3

1470 Words
“ฉันก็ขอให้เป็นแบบนั้น จะดีใจมากๆ เลยล่ะ” “ไพน่ะ คิดว่าถ้าแต่งงานแล้วเครียด ทุกข์ หรือยังไม่อยากมีภาระก็ไม่อยากแต่งค่ะ” “คนในอยากออกคนนอกอยากเข้างั้นรึแม่ไพ” “ประมาณนั้นล่ะค่ะ เห็นเพื่อนๆ แต่งกันก็บ่นกันไป” “บ่นไปก็มีความสุขไปล่ะนะ คนเป็นแม่คนน่ะ มีความสุขเสมอแหละเมื่อได้เห็นลูกเติบโตและมีความสุข” “ก็คงอย่างนั้นล่ะค่ะ” “ถ้ามีผู้ชายมาสู่ขอแม่ไพ แม่ไพจะตอบตกลงหรือเปล่า” “ขอให้มีเถอะค่ะ รถด่วนขบวนสุดท้ายแล้วนี่ ปีนี้สามสิบเจ็ด ประจำเดือนใกล้หมด คงไม่มีลูกแล้วล่ะคะ” “ผู้ชายบางคนอาจจะหาคู่ชีวิตที่อยู่ดูแลกันนะ อาจจะไม่ต้องการลูกเต้าก็ได้” “ถ้าแบบนั้นก็ต้องดูกันค่ะว่ายอมรับได้ไหม ถ้าอีกฝ่ายเจ็บป่วยไม่สบาย จะดูแลกันได้ไหม ซึ่งก็หายากนะคะ” “แต่ก็มีนะ ฉันเคยเจอจ้ะ ไม่ว่าเราจะเป็นยังไง เค้าก็ดูแลเราเสมอ” “คุณนิรุตอีกแล้วใช่ไหม นี่ไพชักอยากจะรู้แล้วสิว่าใครจะมาเป็นภรรยาของคุณใหญ่” “ทำไมล่ะจ๊ะ” “คุณใหญ่ก็คงเหมือนคุณพ่อไงคะ รักและตามใจ แถมยังหวงด้วย ใครได้เป็นภรรยาคุณใหญ่ถือว่าโชคดีสุดๆ ไปเลยค่ะ คุณใหญ่เป็นคนดี แถมยังอ่อนโยนด้วย ดูแลเอาใจใส่คนอื่นเสมอ แม้แต่ไพเองยังได้รับความกรุณาจากคุณใหญ่เลยค่ะ” “ฉันก็อธิษฐานให้ตาใหญ่ได้ผู้หญิงดีๆ มาเป็นคู่ชีวิตเหมือนกัน” คุณจรรยาพูดคุยกับประไพต่ออีกไม่นานก็เผลอหลับไป ประไพห่มผ้าให้จรรยา ก่อนจะไปจัดการธุระของตัวเองและนอนอีกเตียงหนึ่งซึ่งมีม่านกั้นอยู่และหลับไปเช่นกัน “อะไรนะคะคุณแม่ จะให้หนูไปแต่งงานกับไอ้บ้านนอกนั่นเหรอคะ” อรุณจันทร์โวยวายใส่มารดาเสียงดังลั่น คุณนพมาศยกมือขึ้นปิดหูแทบไม่ทัน “เขาเป็นคู่หมั้นเรานะ นี่เขาก็ติดต่อมา แม่ว่าหนี้สินของเราอาจจะ...” “คุณแม่คิดได้ยังไงคะ หนูไม่แต่งหรอกค่ะ” “จันทร์เจ้า...ถ้าหนูแต่งงานกับนำทัพ ครอบครัวของเราก็จะดีขึ้นนะ” คุณนพมาศพูดอย่างมีความหวัง “ไม่เอาหรอกค่ะ จะให้จันทร์เจ้าไปอยู่ต่างจังหวัดเหรอคะ ยี้...ไฟฟ้าไม่รู้จะเข้าถึงหรือเปล่า ขี่เกวียน ขี่ควายไม่เอาหรอกค่ะ” “แต่งแล้วเราก็อยู่นี่ก็ได้ อีกอย่างเราก็พูดเกินไป บ้านนอกต่างจังหวัดเดี๋ยวนี้ก็เจริญเยอะแยะไป” “ยี้...คุณแม่แต่งเองสิคะ” “ถ้าแม่อายุเท่าจันทร์เจ้า ก็แต่งไปแล้ว” คุณนพมาศประชดลูกสาว “จันทร์เจ้ามีผู้ชายหล่อๆ รวยๆ มาชอบเยอะแยะ เดี๋ยวจันทร์เจ้าจะหาทางเองก็แล้วกัน แต่ให้แต่งงานกับไอ้บ้านนอกไม่เอาหรอกนะ” “แต่แม่ได้ยินมาว่าเขาก็รวยอยู่นะ” “ได้ยินใครพูดล่ะคะ หรือมันมาโม้ให้ฟัง พูดไปพูดมา มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมา จะมาคิดทวงสัญญาหมั้นหมายเอาตอนนี้ ก็เห็นหายไปไม่รู้กี่สิบปี บ้านเรากับบ้านเขาก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย จันทร์เจ้าเคยได้ยินคุณพ่อบอกว่าลุงนิรุตประสบปัญหาทางธุรกิจด้วยนี่คะ คุณแม่ไม่กลัวเหรอคะ ว่าเขาจะรวยแต่เปลือก ก็อยากจะมาเกาะเรา เหมือนเรารวยแต่เปลือก เรายังไม่อยากให้ใครรู้เลย” “จริงด้วย แม่ลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท” “ถ้าเกิดว่าเราสนิทชิดเชื้อกับเขา และรู้ว่าฐานะเขาดีจริงๆ ค่อยว่ากัน แต่นี่หายไปตั้งหลายปีดีดัก จู่ๆ จะมาแต่งงาน จันทร์เจ้าว่ามันแปลกๆ นะคะ” “ถ้ารวยแต่เปลือกแม่ก็ไม่เอาหรอกนะ บ้านเราก็แทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว” คุณนพมาศเออออกับบุตรสาว แต่ก็ยังอยากให้อรุณจันทร์สานสัมพันธ์กับนำทัพดูก่อน เพราะบางทีก็อาจจะรวยจริง “เขาติดต่อมาเมื่อไหร่คะคุณแม่” “วันนี้แหละ แม่รอคุยกับลูกอยู่นี่แหละ แม่ว่าลูกออกไปเจอเขาก่อนดีไหม ถ้าไม่ดียังไง ค่อยถอยยังทัน” “คุณแม่จะให้จันทร์เจ้าออกไปเจอไอ้บ้านนอกนั่นเหรอคะ” “จันทร์เจ้าทำเพื่อแม่หน่อยแล้วกัน อย่างน้อยพ่อของเราก็เคยมีสัมพันธไมตรีที่ดีกับครอบครัวเขา ถ้าไม่โอเคยังไง ลูกของแม่ออกจะเป็นคนฉลาด คงรู้วิธีปฏิเสธได้หรอก แค่หมั้นหมายกันเท่านั้น ถ้าหนูไม่โอเค เขาเองก็คงจะไม่บังคับหรอกนะแม่ว่า” “ก็ได้ค่ะคุณแม่ จันทร์เจ้าไปก็ได้” อรุณจันทร์รับคำอย่างเสียไม่ได้ ในใจคิดว่าจะออกไปเจอกับนำทัพเพราะจะยกเลิกการหมั้นหมายทุกอย่าง จะได้จบๆ กันไป ไม่ต้องมาทวงสัญญาอะไรกันอีก “ดีมากจ้ะลูก อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าเขาเป็นยังไง” “ถ้ารวยแต่หน้าตาห่วยก็ไม่เอานะคะ” “ไม่น่าจะห่วยขนาดนั้นหรอกจ้ะ เพราะตอนนั้นนำทัพก็มีเค้าของความหล่อเหมือนพ่อของเขา” คุณนพมาศคิดขณะพูด เพราะคนบ้านนั้นหน้าตาดีกันทั้งบ้าน ไม่ว่าจะพ่อหรือแม่ก็ตามที “ตอนนั้นคือเมื่อกี่สิบปีมาแล้วคะคุณแม่ ตอนนั้นจันทร์เจ้ายังเด็ก ยังไม่รู้ความอะไรเลย คนเราโตขึ้น หน้าตาก็เปลี่ยนไปได้ไม่ใช่เหรอคะ บางคนตอนเด็กๆ หน้าตาดี โตขึ้นขี้เหร่ก็เยอะแยะไป” “แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” นพมาศถอนใจเฮือกใหญ่ ฐานะทางบ้านสั่นคลอนมากๆ จนตอนนี้เธอไม่ค่อยจะได้ออกงานสังคมหรืออะไรทั้งนั้น จึงไม่ค่อยคบค้าสมาคมกับใคร ถึงแม้จะจมไม่ลง แต่ตอนนี้ก็ต้องยอมรับว่ายังไงก็คงต้องจมบ้างในบางครั้ง เพราะมันไม่มีจะให้อวด ที่อยู่ได้ในปัจจุบันนี้ก็หาเงินกันให้ควัก สมบัติเก่าก็ขายกินกันเกือบหมดแล้ว จนตอนนี้แทบไม่รู้เรื่องของใครๆ หรือสมาคมกับคนรวยที่ไหนอีก “บอกว่ารวย แต่ไม่เห็นเคยมีข่าวหรือออกงานอะไรเลย รวยจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้” เธอก็พอจะรู้จักชายหนุ่มหน้าตาดี รวยๆ การศึกษาสูงอยู่ในแวดวงไฮโซ แต่กับนำทัพไม่ยักรู้จักหรือมีคนพูดถึง “เขาอาจจะเป็นเศรษฐีที่ไม่ชอบอวดอ้างก็ได้” “ไม่อวดหรือไม่มีจะอวดกันแน่คะคุณแม่” อรุณจันทร์เบะปากทันที “เอาเถอะ เย็นนี้เขาบอกว่าจะส่งรถมารับลูกไปทานดินเนอร์ด้วย” “ห้ะ! อะไรกันคะคุณแม่ โทรมาวันนี้แล้วก็จะมารับไปทานอาหารด้วย จะบ้าเหรอคะ” “เขาคงมาถึงหลายวันแล้วมั้ง” “รีบร้อนแบบนี้เขาคิดจะจับเราแน่ๆ ค่ะ” “ลูกก็อย่าเพิ่งคิดไปเอง” “ต้องคิดเอาไว้ก่อนล่ะคะ เพราะหนูเข็ดพวกรวยแต่เปลือกเต็มทีแล้ว”  อรุณจันทร์ส่ายหน้าไปมา เพราะทุกวันนี้เธอเองก็ต้องช่วยมารดาพยุงฐานะเอาไว้ สายตาก็ต้องคอยมองหาผู้ชายหน้าตาดี มีเงินถุงเงินถังเอาไว้ คนจนๆ เธอไม่คบให้เปลืองตัวอย่างแน่นอน “หนูจะตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่ ก็ไปพบนำทัพเขาหน่อยเถอะ” “ก็ได้ค่ะ นี่คงจะรีบมากนะคะ พี่นำทัพนี่อายุเท่าไหร่แล้วคะ” “สามสิบหกปีนี้จ้ะ” “ห้ะ! ตั้งสามสิบหกปีแล้ว ยังไม่มีเมีย หน้าตาต้องขี้ริ้วขี้เหร่มากแน่ๆ” อรุณจันทร์โวยวายเสียงดัง “ตอนนั้นลูกยังเด็ก คงจำพี่เขาไม่ค่อยได้” “ก็คุณพ่อหมั้นหมายอะไรกันเอาไว้ล่ะคะ หนูไม่เห็นรู้เรื่องราวอะไรเลย เขาเองก็ไม่ได้สนใจจะสานสัมพันธ์กับเราด้วย” “แม่เองก็ไม่อยากขัดพ่อนักหรอก เขาเป็นเพื่อนกัน” “มันหมดยุคคลุมถุงชนแล้วค่ะคุณแม่ หนูขอเลือกเองดีกว่า” “แม่ก็เห็นหนูเลือก แต่เขาดันไม่เลือกหนูนี่สิ” “คุณแม่นั่นแหละ บริหารงานไม่เป็น พอคุณพ่อไม่อยู่ก็ทำเราเจ๊งไม่เป็นท่าแบบนี้” “อ้าว...ก็ลูกใช้เงินยังกับเบี้ย อย่ามาโทษแม่คนเดียวนะ” นพมาศดุบุตรสาวคนเดียว “ไม่รู้แหละค่ะ คุณแม่จะรักษาคำมั่นสัญญาอะไรของคุณพ่อก็รักษาไป แต่หนูไม่” อรุณจันทร์เดินหนีมารดาอย่างเคืองๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD