รอยร้าวแห่งเกียรติยศ

1920 Words
แสงแรกของวันสาดส่องลงบนชายหาดที่เงียบสงบ คลื่นทะเลซัดเอื่อยๆ สัมผัสผืนทรายราวกับต้องการปลอบโยนผู้ที่ถูกพัดพามาเกยตื้น ลมยามเช้าพัดเอากลิ่นไอทะเลคละคลุ้งไปทั่ว เสียงนกนางนวลลอยล่องอยู่เบื้องบน ทว่าความเงียบสงบของเช้าวันนี้ถูกทำลายลงด้วยเสียงร้องของชายชรา “เฮ้ย! มีคนรอดชีวิตมาเกยตื้น!” ชาวประมงวัยกลางคนที่เดินเลาะชายหาดเพื่อเก็บหอยและเศษไม้รีบตะโกนเรียกผู้คนในหมู่บ้าน ไม่นานนัก ชาวบ้านหลายคนต่างพากันวิ่งมาตามเสียงเรียก ก่อนที่สายตาของพวกเขาจะจับจ้องไปยังร่างของผู้รอดชีวิตสามคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนผืนทราย ร่างแรกเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผิวหนังเต็มไปด้วยบาดแผลเก่าใหม่ปะปนกัน ทว่าในมือของเขายังคงกำดาบเก่าคร่ำคร่าราวกับสัญชาตญาณสั่งให้ไม่ปล่อยมัน แม้ว่าเขาจะหมดสติไปแล้วก็ตาม ร่างที่สองคือชายวัยกลางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของคนร่ำรวย แต่บัดนี้ฉีกขาดและเปรอะเปื้อนโคลนจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ ใบหน้าของเขาซีดเซียว ดูเหมือนจะเป็นพ่อค้าหรือขุนนางจากที่ใดที่หนึ่ง ส่วนร่างสุดท้ายคือหญิงสาวในชุดกัปตันเรือ แม้เปียกโชกไปทั้งตัวและมีร่องรอยความเหนื่อยล้าบนใบหน้า แต่ท่าทางของเธอกลับดูสงบอย่างประหลาด “รีบพาพวกเขากลับไปหมู่บ้านก่อนเถอะ!” เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางหมู่ชาวบ้านที่พากันช่วยพยุงร่างของทั้งสามขึ้นจากหาดทราย อากาศยามเช้าเย็นเฉียบ แต่เหงื่อไหลซึมบนแผ่นหลังของคนที่ออกแรงแบกร่างหมดสติไปตามเส้นทางที่ทอดยาวเข้าสู่หมู่บ้านเล็ก ๆ ริมชายฝั่ง ภายในกระท่อมหลังหนึ่ง หญิงชราผู้เป็นหมอประจำหมู่บ้านเริ่มต้นตรวจดูอาการของทั้งสามคน แสงจากตะเกียงส่องกระทบกับรอยแผลและร่องรอยการต่อสู้ที่ยังหลงเหลืออยู่บนร่างกายของชายหนุ่มเป็นพิเศษ “พวกเขารอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์…” หญิงชราพึมพำขณะใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาดบาดแผลของชายหนุ่มเป็นลำดับแรก “แต่พวกเขาต้องการพักผ่อน อาหาร และเวลาฟื้นตัว” เธอมองไปยังอีกสองร่างที่ยังคงแน่นิ่งอยู่บนฟูก หญิงสาวในชุดกัปตันขยับนิ้วเล็กน้อยราวกับจิตสำนึกเริ่มกลับคืนมา ส่วนชายวัยกลางคนยังคงไร้การตอบสนอง เสียงลมหายใจของพวกเขาหนักเบาสลับกันไปตามสภาพร่างกายที่อ่อนแรงจากการเอาชีวิตรอด ภายนอก กระแสลมทะเลยังคงพัดเอื่อยๆ เหมือนเป็นพยานให้กับเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมา สัตว์ร้ายในตำนานได้ตื่นขึ้น พายุโหมกระหน่ำ เรือล่มกลางมหาสมุทร ที่ได้พรากชีวิตของผู้คนไปมากมาย ทว่าอย่างน้อยในวันนี้ มีสามคนที่รอดมาได้...พร้อมกับคำถามมากมายที่ยังไร้คำตอบ ในความฝัน เขายืนอยู่บนซากเรือที่แตกสลาย เสียงคลื่นคำรามดังกึกก้องผสานกับเสียงลมกรรโชกที่โหยหวน พายุถาโถมใส่ทะเลอย่างบ้าคลั่ง ท้องฟ้าดำครึ้มราวกับถูกปิดตายด้วยผืนผ้าสีหมึก แรงกระแทกของคลื่นทำให้ซากเรือโยกโคลงไปมา เซลวินกัดฟันแน่น แขนทั้งสองข้างของเขากอดรัดเศษซากไม้ที่ลอยอยู่กลางมหาสมุทร—มันคือเสากระโดงเรือที่แตกหัก ชิ้นส่วนสุดท้ายที่เขายังเชื่อว่าสามารถพยุงชีวิตเขาไว้ได้ ร่างของกัปตันหญิงและพ่อค้าผู้ว่าจ้างถูกมัดไว้บนแผ่นหลังของเขา เขาเป็นคนมัดพวกเขาติดไว้กับตัวเองตอนที่ตกทะเล ตอนนี้พวกเขาหมดสติ เหลือเพียงเขาที่ยังมีสติอยู่ แต่ละคลื่นที่กระแทกเข้ามาทำให้เขารู้สึกเหมือนแผ่นหลังจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ น้ำหนักของพวกเขากดทับร่างเขาลงไปทุกขณะ ราวกับแบกรับภาระที่หนักมากขึ้นเรื่อยๆ แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้จิตใจเขาแหลกสลาย มันคือเสียง… "ช่วยด้วย!" เด็กหนุ่มคนนั้น… เด็กที่ขึ้นเรือมากับเขาเป็นครั้งแรก เขาอยู่ห่างออกไปเพียงแค่เอื้อมมือเดียว ดวงตาสีเข้มเบิกกว้าง มือเปียกชุ่มน้ำของเด็กคนนั้นตะเกียกตะกายพยายามไขว่คว้า "ช่วยข้าด้วย!" ชายหนุ่มรู้ดีว่าถ้าเพียงเขายื่นมือออกไปอีกนิด เขาอาจคว้าตัวเด็กคนนั้นไว้ได้ แต่เขาไม่สามารถปล่อยมือจากซากเรือได้ เพราะหากเขาปล่อยมือไปสักข้างล่ะก็ พวกเขาทั้งสามคนได้ถูกพลัดหายไปแน่ๆ เขาจึงนิ่งเฉยอยู่ตรงนั้น ราวกับถูกโซ่ล่องหนพันธนาการเอาไว้ ดวงตาของเด็กหนุ่มเปลี่ยนจากความหวังเป็นความสิ้นหวัง ริมฝีปากของเขาขยับ แต่ไม่มีคำพูดใดดังออกมา ก่อนที่ร่างของเขาจะจมหายไปใต้เงาของคลื่นยักษ์ เซลวินหลับตาลง ขบกรามแน่น เสียงตะโกนของลูกเรือคนอื่นดังขึ้นอีก พวกเขากำลังถูกซัดออกไปทีละคน ทีละคน มือของเขาสั่น เขาอยากจะช่วยเหลือพวกเขาทุกคน แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้ เขาในตอนนี้ช่างดูอ่อนแอ และ ไร้พลังเหลือเกิน "บัดซบ!" มือทั้งสองข้างของเขาจับซากเรือไว้แน่น เลือดไหลซึมออกมาตามร่องนิ้ว น้ำทะเลเค็มแสบกัดกินไปทั่วร่าง ทุกความพยายามของเขากลับไร้ความหมาย ไม่มีความกล้าแม้แต่จะมองดูพวกเขาด้วยซ้ำ "เซลวิน!" เสียงของลูกเรืออีกคนดังขึ้นอีก แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่เบือนหน้าหนี ทำเป็นมองไม่เห็นหรือได้ยินเสียงใดๆ ก่อนที่ร่างนั้นถูกคลื่นซัดกระแทกโดนเสากระโดงเรือที่เขาจับเอาไว้ เสียงกระดูกหักดังก้องก่อนที่ร่างนั้นจะไหลไปตามคลื่น หายลับไปใต้ผิวน้ำ อีกคนหนึ่งพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาบนซากไม้ แต่คลื่นอีกลูกหนึ่งก็กระแทกเขาออกไป ชายหนุ่มมองเห็นสีหน้าของชายคนนั้นในวินาทีสุดท้ายได้อย่างชัดเจน—ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและปากที่ขยับราวกับกำลังสาปแช่งเขา เขากัดฟันแน่น นิ้วแทบจะจิกทะลุเข้าไปที่ผิวไม้ ไม่ว่าเขาจะเคยผ่านการต่อสู้มากี่ครั้ง ฝึกฝนหนักเพียงใด หรือเคยแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่มาแค่ไหน ในคืนนี้เขาไม่มีพลังอะไรเลย เขาทำอะไรไม่ได้เลย เสียงคำรามของพายุค่อย ๆ จางหายไป ราวกับถูกกลืนกินโดยความเงียบงันอันเย็นยะเยือก เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ท้องทะเลอีกต่อไป เขายืนอยู่ในโถงกว้างของคฤหาสน์หลังเก่า ม่านกำมะหยี่สีเลือดแหวกออกเพียงเล็กน้อย เผยให้เห็นดวงจันทร์ซีดเผือดที่ทอดแสงลงมาผ่านหน้าต่างกระจกสี ฝุ่นฟุ้งกระจายเมื่อเขาก้าวเดิน พื้นไม้ใต้ฝ่าเท้าของเขาดูเหมือนจะสั่นสะเทือน ราวกับกำลังหอบหายใจจากบาดแผลที่กาลเวลาทิ้งไว้ คราบเลือดแห้งกรังเป็นร่องรอยของบางสิ่งที่ไม่ควรถูกลืมเลือน เบื้องหน้าของเขาคือภาพวาดขนาดใหญ่ของบุรุษผู้เป็นรากฐานแห่งตระกูล ใบหน้าของผู้ก่อตั้งถูกวาดขึ้นด้วยลายพู่กันที่แฝงไปด้วยความสง่างามและอำนาจ แม้เพียงเป็นภาพวาด ความเย็นเยียบจากสายตาของเขาก็แล่นผ่านผิวหนังของเซลวินจนขนลุกชัน แต่บางอย่างผิดปกติ ดวงตาของบุรุษในภาพเคลื่อนไหว พวกมันจับจ้องมาที่เขาโดยตรง ไม่ใช่เพียงภาพวาดอีกต่อไป หากแต่เป็นการจ้องมองของผู้ที่มีชีวิตจริง ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา... และความดูถูก "น่าสมเพช" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากความว่างเปล่า มันไม่ได้มาแค่เสียง แต่มีแรงกดดันอันหนักอึ้งที่ทำให้โถงทั้งห้องสั่นสะเทือน เงาในภาพวาดเริ่มไหลรินลงสู่พื้น ผสานรวมกันเป็นร่างของชายผู้หนึ่ง ก้าวเดินออกมาจากผืนผ้าใบอย่างสง่างาม ทุกย่างก้าวของเขาดูราวกับจะกระชากอากาศในห้องจนแทบไม่มีอากาศให้หายใจ เซลวินถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ชายผู้นั้น—บรรพบุรุษของเขาในเนื้อหนังและเลือด เกราะสีดำขลับของเขากรีดผ่านแสงจากเชิงเทียนราวกับกลืนกินมัน ดาบเล่มใหญ่ที่สะพายอยู่ด้านหลังเปล่งประกายเงียบงัน ทว่ามิใช่สิ่งเหล่านั้นที่ทำให้หัวใจของชายหนุ่มต้องบีบรัด มันคือรอยยิ้มของเขา—รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความดูแคลน "เจ้าคือทายาทของข้าอย่างนั้นหรือ?" เสียงของเขาหนักแน่น ทุกถ้อยคำแฝงไปด้วยพลังที่ไม่อาจโต้แย้งได้ "ข้าตั้งตระกูลนี้ขึ้นมา หวังเพียงให้เกียรติและศักดิ์ศรี รวมถึงความรุ่งโรจน์ของพวกเราถูกส่งทอดต่อไปในเรื่อยๆในอนาคต แต่ดูเจ้าในยามนี้สิ" เขาก้าวเข้ามาใกล้อีก สายตาของเขาฉายแววเย้ยหยัน "อัศวินที่จับดาบแน่น... แต่กลับไม่มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความตาย" มือของชายหนุ่มกำแน่นโดยไม่รู้ตัว จนเขาตระหนักได้ถึงสิ่งนึง ดาบเก่าที่ควรจะจมหายไปในทะเลกลับมาอยู่ในมือของเขา ความเย็นเฉียบของโลหะซึมซาบเข้าสู่ผิวหนัง ราวกับเตือนให้เขารู้ว่าไม่มีสิ่งใดหนีพ้น "ข้าทำทุกอย่างที่ทำได้แล้ว..." เขาพึมพำ เสียงของเขาสั่นเครือ บรรพบุรุษของเขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยื่นมือออกไป ทันใดนั้น ทุกสิ่งรอบตัวกลับเปลี่ยนไปอีกครั้ง เสียงของทะเลคำรามก้องขึ้นจากทุกทิศ ร่างของเด็กหนุ่มที่เคยเห็นจมลงไปในความมืด ลูกเรือที่กรีดร้องขอความช่วยเหลือ มือมากมายที่เอื้อมมาหาเขา—แต่เขากลับคว้าไว้ไม่ได้ เสียงตะโกนเหล่านั้นก้องสะท้อนอยู่ในอากาศ เสียงของผู้คนที่เขาไม่อาจช่วยไว้ได้ เสียงที่ติดตรึงอยู่ในหัวใจของเขาไม่เสื่อมคลาย "เจ้าคือสายเลือดของข้า... แต่เกียรติของตระกูลกลับถูกทำลาย เพียงเพราะเจ้าขี้ขลาดเกินกว่าที่จะสู้กับมันด้วยซ้ำ" ความมืดเคลื่อนไหว เงาของสัตว์ร้ายในตำนานเผยร่างออกมาอีกครั้ง สูงใหญ่ราวหอคอย แสงไฟจากดวงตาของมันเหมือนจะเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างจนมอดไหม้ ความสิ้นหวังเกาะกุมหัวใจของเขาอย่างไม่อาจหลีกหนีอีกครั้ง ดวงตาของบรรพบุรุษของเขาหยุดอยู่ที่เขาอีกครั้ง เยือกเย็น ไร้ความปรานี "จงนอนต่อไปเถิด อัศวินที่ไร้ความสามารถ" เสียงของเขาดังขึ้น เสียดแทงลึกลงไปถึงกระดูก "ต่อจากนี้ เจ้าไม่ใช่ลูกหลานของข้าอีกต่อไปแล้ว" เขาหันหลังกลับ เดินกลับเข้าไปในภาพวาดโดยไม่สนใจเสียงร้องของชายหนุ่มที่พยายามจะยื่นมือออกไปไขว่คว้า แต่ก่อนที่ปลายนิ้วของเขาจะสัมผัสได้ถึงอะไร ทุกสิ่งรอบตัวกลับมืดลง แล้วเขาก็สะดุ้งตื่น ลมหายใจของเขาหอบถี่ หยาดเหงื่อเย็นเยียบไหลรินจากหน้าผากสู่ลำคอ แต่ไม่มีสิ่งใดหนาวเหน็บไปกว่าความจริงที่ตอกย้ำอยู่ในใจของเขา— ความจริงที่ว่าเขาไร้พลังเพียงใด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD