คลื่นคำรามแห่งความพินาศ

1335 Words
เสียงคลื่นที่เคยไหลเอื่อยกลายเป็นเสียงคำรามก้องของทะเลที่บ้าคลั่ง ลมพายุพัดกระหน่ำจนใบเรือแทบขาดเป็นชิ้น เสากระโดงส่งเสียงลั่นประหนึ่งจะหักสะบั้นลงได้ทุกเมื่อ ลูกเรือบนดาดฟ้าวิ่งวุ่นพยายามยึดเชือกและควบคุมเรือไม่ให้พลิกคว่ำ เม็ดฝนที่กระหน่ำลงมาเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงผิวหนัง ท้องฟ้าสีดำทะมึนตัดกับแสงฟ้าผ่าที่วูบวาบ ทุกครั้งที่แสงปรากฏ มันเผยให้เห็นใบหน้าของลูกเรือที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง “เร็วเข้า! ดึงเชือกให้แน่น!” กัปตันหญิงตะโกนลั่น แข่งกับเสียงฟ้าผ่าที่ดังสนั่นเป็นระยะ เธอยืนอยู่กลางดาดฟ้าพร้อมกับมือที่ชี้นำทุกคนอย่างมั่นคง ขณะที่ทุกอย่างกำลังตกอยู่ในสถานการณ์วุ่ยวาย ชายหนุ่มจับราวเรือแน่นจนมือซีด ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบๆ เห็นคลื่นยักษ์ลูกแล้วลูกเล่าพุ่งเข้าหาเรือ ดาดฟ้าที่เปียกชุ่มทำให้ทุกย่างก้าวลื่นไถลจนแทบจะยืนไม่อยู่ หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก ความกลัวและความหวังถูกบีบคั้นจนแทบจะขาดอากาศหายใจ ขณะที่เรือโคลงเคลงไปตามคลื่นยักษ์ แม้จะผ่านการเดินทางมาหลายวันแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ดวงตาของเขาสอดส่องไปยังลูกเรือคนอื่นที่พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาเรือลำนี้ให้ลอยต่อไปได้ ในความวุ่นวายนั้น เสียงร้องไห้ของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังก้องขึ้นท่ามกลางเสียงพายุ เขาเป็นลูกเรือใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงาน ชายหนุ่มเห็นเขานั่งกอดหัวเข่าอยู่มุมหนึ่ง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว หัวใจของเขากระตุกวูบ แต่ก่อนที่เขาจะก้าวไปช่วย เสียงฟ้าผ่าดังลั่นอีกครั้ง และคลื่นยักษ์ลูกใหม่ก็ซัดเรืออย่างรุนแรงจนทุกคนต้องเกาะยึดสิ่งรอบตัวเอาไว้ “เซลวิน! มานี่เร็ว!” เสียงเรียกของกัปตันทำให้เขารีบพุ่งตัวไปหาเธอ หญิงสาวชี้ไปที่เชือกที่หลุดลุ่ยจากมุมเรือ “จับมันไว้! ถ้ามันหลุด เราจะจบเห่แน่!” เขารีบหันความสนใจไปทิศที่เธอบอก เชือกเส้นนั้นกำลังจะหลุดลอยไปไกล เห็นดังนั้น เขาจึงกระโจนเข้าไปคว้าเชือกด้วยสองมือ แม้สายฝนที่กระหน่ำลงมาจะทำให้มือของเขาเปียกลื่นจนเกือบจับไม่อยู่ แต่เขากัดฟันพยายามสุดกำลัง คลื่นลูกใหญ่ซัดเข้ามา ทำให้เขาเกือบถูกซัดตกน้ำ แต่โชคดีที่เขาเกาะเชือกเส้นนั้นเอาไว้ เรือคาราวานลำอื่นที่เคยแล่นไปพร้อมกันในตอนเริ่มต้น บัดนี้หายไปในความมืดของท้องทะเล เสียงไม้แตกและเสียงกรีดร้องจากระยะไกลบ่งบอกว่าพวกมันคงไม่รอด บางครั้งแสงฟ้าผ่าก็เผยให้เห็นเงาของเรือที่กำลังจมและผู้คนที่ตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ แต่มันก็หายไปในความมืดมิดอย่างรวดเร็ว เชาหนุ่มมองไปที่ขอบเรือ ตรงที่ ที่เขาเห็นเด็กหนุ่มคนนั้น เด็กหนุ่มพยายามตะเกียกตะกายเกาะราวเรือ แต่คลื่นยักษ์ซัดร่างเด็กหนุ่มคนนั้นหลุดออกไปต่อหน้าต่อตา เขาพยายามยื่นมือออกไปช่วย แต่ไม่ทันการ เสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มคนนั้นจมหายไปกับเสียงคำรามของทะเล หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบรัด ก่อนจะหันมาจับเชือกที่เขารับผิดชอบไว้แน่น เพื่อปกป้องเรือลำนี้ ที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ “อย่ามัวแต่เสียใจกับคนที่เราช่วยเอาไว้ไม่ได้!” เสียงของกัปตันตวาดก้อง ฝ่าคำรามของทะเล ดวงตาเธอเย็นชาแต่เฉียบคม ราวกับจะฝังคำพูดนั้นเข้าไปในจิตใจของทุกคน “ถ้าพวกแกยังอยากจะรอด ก็จับสิ่งที่ทำไว้ให้แน่น ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด!” คำพูดนั้นฟาดลงมาเหมือนคลื่นที่ไม่มีวันหยุด มันกระชากความลังเลของเขาออกไปจนหมดสิ้น ก่อนที่เขาจะตั้งสติและหันกลับมาจับเชือกในมือแน่นอีกครั้ง เสียงคลื่นคำรามดังขึ้นเรื่อยๆ แรงลมเหมือนจะฉีกทุกสิ่งให้กระจุย เสากระโดงกลางเรือเริ่มโยกคลอนจนลูกเรือบางคนต้องปีนขึ้นไปซ่อมแซมด้วยความเสี่ยง ทุกการก้าวย่างอาจหมายถึงความตาย แต่พวกเขาไม่มีทางเลือก หากอยากจะมีชีวิตรอดต่อไป ทันใดนั้นเอง เสียงคำรามที่ไม่ใช่เสียงคลื่นหรือเสียงพายุที่ดังขึ้นจากที่ไกลลิบ เป็นเสียงที่ชวนให้ขนลุกและเยือกเย็นไปถึงกระดูก เสียงนั้นไม่ใช่เสียงธรรมชาติที่คุ้นเคย แต่คือเสียงของบางสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกนี้ เสียงที่บีบรัดจิตใจจนแทบจะทำให้หัวใจหยุดเต้น ลูกเรือทุกคนต่างชะงักค้าง ความเงียบเกิดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย ขณะที่คลื่นยักษ์โหมกระหน่ำเหมือนทะเลกำลังปะทุจากบางสิ่งที่ไม่อาจคาดเดา ท้องฟ้ามืดครึ้มบดบังแสงจันทร์ เงาขนาดมหึมาคลืบคลานขึ้นมาจากใต้ผิวน้ำ มันใหญ่โตเสียจนยากจะเชื่อว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต ลำตัวที่ยาวไร้ที่สิ้นสุดถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสีเขียวเข้มและดำสนิท สะท้อนประกายเหมือนอัญมณีมืดต้องแสงจากฟ้าแลบ ครีบของมันขยายออกทั้งสองข้างเหมือนใบมีดอันแหลมคมที่สามารถกรีดทุกสิ่งให้ขาดสะบั้นได้ในชั่วพริบตา สิ่งที่ทำให้ทุกคนบนเรือหวาดกลัวจนแทบจะสิ้นสติไม่ใช่ขนาดของมัน แต่คือดวงตาคู่นั้น ดวงตาที่ส่องแสงสีทองอันเย็นเยียบเหมือนเปลวไฟที่ไม่มีวันมอด ดวงตาที่มองลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเหยื่อราวกับกำลังตัดสินว่าควรมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ มันไม่มีความเมตตา ไม่มีความลังเล มีเพียงความความเกรี้ยวกราดที่ไร้ขอบเขต ราวกับพวกเขาได้ทำสิ่งที่มันไม่อาจให้อภัย “ลีเวียธาน…” เสียงลูกเรือคนหนึ่งพึมพำออกมาทั้งที่ริมฝีปากสั่นระริก ดวงตาของเขาเบิกกว้างจากความหวาดกลัวจนแทบไม่มีสีหลงเหลืออยู่บนใบหน้า “ไม่จริง… มันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะมีอยู่บนโลกนี้…” คำพูดนั้นเหมือนสายลมที่พัดผ่าน แต่ไม่มีใครเถียง ไม่มีใครปฏิเสธ ทุกสายตาจับจ้องไปยังสัตว์อสูรขนาดมหึมาที่กำลังยืดตัวขึ้นจากทะเล มันคำรามอีกครั้ง คราวนี้เสียงของมันก้องไปทั่วบริเวณจนเหมือนทั้งโลกกำลังสั่นสะเทือน หางของมันโผล่ขึ้นเหนือน้ำก่อนจะสะบัดลงอย่างรุนแรง คลื่นขนาดมหึมาซัดเข้าหาเรือจนทุกคนล้มกลิ้ง เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากทุกทิศทาง “ทุกคน! เกาะไว้ให้แน่น! อย่าตื่นตระหนก!” กัปตันตะโกนพยายามควบคุมสถานการณ์ แต่ไม่มีใครฟัง ทุกคนมองเห็นความจริงตรงหน้าว่าพวกเขาไม่มีทางหนีรอดไปได้ หางของมันสะบัดอีกครั้ง คราวนี้ลงสู่เรือโดยตรง เสียงไม้แตกหักดังสนั่นพร้อมกับตัวเรือที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เศษไม้กระจัดกระจายไปทั่ว คลื่นยักษ์ที่เกิดจากแรงปะทะซัดทุกสิ่งทุกอย่างลงทะเล เสากระโดงเรือหักล้มครืนพร้อมกับใบเรือที่ถูกฉีกกระชากจนขาดวิ่น ชิ้นส่วนของเรือที่เคยเป็นที่พักพิงลอยกระจัดกระจายอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่นที่โหมกระหน่ำไม่หยุดยั้ง ในวันนั้นเอง เส้นทางการค้าระหว่างสองทวีปที่ผ่านกลางมหาสมุทรต้องหยุดชะงักลง สิ่งที่เคยเป็นเส้นทางแห่งความรุ่งเรืองกลับกลายเป็นหลุมศพของนักเดินเรือ สัตว์อสูรร้ายในตำนานปรากฏขึ้นอีกครั้งหลังจากหายสาบสูญไปนานนับพันปี มีเพียงแต่ผู้ที่ไม่ทันล่องเรือเข้าไปในน่านน้ำของมันเท่านั้น ที่ถือว่าโชคดี และ สามารถรอดกลับมาบอกเล่าถึงความน่าสะพรึงกลัวของมันได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD