เรื่อง:((ปฐมบท)พี่สาวคนสวยกับแฟน Typeหมาเด็ก
ตอนที่.11 สูญเสีย
โดย: Srikarin2489
“คุณนัน...คุณนันอยู่มั้ยคะ”
มีเสียงคนมาตะโกนร้องเรียกอยู่หน้าตึกเล็ก ทำให้รสนันท์กำลังนั่งทานข้าวเที่ยงอยู่กับแม่ในห้องครัว หันไปทางหน้าบ้าน
“ใครมาเรียก”
รสนันท์พึมพำวางช้อนส้อมแล้วลุกเดินออกไปดู เห็นคนทำงานบ้านของตึกใหญ่วัยสาวยี่สิบปลาย ๆ มายืนชะเง้อมองหาคน อยู่ตรงหน้าบันไดทางขึ้นบ้าน
“คุณนัน” เสียงเรียกเต็มไปด้วยความดีใจ เมื่อเห็นรสนันท์เดินออกมา
“มีอะไรเหรอ”
“คุณนันช่วยไปดูคุณนะด้วยค่ะ คุณนะไม่สบายตัวร้อนจี๋เลย”
“ผู้ใหญ่ที่ตึกใหญ่ ไม่มีใครอยู่เลยเหรอ” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแปลกใจเพราะวันนี้เป็นวันหยุด
“ไม่มีใครอยู่เลยค่ะ อยู่แต่คุณดลกับคุณนะ” คนทำงานบ้านบอกด้วยสีหน้าเป็นกังวลร้อนใจ
“เดี๋ยวฉันตามไป ขอไปบอกแม่ก่อน”
พอรสนันท์ตามมาถึงเห็นคนทำงานบ้าน ยืนรออยู่หน้าตึกด้วยท่าทางกระวนกระวายกระสับกระส่าย แต่พอเห็นรสนันท์เดินมาสีหน้าดีขึ้นทันที เหมือนจะโล่งใจ แล้วพาขึ้นไปบนชั้นสองของตึกหลังใหญ่ พอเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนเห็นร่างผอมบางของกฤษณะ นอนอยู่บนเตียง มีอาการกระสับกระส่ายหน้าแดงจัดบ่งบอกให้รู้ว่าไข้กำลังขึ้นสูง เธอรีบเข้าไปนั่งลงใกล้วางมือทาบหน้าผากดู
“โห...ตัวร้อนจี๋เลย” อุทานด้วยแววตาเป็นกังวลตกใจ
“กลับไปที่ตึกเล็กนะ บอกให้แม่หยิบกระเป๋ากับโทรศัพท์ เอามาให้ฉัน
ฉันจะพาคุณนะไปหาหมอ” คนทำงานรับคำแล้วรีบไปเปิดประตูห้องให้ เมื่อเห็นรสนันท์ช้อนร่างผอมบางของกฤษณะขึ้นอุ้ม
รสนันท์เอารถของพี่สาวออก โดยเอากฤษณะนอนไว้ตรงเบาะหลัง ขับรถออกจากบ้านด้วยความร้อนใจ หน้าคอยเงยดูร่างผอมบางผ่านกระจกมองหลังเป็นระยะด้วยความเป็นห่วง รสนันท์เลือกคลินิกแห่งแรกที่เห็น โชคดีที่หน้าคลินิกมีที่ว่างจอดรถได้ เธอลงจากรถเอากระเป๋าสะพายใบเล็กสะพายไหล่ไว้ แล้วเข้าไปอุ้มร่างกฤษณะลงจากรถ
“ช่วยด้วยค่ะ เด็กตัวร้อนจัดไข้ขึ้นสูง” ปากร้องบอกขณะเดินเร็วเข้าไปใน
คลินิกที่ไม่มีคนไข้อื่น ทำให้พยาบาลนั่งทำงานอยู่หลังเคาน์เตอร์รีบลุกมาดู
“คุณแม่รีบพาน้องเข้าไปในห้องตรวจเลยค่ะ โชคดีที่คุณหมอยังไม่ได้ออก
ไปทานข้าวเที่ยง” ด้วยความร้อนใจห่วงใยกฤษณะ ทำให้รสนันท์ ไม่ได้สนใจการเข้า
ใจผิดของพยาบาล รีบอุ้มกฤษณะเข้าไปในห้องตรวจ เอาไปวางบนเตียงทำให้หมอวัยหนุ่มใหญ่ ที่กำลังเตรียมตัวจะออกไปทานข้าวเที่ยง ต้องเปลี่ยนมาหยิบหูฟังกลับมาคล้องคอ ขยับเข้ามาตรวจดูอาการของคนไข้ทันที
“น้องไม่สบายมานานหรือยังครับคุณแม่” หมอถามระหว่างตรวจอาการ
คำถามนั้นทำให้รสนันท์แทบสะดุ้ง ที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแม่
“ฉันไม่ใช่แม่เขาค่ะ ฉันเป็น...” รสนันท์หยุดคิดหาคำพูดว่าจะอธิบายยังไงดี
“ฉันเป็นคนดูแลเขาค่ะ”
“อ๋อ...พี่เลี้ยง” รสนันท์ยิ้มจืดเมื่อหมอเงยหน้ามายิ้มด้วย
เสียงโทรศัพท์ของรสรินดังขึ้น ระหว่างนั่งรถมากับคุณกิตติ ทั้งสองนั่งตรงเบาะหลังมีคนขับให้ เป็นคนขับรถประจำตัวของคุณกิตติ ถ้าไปไหนคนเดียวรสรินถึงจะขับรถเอง รสรินดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าถือมาดูว่าใครโทรมา เสียงพูดคุยกับปลายสายทำให้รู้ว่าเป็นน้องสาวของรสรินโทรมา
“มีอะไรหรือริน”
“นันโทรมาบอกว่าคุณนะไม่สบาย ที่บ้านไม่มีใครอยู่เลย นันเลยพาคุณนะไป
หาหมอ ตอนนี้พากลับบ้านแล้ว นันเอาคุณนะไปนอนพักที่ตึกเล็กก่อน”
“นภัสสรไม่สนใจลูกเลย ทั้งที่กฤตบอกก่อนออกไปข้างนอกแล้ว ว่าลูกไม่ค่อยสบายให้ดูแลลูกด้วย” คุณกิตติบ่นด้วยแววตาขรึมเครียด ไม่พอใจลูกสะใภ้
“นะเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“เป็นไข้หวัดค่ะ หมอฉีดยาให้อาการค่อยยังชั่วแล้ว” คุณกิตติถอนใจเวทนา หลานชายคนเล็กเกิดมาสุขภาพอ่อนแอ แม่ยังไม่ค่อยรักอีก ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะคุยอะไรกันต่อเสียงโทรศัพท์ของคุณกิตติดังแทรกขึ้น คุณกิตติยกโทรศัพ์ขึ้นรับสาย
“อะไรนะ” เสียงร้องถามดังลั่นรถทำให้รสรินหันไปดู เห็นสีหน้าสามี
เคร่งเครียดจนน่าตกใจ ว่ามีเรื่องอะไรร้ายแรง
“มีอะไรหรือคะ” รสรินถามหลังจากคุณกิตติคุยโทรศัพท์เสร็จ
“ไปโรงพยาบาลGPHเดี๋ยวนี้” คุณกิตติยังไม่ตออบ แต่หันไปร้องสั่งคนขับ รถด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“มีอะไรหรือคะคุณกิตติ” รสรินเห็นสีหน้าสามีเคร่งเครียดร้อนใจ
“กฤตประสบอุบัติเหตุ คนขับรถบรรทุกหลับใน พุ่งข้ามเลนมาชนรถของ
กฤต รินโทรไปหานันซิ ช่วยพานะกับดลไปดูพ่อที่โรงพยาบาลได้มั้ย เขาอยากเจอลูกอาการกฤตสาหัสมาก” เสียงพูดสั่นเครือ แม้จะยังไม่เห็นอาการลูกชาย แต่จากการที่ลูกอยากเจอลูกทำให้รู้ว่าอาการคงหนักมาก
“โทรบอกนภัสสรด้วย บอกให้เขาไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย” บอก
พร้อมส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้รสริน เพราะรสรินไม่มีเบอร์ของนภัสสร
ทันทีที่คุณกิตติกับรสรินก้าวเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ของโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่มีคนไข้บางตา กลิ่นและบรรยากาศภายในห้องฉุกเฉินสะท้านอยู่ในความรู้สึก กลิ่นอายของความเป็นโรงพยาบาล กลิ่นยาฆ่าเชื้อ แรงเตะจมูก เสียงเครื่องวัดชีพจรเต้นเป็นจังหวะช้า ๆ แพทย์กับพยาบาลถอยออกหลีกทางให้ทั้งสองเข้าไปหาคนเจ็บ
“กฤต...”
เสียงเรียกแหบเครือเมื่อเห็นอาการของลูก ใบหน้าของกฤตซีดขาวเนื่องจากเสียเลือดมาก เหงื่อซึมแม้อยู่ในห้องปรับอากาศ หายใจหอบช้าแผ่ว บางครั้งได้ยินเสียงหายใจครืดคราด ร่างกายท่อนบนชุ่มไปด้วยเลือด ตาปิดอยู่ค่อยขยับลืมขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียก
“คุณพ่อ”
เสียงแผ่วเบาเปล่งออกมาอย่างยากลำบาก ตาลืมไม่เต็มที่เห็นอยู่ว่าเจ้าตัวพยายามต่อสู้เพื่อยืดลมหายใจตัวเอง รอเจอคนที่รัก แววตายินดีเมื่อเห็นบิดา สภาพของลูกชายทำให้คุณกิตติจุกแน่นในอกแทบพูดไม่ออก
“ลูกผมล่ะครับ”
“นันกำลังพาพวกเขามา อดทนนะลูกอดทนก่อน” มือสั่นจนระงับไม่อยู่เอื้อม ไปจับตอบเมื่อเห็นลูกชายไขว่คว้ามือมาหา
“คุณพ่อผมอยากฝาก” กฤตพยายามเปล่งคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก
“ไม่ต้องพูดอะไรหรอกลูก หมอต้องช่วยกฤตได้” คุณกิตติจับมือลูกชายไว้มั่น พยายามกล้ำกลืนน้ำตาตัวเองไว้ รสรินวางมือแตะแขนคุณกิตตินุ่มนวลให้กำลังใจ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เห็นอยู่ว่าอาการของกฤตสาหัสมาก
“ผมมีเวลาไม่มาก ผมมีเรื่องอยากฝากคุณพ่อ ผมฝากลูกด้วยนะครับคุณพ่อ หวังว่าคุณพ่อจะเมตตาหลาน ดูแลพวกเขาแทนผมด้วย ผมไม่มีโอกาสได้อยู่ จนเห็นพวกเขาเติบโต” คุณกิตติกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เมื่อลูกชายพยายามพูดด้วย น้ำตารินลงมาทางหางตาดวงตาที่พยายามฝืนมองหน้าบิดา
“ไม่ต้องห่วงนะลูก พ่อจะดูแลพวกเขาเอง” น้ำตาของลูกผู้ชายสูงวัยรินหลั่ง ก้มลงพูดกับลูกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่อ่อนโยน
“ขอบคุณครับ คุณริน...” ใบหน้าซีดขาวค่อยหันไปหารสริน
“ผมฝากคุณพ่อผมด้วย คุณเป็นคนดีผมมั่นใจ ดูแลท่านแทนผมด้วย”
“ค่ะ” รสรินรับคำทั้งน้ำตาเริ่มซึมคลอ
“คุณพ่อ”
รสนันท์อุ้มกฤษณะเข้ามาในห้องฉุกเฉิน มีนภดลเดินเร็วตามมาด้วย ทั้งสองร้องเรียกเมื่อเห็นร่างพ่อนอนอยู่บนเตียงในสภาพบาดเจ็บสาหัสเลือดชุ่มตัว
“ลูกพ่อ” เสียงคนเจ็บแหบพร่าเบา พยายามเปล่งเสียงพูดกับลูก
“คุณพ่อเป็นอะไร” นภดลวางมือจับแขนพ่อแล้วสะอื้นถาม
“อย่าร้องไห้ลูก...ฟังพ่อนะ ดลกับนะมีกันแค่สองคนพี่น้อง ต่อไปไม่มีพ่อแล้วต้องรักกันดูแลกัน ดลเป็นพี่ต้องรักเมตตาน้อง อย่ารังแกน้องนะลูก รับปากพ่อได้มั้ย” นภดลพยักหน้าน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม จับแขนพ่อแน่นขณะที่กฤษณะร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของรสนันท์
“คุณพ่อ” กฤษณะที่ถูกรสนันท์อุ้มอยู่ โน้มตัวไปหาพ่อพร้อมเอื้อมมือไปจับแขน สะอื้นไห้จนน้ำตาชุ่มแก้ม กฤตพยายามรวบรวมแรงที่เหลือน้อยนิดขึ้นมาจับมือของลูกทั้งสองไว้
“ลูกต้องเข้มแข็งไม่ต้องเศร้าใจ ที่จะไม่มีพ่ออยู่ด้วย รับปากพ่อได้มั้ย ว่าดลกับนะจะรักดูแลกัน”
“ครับคุณพ่อ” คุณกิตติก้มหน้าลงไหล่ไหวสะท้านด้วยแรงสะอื้น สะเทือนใจเมื่อเห็นลูกพยายามพูดสั่งเสียกับลูกทั้งสอง ท่าทางอย่างนั้นทำให้รสรินต้องโอบไหล่ไว้ปลอบให้กำลังใจทั้งที่ตัวเอง พลอยน้ำตาซึมคลอไปด้วย
“นัน” รสนันท์ขยับเข้าไปหา เมื่อได้ยินคนเจ็บเรียกเสียงแผ่วเบา
“ฉันฝากนะด้วย ช่วยดูแลเขาด้วย”
“ค่ะคุณกฤต” รสนันท์รับปากทั้งน้ำตาซึมคลอ คนเจ็บพยักหน้านิดแววตา
พอใจ แล้วหันกลับไปหาลูกชายทั้งสอง
“พ่อรักลูกทั้งสองคนมาก เป็นเด็กดีเชื่อฟังแม่กับคุณปู่ ต่อไปจะไม่มีพ่อแล้ว ต้องดูแลกันและช่วยกันดูแลแม่ ถึงพ่อจะไม่ได้อยู่ด้วย แต่พ่อจะเฝ้าดูลูกสองคนเติบโตเป็นคนดี เป็นที่รักของทุกคน พ่อรักลูกนะรักมาก”
กฤตพยายามยิ้มกับลูกเป็นครั้งสุดท้ายยิ้มทั้งน้ำตา สายตากวาดช้า ๆ มองหน้าทุกคนดวงตาตาคู่นั้นค่อย ๆ ปิดลงแล้วแน่นิ่งไป พร้อมกับมือที่จับมือลูกอยู่ร่วงผล็อย เสียงเครื่องวัดชีพจรดังยาวขึ้น ภาพเส้นชีพจรกลายเป็นเส้นตรง บ่งบอกให้รู้ว่าคนเจ็บได้สิ้นใจแล้ว นายแพทย์รีบเข้ามาตรวจเช็คอาการของกฤต สักครู่เงยหน้าขึ้นส่ายหน้ากับทุกคน
“คุณพ่อ”
นภดลกับกฤษณะร้องไห้โฮ ร่างคุณกิตติสั่นไหวขึ้นอีกด้วยแรงสะอื้นเมื่อเห็นลูกชายสิ้นใจลงตรงหน้า
“คุณกฤต”
ร่างของนภัสสรเดินแกมวิ่งเข้ามาในห้องฉุกเฉิน พุ่งเข้ามากอดร่างสามีที่เพิ่งสิ้นใจ นอนแน่นิ่งไม่รับรู้อะไรอีก
“ไม่นะกฤต คุณจะทิ้งภัสกับลูกไปแบบนี้ไม่ได้ กลับมาก่อนกลับมา”
นภัสสรร้องโหยหวนร่ำไห้น้ำตาพรั่งพรูอาบแก้ม เมื่อรู้ว่าตัวเองมาช้าเกินไป ไม่ทันดูใจสามี เสียงร้องไห้ของนภัสสรกับลูกทั้งสองดังระงมห้องฉุกเฉิน เป็นภาพที่สะเทือนใจทุกคนที่อยู่ในห้อง บางคนพลอยน้ำตาซึมคลอไปด้วย
“คุณพ่อ”
กฤษณะกอดคอรสนันท์แน่น ซุกหน้ากับไหล่สะอื้นไห้อย่างน่าเวทนา ทำให้รสนันท์ปกติเป็นคนใจแข็งไม่ร้องไห้ง่าย ๆ ยังน้ำตาคลอ ได้แต่กอดร่างผอมบางไว้ปลอบประโลม