ตอนที่ 10
ดาลันดาเดินเข้ามาในห้องพักด้านหลัง ซึ่งมีข้าวของของเธอรวมทั้งดอกไม้ช่อใหญ่ที่พี่เคลย์ตันให้ไว้ก่อนจะขึ้นเวทีประกวด แต่เธอกลับต้องชะงักค้าง ยืนนิ่งไปทันทีเมื่อสายตาเหลือบเห็นซากของดอกไม้ที่ถูกขยี้ ทำลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดีตกอยู่ที่พื้นกลางห้อง โดยมีสายตาของใครในห้องหลายคนยืนมองสีหน้าของเธออยู่ด้วยรอยยิ้มสะใจ
หญิงสาวยืนตัวสั่นน้ำตาคลอ เมื่อเห็นดอกไม้ที่เธอหวงแหน เพราะได้รับจากคนที่เธอชอบเป็นช่อแรกถูกทำลายแทบเหลือเค้าเดิม
“เป็นอะไร” เคลย์ตันที่ยืนด้านนอกถามด้วยความสงสัย มองตามเข้ามาในห้องเห็นเธอยังยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับก็นึกแปลกใจ เลยก้าวเท้าเข้ามาในห้อง มองตามสายตา จึงเห็นซากดอกไม้ที่เขาให้เมื่อเย็นอยู่กลางพื้นห้อง
“ใครทำ” เสียงเข้มห้วนจัดเอ่ยขึ้น พร้อมกับสายตาแข็งกร้าวตวัดมองทุกคนในห้องที่เริ่มก้มหน้าตัวสั่น เมื่อเห็นใครอีกคน สีหน้าโกรธจัดของเขาน่ากลัวจนไม่มีใครกล้าสบตา
“พี่ถามว่าใครทำ!!!”
“นับดาว คณะนิเทศค่ะ” หนึ่งในกลุ่มคนนั้นเอ่ยบอกเสียงสั่น ไม่กล้าสู่หน้าสบตาเขาขณะพูด และคำตอบนั้นทำให้เขานิ่งไปหลายชั่วอึดใจ
นับดาว ปีหนึ่งคณะนิเทศ เด็กซิ่วที่เคยเรียนคณะเศรษฐศาสตร์เมื่อปีที่แล้ว และยังเป็นเด็กที่เขาเคยควงเล่นๆด้วยพักหนึ่ง แต่ไม่มีใครรู้ เพราะเขาไม่มีท่าทีเอริกชัดเจนเช่นคนนี้
กรามขบแน่นด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหันมาคว้าข้อมือหญิงสาวที่กำลังตัวสั่นน้ำตารื้นอยู่
“กลับ!” เขาทำท่าจะดึงเธอออกไป แต่ก็ต้องหันกลับมาอีกครั้ง
“หยิบกระเป๋าด้วยลัน”
“ค่ะ” ละล่ำละลักบอกอย่างเสียขวัญ หันไปหยิบกระเป๋ากับข้าวของบางส่วน เดินตามแรงจูงของอีกคนไปทันที
เมื่อเข้ามานั่งในรถคันหรู หญิงสาวพยายามกลั้นสะอื้น ร้องไห้ออกมาเบาๆ เพราะยังตกใจกับสิ่งที่เจอ เสียใจที่ดอกไม้ที่ชายหนุ่มข้างตัวให้เป็นช่อแรกกลับพังยับเยินไม่เหลือเป็นชิ้นดี
“ร้องไห้ทำไม หื้อ”
“ฮึก...ดอกไม้นั่นพี่เคลย์ตันให้ลัน”
“หึ ไม่เห็นเป็นไร พี่ก็ซื้อใหม่ให้แล้วไง” เคลย์ตันพยายามปลอบ พร้อมกับวางมือลงบนเรือนผมที่วันนี้มัดเกล้าไว้อย่างเรียบร้อย
“ฮึก..แต่...อันนั้นพี่ให้ลันเป็นช่อแรกนี่คะ ลันอยากเก็บไว้” ร่างเล็กสะอึกสะอื้นหันมาบอก นัยน์ตาแดงก่ำจ้องมองสบตาเขา มีหยาดน้ำไหลเอ่อเต็มหน่วยตาคู่สวย
เคลย์ตันมองแล้วนิ่งไปเล็กน้อย ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าสวยหวานเปรอะเปื้อนด้วยน้ำตา ปลายนิ้วเรียวค่อยๆปาดเช็ดคราบน้ำตาให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยน แผ่วเบา
“ร้องทำไม เด็กขี้แย” ดาลันดาเม้มปากแน่นพยายามกลั้นสะอื้นแต่กลับทำให้เขายิ่งขบขัน เอ็นดู ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยริมฝีปากเธอไปมา ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ จนเธอที่กำลังสะอึกสะอื้นอยู่ถึงกับตาโตด้วยความตกใจ เมื่อริมฝีปากอุ่นร้อนของเขาทาบทับลงบนริมฝีปากเธอ ขบเม้มเบาๆไปมาพยายามให้เธอหายอาการตื่นเต้นตกใจ มือหนาลูบไล้เนื้อตัวเลื่อนลามมาจนถึงหน้าอกนวดเฟ้นเบาๆ พร้อมกับหายใจหอบถี่ขึ้น
หญิงสาวตื่นตกใจเล็กน้อยกับสัมผัสที่เธอไม่เคยพานพบ จนเผลออ้าปากรับปลายลิ้นร้อนชื้นตวัดเข้าโพรงปากเล็กฉกชิมความหวานของเธออย่างหิวโหย มือหนาเพิ่มแรงบีบเค้นก่อนจะซุกซนเลื้อยเข้าไปใต้ร่มผ้าของหญิงสาว
“อื้อ...พี่เคลย์ตัน” เสียงหวานร้องเรียกเขา ผละใบหน้าออกห่าง หอบถี่ หัวใจเต้นแรงใบหน้าแดงซ่าน มือเล็บจับตะครุบมือที่เขากำลังรุกล้ำอยู่ใต้เสื้อนักศึกษาและกำลังร่นชุดชั้นในลูกไม้เธอเลิกขึ้นให้หยุดมือ
“พะ...พี่เคลย์ตัน” เอ่ยเรียกชื่อเสียงกระเส่า เมื่อเขายังคงใช้ปลายนิ้วสะกิดยอดปทุมถันของเธอ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปบดขยี้จูบริมฝีปากเธออีกครั้ง และครั้งนี้มันก็ยิ่งทวีความต้องการของเขามากขึ้น หัวใจของเธอเต้นแรงราวกับจะหลุดออกจากร่างเมื่อฝ่ามือหนา ฉวยจังหวะที่เธอกำลังเคลิบเคลิ้มกับรสจูบ ที่เป็นจูบครั้งแรกของเธอ ถลกเสื้อนักศึกษาขึ้นพร้อมกับชุดชั้นใน เผย ยอดอกสีชมพูให้เขาได้ก้มลงไปลิ้มลองฉกชิมราวกับหื่นกระหายมานาน ปลายลิ้นร้อนตวัดละเลงระรัวยอดเม็ดปทุมถัน มือหนาข้างที่ว่างเว้นค่อยๆเลื่อนต่ำซุกซนเลื่อนเลื้อย เข้าไปในกระโปรงลูบคลำสะกิดสะเกาจุดอ่อนไหว ที่ทำให้เธอถึงกับผวาเฮือกผละใบหน้าออกห่าง หายใจแรง เนื้อตัวสั่นเทา ช้อนสายตามองเขา สายตาตระหนกตกใจอย่างไม่ปิดบัง
“เอ่อ...พี่เคลย์ตัน”
“หึ ตัวหนูหวานมากเลยนะ พี่อยากลองชิมว่าหนูจะหวานไปทั้งตัวไหม พี่ขอลองได้ไหม” ถามน้ำเสียงแหบพร่าแต่ไม่คิดรอคำตอบ เมื่อใบหน้าหล่อร้ายของเขาโน้มเข้าหาซุกไซ้ซอกคอขาวผ่องของหญิงสาว สูดดมกลิ่นกายหอมหวานจากตัวเธอ กลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายกลิ่นแป้งแด็ก ยิ่งทำให้เขาอยากสูดดมเธอมากขึ้น
ริมฝีปากหยักหนาพรมจูบ ดูดดึงขบเม้มไล้เลียผิวบางเลื่อยต่ำลงมาจนถึงเนินอกอวกอิ่ม มือหนาลูบไล้สัมผัสผิวเนียนนุ่มของหญิงสาว ก่อนที่เขาจะได้ฉกชิมมันอีกครั้งกลับต้องชะงัก
“อ๊ะ!” เมื่อดาลันดายกมือขึ้นแตะอกกว้างของเขาดันไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อนค่ะพี่เคลย์ตัน”
“ทำไมหื้อ??” ถามกลับเสียงพร่า
“เรา...เอ่อ...ไม่ไปทานข้าวกันแล้วเหรอคะ”
“หึ” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะโน้มหน้ากดจมูกโด่งลงบนแก้มนุ่มหอมดงฟอดใหญ่ แม้จะอยากสานต่อด้วยอารมณ์รักที่พลุกพล่านจนอยากที่จะปลดปล่อย แต่เขาจำต้องสะกดความต้องการนั้นไว้ เพราะยังจอดรถอยู่บริเวณด้านข้างหอประชุม ผู้คนเดินผ่านไปมาพลุกพล่านพอสมควร จึงดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่
“ร้ายนักนะ” แสร้งว่าไม่จริงจังนะ ก่อนจะหันหน้าไปจับพวงมาลัย ออกรถขับออกไปทันที ในขณะที่เธอนั้นได้แต่นั่งก้มหน้าหายใจไม่ทั่วท้อง หัวใจเต้นกระหน่ำ จนลืมเรื่องราวหม่นเศร้าก่อนหน้านี้จนสิ้น