รุ่งอรุณตอนเช้าในคฤหาสน์
แสงแดดอ่อนๆลอดผ่านผ้าม่านผืนบาง หญิงสาวที่หลับไหลลืมตาตื่น เธอเริ่มต้นวันตามปกติด้วยการล้างหน้า ก่อนที่จะสวมชุดคลุมเรียบหรู แล้วเดินตรงไปที่หน้าต่าง
สนามฝึกด้านล่างเป็นสิ่งแรกที่เธอมองหา ดวงตาของเธอกวาดมองไปทั่วบริเวณ แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า—ไม่มีแม้แต่เงาของ อดีตคู่หมั้นของเธอเลยแม้แต่น้อย
เธอยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำ“จะต้องให้ฉันพูดอีกกี่ครั้งถึงจะทำตัวดีขึ้นเนี่ย...”น้ำเสียงของเธอเจือความเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองในทันที
อดีตคู่หมั้นของเธอ ที่ครั้งนึงเคยเป็นอัศวินผู้แข็งแกร่ง เปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรีและความสามารถ แต่หลังจากตระกูลล่มสลาย สถานะของเขาก็ถูกลดทอนลง นับแต่นั้น เขาก็แสดงให้เห็นด้านที่เธอไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น—ความเฉื่อยชา
“เมื่อก่อนยังออกมาซ้อมอยู่ตลอดแท้ๆ หลังๆมานี้ทำตัวขี้เกียจขึ้นสิน่ะ”เธอบ่นเบาๆพลางนึกย้อนถึงช่วงแรกๆที่เขาถูกลดสถานะเลง ตอนนั้นชายหนุ่มยังคงตื่นแต่เช้ามาฝึกดาบอยู่เสมอ แต่ช่วงหลังๆมานี้... เธอแทบไม่เห็นภาพนั้นอีกแล้ว
เธอเดินกลับมานั่งที่โต๊ะเล็กข้างเตียง หยิบปากกาและกระดาษขึ้นมา ก่อนจะเริ่มเขียนรายการที่ตั้งใจจะมอบหมายให้เขา ดวงตาของเธอฉายแววเย็นชา
“ทำความสะอาดคอกม้า... ซ่อมอุปกรณ์เก่า... ทำความสะอาดสนามฝึก...” เธอพึมพำขณะเขียน
“อย่างน้อยจะได้ไม่ปล่อยให้ร่างกายขึ้นสนิม…..ประมาณนี้กำลังดี”
เขียนเสร็จ เธอก็วางปากกาลงอย่างแรง เสียงดังนั้นทำให้สาวใช้คนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านกับสะดุ้ง
“ถ้าฉันไม่คอยดูแล ชีวิตนี้คงไม่มีวันทำอะไรได้ดีด้วยตัวเองเลยสิน่ะ” เธอพูดออกมาอย่างไม่สนใจใคร ก่อนที่สายตาจะหันกลับไปมองสนามฝึกอีกครั้ง ในใจเต็มไปด้วยความผิดหวังผสมกับความรู้สึกขุ่นเคือง
หลังจากนั้นเธอก็เรียกสาวใช้เข้ามา เธอยื่นกระดาษให้ไป พร้อมกับคำสั่งที่เฉียบขาดฃ
“เอาไปให้เซลวิน บอกเขาว่าฉันไม่ต้องการฟังข้ออ้างใดๆจากเขาทั้งนั้น ทำทั้งหมดนี้ซ่ะ”
สาวใช้พยักหน้ารับคำ รีบเดินออกไปจากห้องทันทีที่ได้รับคำสั่ง
ทันใดนั้น หัวหน้าคนรับใช้เดินเข้ามาในห้อง สีหน้าดูสุภาพแต่แฝงความรีบร้อน
“มาก็ดีแล้ว ฉันกำลังจะสั่งงาน” เธอกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่น “วันนี้ฉันต้องออกไปทำธุระที่เมืองหลวง กว่าจะกลับก็คงอีกหลายสัปดาห์ ระหว่างนี้ดูแลเซลวินให้ดีหล่ะ ถ้างานไม่เสร็จ ห้ามให้เขาพักเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
เมื่อพูดเสร็จ หญิงสาวก็หมุนตัวออกไปอย่างไม่ลังเล ความรู้สึกมั่นใจว่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนที่เธอวางไว้ ทำให้อารมณ์ของเธอดีขึ้นเล็กน้อบ
แต่เธอไม่รู้เลยว่า ทั้งกระดาษที่สาวใช้นำไปส่ง หรือคำสั่งที่ให้กับหัวหน้าคนรับใช้ จะไม่มีวันไปถึงอีก เพราะเขาไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว—เขาหนีไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความเงียบและความว่างเปล่าที่ดูเหมือนจะเย้ยหยันความพยายามควบคุมของเธอ
ณ อีกฝากนึง บทรถเกวียน
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา เมื่อแสงแดดยามเช้าส่องผ่านช่องเปิดของผ้าใบรถเกวียน แสงสว่างมันจ้าจนเขาต้องยกมือขึ้นบังตา แต่บรรยากาศตอนเช้า กลับทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
เขายัยตัวขึ้นจากกองฟางที่ใช้แทนที่นอน รู้สึกได้ถึงแรงโยกเบาๆของรถเกวียนที่เคลื่อนตัวไปตามถนนลูกรัง โชคดีที่เมื่อคืน เขาเจอกับพ่อค้าที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองอื่นอยู่พอดี พ่อค้าผู้นั้นใจดีพอที่จะยอมให้เขาติดรถมาด้วย โดยไม่ที่ไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทน
“ตื่นแล้วหรือพ่อหนุ่ม?” เสียงทุ้มต่ำของพ่อค้าดังมาจากเบื้องหน้ารถเกวียน ชายหนุ่มยิ้มจางๆแม้ยังรู้สึกเหนื่อยล้า
“ตื่นแล้วครับ ขอบคุณอีกครั้ง ที่ให้ผมติดรถมาด้วยน่ะครับ”
เขาตอบกลับไปด้วยความรู้สึกขอบคุณที่เต็มเปี่ยม พ่อค้าที่เหลียวหลังมองอยู่ ก็ยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น
“ไม่เป็นไรหรอก การมีคนร่วมทางเพิ่ม ก็มีแต่จะทำให้เราปลอดภัยมากขึ้น ต้องขอบคุณเธอมากกว่า ที่ยอมเดินทางมาด้วย”พ่อค้าพูดเสร็จ ก็สังเกตุถึงท่าทางของเขาที่ยังคงอ่อนล้า ก่อนจะรีบพูดต่อ
“ท่าทางของเธอยังดูเหนื่อยๆอยู่น่ะ ตอนนี้เรายังอยู่ในเขตปลอดภัย พักเอาแรงสักหน่อยเถอะ ถึงเวลาเปลี่ยนกะเดี่ยวจะเรียกให้เอง”
“ขอบคุณครับ ผมขอรับน้ำใจไว้ล่ะกัน”หลังจากที่ชายหนุ่มพูดเสร็จ พ่อค้าก็หันไปคุยกับคนที่ขับเกวียนข้างๆต่อ ชายหนุ่มทอดสายตามองทุ่งหญ้าสีเขียวที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาผ่านช่องวางของผ้าใบ
ลมอ่อนๆ พัดผ่านผืนหญ้าไหวเอนราวกับจะกล่อมโลกให้สงบเงียบ เขาสูดลมหายใจลึก กลิ่นของอิสระปนมากับความว่างเปล่าที่แผ่ซ่านไปทั้งร่าง
“ออกมาแล้วจริงๆสิน่ะ…” เขาคิดในใจ ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เขาดิ้นรนพยายามกอบกู้ชื่อเสียง เกียรติยศ และทุกอย่างที่เคยเป็นของครอบครัวกลับมา แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ ก็ยิ่งพบเพียงแต่ความผิดหวัง แม้กระทั่งสายสัมพันธ์ที่เคยมีในอดีตก็ถูกเจอจางลง จนเหลือแต่ความเย็นชาที่มีให้
แต่ในเวลานี้ ทุกอย่างได้ถูกปล่อยวางลงแล้ว ความรู้สึกหนักอึ้งที่แบกเอาไว้ตลอดก็หายไป โลกที่เคยดูคับแคบกลับกว้างใหญ่ขึ้นอย่างน่าประหลาด แม้จะไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนอีกต่อไปแล้ว
เสียงหัวเราะเบาๆ หลุดออกจากลำคอของเขา มันเจือไปด้วยความรู้สึกขมขื่น แต่กลับเบาสบายราวกับได้ปลดปล่อยพันธนาการที่ค้างคา
“อิสรภาพนี้มัน…ดีชะมัด” เขาพึมพำกับตัวเอง เสียงแผ่วเบาที่ถูกกลืนหายไปกับสายลมรอบตัว ราวกับคำพูดนั้นได้ปลดโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นออกจากหัวใจ
รถเกวียนที่เขานั่งอยู่สั่นสะเทือนเบาๆตามแรงเคลื่อนที่ เสียงล้อไม้บดกับพื้นดินดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ สอดประสานกับเสียงม้าหอบหายใจหนักๆ
ขบวนรถเกวียนหลายคันกำลังมุ่งหน้าไปทางตอนใต้ สู่เมืองริมทะเลที่เต็มไปด้วยความคึกคักและผู้คนหลากหลาย แม้มันจะดูเหมือนสถานที่สงบ แต่ระยะทางกว่า 10 วันทำให้การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลายาวนาน
ชายหนุ่มนั่งพิงกองฟางในเกวียน ปล่อยตัวเองให้เคลื่อนไปกับจังหวะของรถเกวียน ทิวทัศน์รอบตัวค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ จากป่าโปร่งสู่ทุ่งหญ้า ไกลออกไปมีเงาของเทือกเขาขนาดใหญ่ ที่ทอดยาวปรากฏลางๆ ราวกับเป็นภาพเขียนที่จิตรกรค่อยๆแต่งแต้มขึ้นมา
เขาหลับตาลงชั่วครู่ นึกถึงชีวิตใหม่ที่กำลังรออยู่เบื้องหน้า แต่มันก็ยังคลุมเครืออยู่
“แล้วต่อจากนี้จะทำอะไรดี?” เขาถามตัวเองในใจ
ชายหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเอง เขาไม่ใช่คนที่มีความสามารถโดดเด่นอะไร ไม่มีทรัพย์สินหรือสิ่งที่เรียกว่าความมั่นคั่ง มีเพียงแค่ความตั้งใจที่จะสร้างชีวิตใหม่ พร้อมกับเงินจำนวนเล็กน้อย ที่เขาได้จากการแอบไปทำงานในเมืองเท่านั้น
“บางที..อาจจะลองทำงานกับพวกพ่อค้า หรือหางานในเมืองดู” เขาคิดพลางปัดเศษฟางออกจากเสื้อ
“หรือไม่ก็เปิดร้านเล็กๆ ขายเนื้อย่างก็ดูไม่เลวเหมือนกัน”
ชายหนุ่มวาดฝันถึงอนาคตอันไกล ที่ทางเลือกของเขาถูกเปิดกว้างขึ้น พลางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ดูเหมือนจะกว้างใหญ่ไม่สิ้นสุด
“ช่างมันเถอะ” เขาพูดกับตัวเองเบาๆ พร้อมรอยยิ้มจางๆ “ไว้ถึงเมืองก่อน ค่อยว่ากันอีกที่ล่ะกัน”
ขบวนรถเกวียนยังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ผ่านทิวเขาและทุ่งหญ้าเข้าสู่เส้นทางใหม่ที่เขาไม่เคยรู้จัก ความอิสระและความหวังสำหรับอนาคตกำลังรออยู่ และสำหรับตอนนี้ ชายหนุ่มพึงพอใจกับช่วงเวลาที่เขาได้ผันผ่อนย่างเต็มที่ หลังจากไม่ได้ทำมานาน ท่ามกลางอากาศสดชื่นและการเดินทางที่ไม่มีใครคอยบงการเขาอีกต่อไป