ตอนที่ 11-1

1431 Words
ตอนที่ 11 เสียงถอนหายใจดังขึ้นหลายครั้ง กับใบหน้าที่ดูหงอยเหงา ทั้งเหม่อลอยและดูเศร้าซึมของดาวมหาวิทยาลัย เพราะตั้งแต่เดินออกมาจากห้องสอบก็ไม่ยอมพูดยอมจา เอาแต่นั่งถอนหายใจ พลางมองเหม่อ ชะเง้อเหมือนมองหาใครบางคนตลอดเวลา “แกเป็นอะไรอะลัน นั่งถอนหายใจทั้งวัน แถมยังชะเง้อคอยาวทำตัวเป็นยีราฟ มองหาพี่เคลย์ตันเหรอ” พิชชาเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ ตัดสินใจถามเพราะในใจก็นึกสงสัยมาหลายวัน ว่าทำไมหมู่นี้ถึงไม่เห็นพี่เคลย์ตันมาคอยอยู่รอรับไปกินข้าวเที่ยงด้วยเหมือนเคย ตอนเช้าก็ไม่มีแวะมาหาให้ได้เห็น “อืม วันนี้ยังไม่เห็นหน้าพี่เขาเลย” ตอบพร้อมกับถอนหายใจยาวออกมา ทั้งสัปดาห์ก่อนสอบเธอยังได้เจอเขาบ้างแม้จะไม่บ่อยเหมือนก่อนหน้านี้ที่ได้เจอกันทุกวันเช้าเย็นหรือแม้แต่ตอนเที่ยง ถึงอย่างนั้นก็ยังคุยโทรศัพท์ ตอบไลน์กันตลอดเวลา ทว่า ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่เขาเงียบหายไป จนวันจันทร์ที่เป็นวันสอบวันแรกเขาก็ไม่โทรหรือไลน์มาเลย เธอไลน์ไปเขาก็ไม่ค่อยตอบ จนเธอต้องพยายามมานั่งคิดว่าเขาอาจจะวุ่นเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบอยู่ก็เป็นได้ ทำให้ไม่มีเวลาที่จะโทรหรือไลน์หาเธอละมั่ง “แต่ฉันเห็นพี่เคลย์ตันนะ” “หื้อ? เธอเห็นที่ไหน” พิชชาหันมาถามทันทีด้วยอยากรู้ “เจอที่ลิฟต์น่ะ ตอนที่พวกแกเดินไปจองโต๊ะที่โรงอาหารนั่นล่ะ ฉันแวะเอางานไปให้อาจารย์เลยเจอกลุ่มพี่เขา กำลังจะเข้าลิฟต์ตัวที่ฉันเดินออกมาพอดี” “อ๋อ ช่วงนี้เขาน่าจะยุ่งๆแหละ ใกล้จะจบแล้วด้วย” กรีนหันมาปลอบเพื่อน หวังให้สบายใจขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากสัปดาห์ของการสอบผ่านพ้นไปได้หนึ่งอาทิตย์ วันนี้เธอจะต้องเอางานไปส่งอาจารย์ที่ตึกคณะมนุษย์ศาสตร์ วิชาเลือกเสรีที่เธอเลือกลงเรียนไว้ ร่างเล็กเดินมาหยุดรอรถที่ป้ายรถเมล์หน้าคณะเพื่อเข้าไปยังตึกคณะของเธอที่อยู่อีกด้านหนึ่ง สายตาของเธอเหลือบเห็นรถแรมโบกินี่สีดำคุ้นตากำลังขับผ่านมาทางนี้ หัวใจเต้นโครมคราม ไม่ได้เห็นหน้าเขาเกือบเดือน หลังจากที่เขาได้พรากสิ่งที่เธอหวงแหนที่สุดไปในวันนั้น เขาก็ค่อยๆห่างหายไป จนครั้งสุดท้ายที่เจอกันและเราได้มีอะไรกันอีกครั้งในวันนั้น เขาก็ไม่ได้มาเจอเธอ เมื่อได้เห็นรถคันนั้นในวันนี้ ก็อดตื่นเต้นใจสั่นไม่ได้ เธอมองดูรถแลมโบกินี่สีดำค่อยๆเคลื่อนตัวจอดรถริมฟุตบาทบริเวณหน้าคณะ รอให้ร่างสูงโปร่งคุ้นตาก้าวลงจากรถคันหรูตั้งใจจะวิ่งเข้าไปหาด้วยความคิดถึง เพราะไม่ได้เจอหน้าหรือพูดคุยกันหลายวันแล้ว ไลน์ไปหาเขาก็ไม่ค่อยได้อ่านหรือได้ตอบเท่าไหร่ ได้เจอกันแบบนี้เธอจะได้ถามเขาให้รู้เรื่อง ดีกว่ามานั่งคิดเอง เศร้าเองแบบนี้ ขาทั้งสองข้างหยุดชะงักลงทันที เมื่อสายตามองไปยังเบื้องหน้าเห็นหญิงสาวหน้าตาสวยจัด รูปร่างดีในชุดนักศึกษาก้าวลงจากรถคันนั้น พร้อมกับเดินเข้าไปคล้องแขนควงชายหนุ่มร่างสูงคุ้นตาเดินเข้าไปในตึกของคณะมนุษย์ศาสตร์ โดยที่เขาไม่ทันเห็นเธอ หญิงสาวยืนตัวสั่นน้ำตาคลอ พยายามหลอกตัวเอง ว่าผู้หญิงคนนั้นอาจเป็นเพียงคนรู้จัก หรือน้องสาวของเขาก็ได้ แม้ภาพที่เห็นตรงหน้ามันจะอยู่ไกลความคิดของเธอมากขนาดไหน แต่เธอก็ไม่อยากจะคิด ว่าพี่เคลย์ตัน ผู้ใจดีแสนอบอุ่นคนนั้น จะทำร้ายจิตใจเธอได้ถึงเพียงนี้ ตลอดทั้งบ่ายที่เธอนั่งอยู่ที่เดิม ด้านหน้าตึกคณะมนุษยศาสตร์ ไม่ขยับตัวไปไหน แม้จะเลยเวลาเข้าเรียนมานานพอสมควรแล้ว ข้อความมากมายจากบรรดาเพื่อนๆที่ทักมาตามเธอดังต่อเนื่องจนเงียบเสียงไปเอง เธอรอจนเขาก้าวลงมาจากตึกคณะอีกครั้ง มือหนาที่แสนอบอุ่น เคยจับจูงมือเธอ แต่ตอนนี้เขากำลังใช้มือนั้นจูงมือใครอีกคน ดาลันดาหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา กดเบอร์โทรศัพท์โทรหาหวังให้เขากดรับสายเธอ เสียงเพลงจากโทรศัพท์เครื่องหรูดังขึ้นทำให้ฝีเท้าของร่างสูงชะลอลงเล็กน้อย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูหน้าจอ ปรากฏชื่อ ‘น้องลัน ปีหนึ่ง’ เขามองแล้วนิ่งชั่วครู่ก่อนจะกดปิดเสียงแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม โดยไม่คิดสนใจที่จะกดรับสายนั้นเลยสักนิด สีหน้านิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หันไปจูงมือผู้หญิงคนนั้น เดินไปขึ้นรถคันหรูที่จอดทิ้งไว้ด้านหน้าตึกคณะ หญิงสาวที่ยืนมองจากป้ายรถเมล์หน้าคณะ ยืนมองใจสั่นน้ำตาคลอ นี่เหรอคือสาเหตุ ที่ทำให้พี่เขาห่างหายไปตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอได้แต่คิดย้อนหลายๆเหตุการณ์ น้ำตาก็ไหลรินอาบแก้ม สะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้นไม่รู้ว่าเวลาหมุนผ่านไปนานเท่าไหร่ เธอไม่อยากหลอกตัวเองอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อเขาตั้งใจหลบหน้าหลบตา ไม่คิดจะรับสายหรือตอบไลน์ เธอก็ควรจะต้องหยุดที่จะไล่ตามเขาแล้วใช่ไหม หญิงสาวนั่งคิด นั่งใคร่ครวญอยู่ตรงนั้น กว่าจะรู้ตัวว่าเธอนั่งอยู่ตรงนี้มาหลายชั่วโมงเมื่อฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีลงเรื่อยๆ ผู้คนเริ่มบางตาเพราะใกล้มืด ลุงยามที่มองเห็นหญิงสาวนั่งอยู่ตรงนี้มานานตั้งแต่บ่ายจึงเดินเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง “หนูเอ๊ย กลับบ้านเถอะลูก จะมืดค่ำแล้ว มันจะอันตราย” ดาลันดาสูดน้ำมูก พร้อมกับเช็ดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนเต็มดวงหน้า หันไปมองลุงยามที่ส่งยิ้มใจดีมาให้เธอ พร้อมกับเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้น “ค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอหันไปฝืนยิ้มให้ชายสูงวัยใจดี ก่อนจะกดรับโทรศัพท์ของพิชชาที่โทรเข้ามาพอดี “อืม ว่าไง” “อะไรเนี่ยคุณ กว่าจะรับสาย ตอนนี้อยู่ไหนยะ” “อืม เราอยู่หน้าคณะมนุษย์ มาส่งงานน่ะ แกมีไรเหรอ” “วันนี้พวกพี่เปรี้ยว พี่ปีสามเขามีนัดเลี้ยงน้องกัน แกจะไปไหม ตอนนี้ฉันยังอยู่ที่คณะอยู่จะได้ไปรับ” “อืม...ไม่ล่ะ” ตอบเสียงสั่นเครือ แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ได้ จึงเอ่ยขึ้น “โอ๊ยลำไย แกเป็นไรเนี่ย ร้องไห้ทำไม อยู่ตรงนั้นแหละเดี๋ยวฉันกับกรีนไปรับ แล้วไม่ต้องรีบหนีกลับบ้านนะยะ เดี๋ยวจะตามไปจิกถึงที่เลย” ปลายสายก่อนวางทันที ทำให้เธอไม่ทันได้พูดหรือปฏิเสธอะไร รอไม่ถึงยี่สิบนาที รถญี่ปุ่นคันกลางเก่ากลางใหม่ก็ขับมาจอดเทียบริมถนนตรงหน้าเธอ เปิดกระจกชะโงกหน้าออกมา “ขึ้นรถย่ะ อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำนะ” พิชชาแสร้งจีบปากจีบคอใส่จริตเล็กน้อยตามนิสัย เอ่ยเร่งให้เพื่อนสาวที่เริ่มสนิทขึ้นมานั่งในรถ ในใจนั้นนึกเป็นห่วงอยู่มาก เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ถึงแม้ว่าระยะเวลาจะไม่นาน แต่เธอก็ไม่เคยเห็นเพื่อนเธอดูเศร้าซึมขนาดนี้มาก่อน “เราจะไปไหนกันเหรอ” เสียงเบาเอ่ยถามจากด้านหลัง “ฉันจะกลับคอนโดไปเปลี่ยนชุดก่อน” กรีนตอบ ก่อนจะละสายตาจากถนนเบื้องหน้าหันมองดาวมหาวิทยาลัยที่อยู่ในอาการเงียบขรึมซึมเศร้ากว่าปกติ แล้วค่อยหันกลับไปมองถนน สองมือจับพวงมาลัย ตั้งใจขับรถ แต่สายตายังคอยเหลือบมองไปที่กระจกมองหลัง เพื่อดูสีหน้าของเพื่อนที่เอาแต่นิ่งเงียบไม่ตอบรับหรือพูดอะไรออกมาสักคำ นอกจากสายตามองเหม่อออกไปนอกรถเท่านั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD