เธอบอกกับหญิงชรา ซึ่งได้แต่มองกลับมานิ่งๆ แกไม่พูดอะไร เพราะรู้นิสัยหลานสาวดี “เฮ้ย จะดีเหรอวะ” ศดิศาเสียอีกที่พูดเหมือนจะค้าน “ฉันทนไม่ได้ว่ะ ที่พวกเขาไล่ออกมาจากบ้านน่ะ มันไม่ใช่สาดน้ำทิ้งนะเว้ย นี่มันชีวิตคนทั้งคน คนที่เป็นเลือดเนื้อ เป็นลูกสาวของพวกเขา คนที่กำลังบาดเจ็บ ต้องได้รับการเยียวยาทั้งกายทั้งใจ แกเข้าใจไหมว่ามันไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับลูกสาวเข้าบ้าน พวกเขาเชื่อเรื่องผิดผีจนยอมทิ้งลูกในไส้ให้ตายต่อหน้าได้ลงคอเชียวหรือวะ บ้านช่องก็ไม่ให้เข้าไปพักรักษาตัว เด็กมันจะไปหาที่ซุกหัวนอนที่ไหน หรือจะให้ตายข้างถนน แล้วนี่ถึงตายแล้วก็ยังไม่ให้เอาศพเข้าบ้านอีก หัวใจทำด้วยอะไร” เสียงของเธอดังขึ้นตามอารมณ์เดือดพล่านเมื่อเห็นสภาพของหยุน “ฉันจะไปเอากระเป๋าก่อน ถ้าแกไม่ไป ฉันก็จะไปกับหยุนคนเดียว” หญิงสาวจะก้าวเดิน แต่กลับเป็นหยุนที่มาเกาะขาไว้แน่น เด็กสาวส่ายหน้าแรงๆ ส่งเสียงเหมือนจะร้องห้ามว่าไม่อยากให้เธอไป “ทำไมวะ หยุน เธอไม่อยากกลับบ้านเหรอ” หยุนยังคงส่ายหน้าไปมา และมองมาที่อุ๊ยคำแก้ว เหมือนอยากจะให้ผู้เฒ่าช่วยห้าม “นิต อย่าไปเลยลูก มันไม่มีประโยชน์หรอก มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เขาทำกันมานานแล้ว ที่เราทำได้ก็แค่ช่วยเด็กมันไว้” “จริงนิต แกไปร้องแรกแหกกระเชอเขาก็ไม่ฟังแกหรอก แกไม่ได้อยู่ในสังคมของเขาด้วยซ้ำไป ช่วยเด็กให้มันช่วยตัวเองได้ โดยไม่ต้องกลับไปพึ่งใคร ยังจะดีเสียกว่า” คำพูดของอุ๊ยคำแก้วและเพื่อนทำให้หทัยชนิตได้คิด จริงสิ... ถึงเธอจะเปลี่ยนอะไรไม่ได้ แต่เธอช่วยให้เด็กสาวอาภัพผู้นี้ยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง หญิงสาวพยักหน้าเหมือนคนตัดสินใจแล้ว “ได้... ต่อไปนี้หยุนก็ทำงาน กินนอนกับฉันที่นี่ พักที่เรือนคนงานด้านหลังได้ ปัดกวาดเสียหน่อยก็น่าอยู่หรอก หยุนจะมีเงินเดือนเลี้ยงตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาใคร แต่ยืนหยัดด้วยตัวเอง” เธอเห็นอุ๊ยคำแก้วกับศดิศาสบตากันแล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อุ๊ยคงไม่อยากให้เธอสร้างศัตรู เธอรู้ดีว่าอุ๊ยเป็นห่วง การมีศัตรูไม่ใช่เรื่องฉลาด โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลอย่างนี้ สารวัตรกันตภณยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดมาจากระเบียงห้องชั้นสอง เขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าและจะออกไปทำงาน เสียงของหทัยชนิตดังพอจะเรียกให้เดินออกมาดูว่าใครมีเรื่องทะเลาะกัน แล้วเขาก็เห็นสภาพของหยุน เห็นปฏิกิริยาของหทัยชนิตเมื่อรู้เรื่องทั้งหมด เธอเป็นคนใจร้อนและทนอะไรแบบนี้ไม่ได้ ความจริงก็นิสัยคล้ายเขา เพียงแต่เธอไม่เดินหนี แต่วิ่งเข้าใส่ เขารู้สึกชื่นชม ในขณะเดียวกันก็ต้องส่ายหัวให้กับความเลือดเดือดของเธอด้วย ถ้าเป็นน้องนุ่งคงตีตายเลย เธอรักความยุติธรรม แต่ลืมไปว่าความยุติธรรมไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ เพียงแค่ทวงถาม ต่อให้เธอเดินทางไปพูดจากับพ่อแม่ของหยุนก็ไม่ทำให้อะไรเปลี่ยน เผลอๆ เธออาจจะโดนพวกชนเผ่ารุมเอาด้วย หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ แต่นายตำรวจก็คิดไว้แล้วละว่า ถ้าเธอไปจริงๆ เขาก็จะลงไปห้าม มันอันตรายไม่ใช่เล่น แต่หทัยชนิตเป็นพวกหมูไม่กลัวน้ำร้อน เธอเป็นคนจริง พูดแล้วทำ เมื่อวานเขาก็รู้มาจากร้อยเวรว่าเธอไปแจ้งความเรื่องหยุนถูกฉุดตามที่เคยบอกเขาไว้ เธอพูดและทำทุกอย่าง จนตำรวจยอมไปหาตัวผู้ชายคนนั้น แต่เมื่อผลออกมา มันก็เป็นอย่างที่รู้กันอยู่ ทุกฝ่ายตกลงกันได้ เหมือนไม่เคยเกิดเรื่องร้ายขึ้น เพราะมันเป็นมาอย่างนั้น และจะเป็นต่อไป “อีหยุน!” เสียงตวาดของหญิงชราดังมาจากประตูด้านหน้า นายตำรวจมองไป เห็นหญิงชราชนเผ่าที่ชื่อนางเซิงยืนเท้าเอวมองเข้ามาที่หยุน ท่าทางนางคงจะมายืนอยู่ตรงนั้นได้สักพักหนึ่งแล้ว ชายหนุ่มรีบเดินลงบันไดมา คิดว่าเขาควรจะไประงับศึก เขาลงมาทันเห็นนางเซิงปรี่เข้าหาเด็กสาวซึ่งนั่งที่พื้น แต่เพราะหทัยชนิตเข้ามายืนขวางอย่างรวดเร็ว ศดิศาก็ขยับตัว สีหน้าบึ้งตึงคล้ายจะบอกว่าเธอก็พร้อมลุย นางจึงล่าถอยออกไปตั้งหลัก แต่ปากนั้นไม่ยอมถอยง่ายๆ “อีคนไม่รักดี เอาเรื่องผัวเรื่องภายในครอบครัวมาประจานให้คนนอกฟังเหรอ นังคนชั่ว” นางเซิงชี้หน้าด่าหยุน ซึ่งตอนนี้ลุกหนีไปแอบอยู่หลังอุ๊ยคำแก้วด้วยความหวาดกลัว และเพราะเป็นใบ้ เด็กสาวจึงไม่มีปัญญาจะตอบโต้แก้ตัว คนที่เป็นปากเป็นเสียงให้หยุนก็คือหทัยชนิต “นี่ป้า หุบปากเลย อย่ามาปากมากเที่ยวด่าใครตามอำเภอใจแถวนี้ ที่นี่บ้านฉัน ฉันไม่ชอบ” “หยุนเป็นคนของเรา มึงไม่เกี่ยว อย่าเสือก” นางเซิงเท้าสะเอว ยกมือขึ้นชี้หน้าด่าสวนทันที กันตภณเห็นใบหน้าของหทัยชนิตแดงก่ำด้วยความโกรธ สองมือกำแน่น เขาหวังว่าจะไม่มีเรื่องบานปลายอย่างการตบตีใช้กำลัง ชายหนุ่มยืนสังเกตการณ์เงียบๆ อยู่ด้านหลัง ยังไม่เข้าไปแทรกแซง “นังนี่มันทำผิดผี มีผัวไม่รับใช้ กลับหนีออกจากบ้าน มารับใช้คนอื่น ให้ร้ายผัวกับครอบครัว” “ครอบครัวเหรอ? คนในครอบครัวเขาไม่ทำกันอย่างนี้ นี่ไม่เรียกครอบครัว นี่มันขุมนรก หยุนถูกทำร้ายแทบตาย ยังไม่ปกป้องโต้ตอบ ไม่ไปแจ้งความเอาคนผิดมาลงโทษ หยุนมันไม่มีปากมีเสียง แต่ฉันไม่ใช่หยุน ฉันจะไม่ทนให้ใครมาทำร้ายคนของฉันที่นี่เด็ดขาด ไม่เชื่อก็ลองเข้ามาดู แล้วอย่าหาว่าฉันรังแกคนแก่” สีหน้าเธอบอกชัดว่าพูดจริงทุกคำ “กูไม่พูดกับมึง มึงมันคนนอก จะไปรู้อะไร” นางเซิงสะบัดหน้าใส่ แล้วถลึงตาไปที่หยุน “อีหยุน มึงทำผิดผี ทำให้ผีเจ้าไม่พอใจ เดี๋ยวได้แสดงอิทธิฤทธิ์เป็นเรื่องขึ้นมา ตอนนี้หมอผีก็ตายแล้ว ยิ่งไม่มีใครช่วยได้ มึงนี่ละเป็นตัวซวย ทำความเดือดร้อนให้เผ่า มึงต้องออกไปจากเผ่า ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ จะไปตายที่ไหนก็ไปไกลๆ เลย ออกไป๊!” นางเซิงไม่พูดเปล่า แต่กางเล็บตรงรี่เข้ามาหาหยุน เหมือนจะจิกหัว ลากตัวไปเดี๋ยวนั้น หทัยชนิตเร็วมาก เธอเข้ากั้นกลางระหว่างนางเซิงกับหยุน และ ล็อกแขนผอมๆ ของนางเซิงบิดไพล่หลัง จนนางกรีดร้องออกมาเสียงลั่น “โอ๊ย ตายแล้วๆ มันจะฆ่าฉัน ช่วยด้วย!” กันตภณปราดออกไปห้าม เพราะแข็งแรงกว่ามาก เขาจึงดึงตัวนางเซิงแยกออกมาได้ไม่ยาก แต่ยายเฒ่าสารพัดพิษก็ไม่เบา นาง ถ่มน้ำลายใส่หทัยชนิต ดีที่ไม่โดน แต่ก็ทำให้หญิงสาวเลือดขึ้นหน้า ถึงกับง้างหมัดปรี่เข้ามาอีกครั้ง คราวนี้เพื่อนของเธอเป็นคนเข้ามาดึงแม่เสือสาวออกไป เพราะเห็นว่าเขากำลังกันกรงเล็บของนางเซิงให้อยู่เหมือนกัน “แก ไอ้นิต ใจเย็นๆ หยุดๆ เพื่อน” ศดิศาร้องห้าม “ไป! ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้... ไปตายซะ!” หทัยชนิตตะโกนใส่หญิงชราเสียงลั่น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD