“เธอได้ยินข่าวรึยัง?”
เสียงกระซิบดังขึ้นในร้านขนมปังซึ่งมักเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของแม่บ้าน แต่เช้านี้ กลับมีแต่ความเงียบงันตึงเครียดราวกับพายุจะมา หญิงสาวสองคนยืนต่อคิวอยู่ใกล้ตะกร้าขนมปังอบใหม่ แต่ไม่มีใครสนใจกลิ่นหอมกรุ่นเหล่านั้นอีกต่อไป
“เรื่อง ไอ้คุณชายจากตระกูลทรยศ นั่นน่ะเหรอ?” อีกคนตอบทันทีด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยรังเกียจ
“นังคนใช้ที่บ้านฉันเล่าว่า เขาหายตัวไปจากคฤหาสน์กลางดึกเลยนะ ทั้งที่คุณหนูแคทลีนก็อุตส่าห์เลี้ยงไว้เป็นอย่างดี พยายามดึงขึ้นมาจากดินจากโคลน พอถึงเวลากลับตอบแทนด้วยการ หนีหาย อย่างกับคนขี้ขลาด!”
“แย่ยิ่งกว่านั้นอีกเถอะ! ไอ้นี่สิ! อยู่กินกับตระกูลคู่หมั้นของตัวเอง พอมีโอกาสพิสูจน์ความจริง ก็ถอยหลังกลับลำ ทิ้งคุณหนูเขาไว้ให้เป็นขี้ปากชาวบ้าน!”
หญิงอีกคนยกมือขึ้นกอดอกแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์
“เขาว่ากันว่า...คืนก่อนจะหายตัวไป มีคนเห็นเขาแอบคุยกับชายแปลกหน้าสองคนตรงท่ารถใต้ดินฝั่งตะวันตกของเมือง แล้วก็หายเงียบ! นี่มันไม่ใช่บังเอิญแล้ว! มันคือ การวางแผนหลบหนี ชัดๆ!”
“ใช่! แล้วคนในตลาดตอนนี้ก็พูดกันว่า ไอ้คุณชายบ้านั่น อาจจะเป็นสายลับให้พวกประเทศอื่นก็ได้!”
“สายลับเหรอ?” อีกคนทำตาโต ก่อนจะส่ายหน้าแรงๆ
“ไม่น่าแปลกใจหรอก! เลือดมันก็สีเดียวกันกับพ่อแม่มันที่หนีออกนอกประเทศไปเมื่อสี่ปีก่อนนั่นแหละ รู้ไหม? เมื่อสิบปีก่อน ตอนที่ประเทศต่างๆร่วมมือกันทำลายประเทศของเจ้าราชาคลั่งนั่น —แล้วอยู่ๆ ข้อมูลกำลังรบของเราก็รั่วไหล ทำให้มีคนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก!”
เธอเว้นจังหวะก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงต่ำแต่เย็นเยียบ
“ใครล่ะจะเป็นคนทำ... ถ้าไม่ใช่พวกมัน? ดูตอนนี้สิ ตอนลำบากก็หนี พอมีโอกาสก็หักหลัง คนอย่างพวกมันไว้ใจไม่ได้หรอก!”
“ตอนนี้พระราชากำลังคัดเลือกผู้ถือครอง ดาบผู้พิทักษ์ คนใหม่ แต่คนมันก็คุยกันให้แซ่ดว่า จริงๆแล้ว ตำนานที่ว่า แค่คนในตระกูลนั่นเท่านั้นที่จะดึงดาบขึ้นได้ เป็นเรื่องโกหก!”
เสียงขุ่นของเธอเริ่มดังขึ้นจนคนในร้านเริ่มเหลียวมอง
อีกคนพยักหน้า แต่สีหน้ากลับเคร่งเครียด
“แต่นี่ก็น่ากลัวนะ... เห็นว่าองค์ชายที่สามจะเป็นผู้ทดสอบคนแรกที่จะถือครองดาบเอง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง... ทั้งทวีปได้เกิดสงครามแน่ๆ”
“ก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ!” เธอสวนทันควัน “พวกเราต้องขายข้าวให้ประเทศพวกนั้นต่ำกว่าราคาตลาดตั้ง 30 เปอร์เซ็นต์! ทุกปี! ถ้าไม่มีสนธิสัญญาบ้าๆ นั่น ประเทศพวกเราคงไม่ต้องทนขาดรายได้ให้พวกมันตลอดหรอก”
“แล้วพอเราจะไม่ส่งข้าวตามโควตาให้แค่รอบเดียว พวกมันก็ขู่จะส่งกองกำลังมา ‘ตรวจสอบ’ สนธิสัญญา — ใครให้สิทธิ์พวกมัน?! ไอ้พวกไม่รู้จักบุญคุณ!”
หญิงสาวทั้งสองสบตากันก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ในเวลาที่ประเทศกำลังจะลุกเป็นไฟแบบนี้ เรากลับมี คนที่เกิดบนผืนดินของเราเอง คิดทรยศลับหลัง ไม่ต่างอะไรกับงูเห่า... พวกมันไม่สมควรได้รับความเมตตา”
เสียงสนทนาจากหน้าร้านลอดเข้ามาได้แม้มีประตูไม้เก่ากั้นอยู่ หญิงสาวในชุดทำงานเรียบง่ายหยุดมือขณะกำลังคลึงแป้ง เสียงมีดหั่นและเครื่องตีแป้งยังดังต่อไปอย่างสม่ำเสมอ แต่เธอไม่ได้ฟังมันแล้ว
ไม่มีใครในร้านรู้ว่าเรื่องที่พูดกันอยู่นั้นผิดเพี้ยนขนาดไหน ไม่มีใครรู้เลย... ว่าความจริงเป็นยังไง นอกจากเธอ
เธอล้วงมือลงไปในกระเป๋ากระโปรงช้าๆ ปลายนิ้วแตะถูกกระดาษที่เริ่มแข็งกระด้างจากเหงื่อและความชื้น มันเป็นซองจดหมายขนาดเล็ก ขอบยุ่ยเล็กน้อย แต่ยังปิดผนึกไว้แน่นหนา เธอพกมันไว้กับตัวทุกวัน ไม่เคยปล่อยให้ห่าง
ในจดหมายนั้น เป็นหลักฐานว่าคุณชายไม่ได้หายตัวไปอย่างที่ข่าวลือ เขาออกเดินทางไปนานกว่านั้นหลายสัปดาห์ แต่ไปที่ไหนนั้นก็ยากจะรู้ เรื่องการหนีออกนอกประเทศทุกอย่างล้วนเป็นการจัดฉาก ถ้าจดหมายไปถึง ความจริงจะถูกเปิดเผย
แต่ปัญหาก็คือ ตอนนี้คนที่อยู่รอบตัวคุณหนูล้วนเกี่ยวข้องกับการจัดฉากนี้โดยตรง เธอไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครไว้ใจได้ และถ้าเธอเข้าไปหาคุณหนูด้วยตัวเอง จดหมายนั่นอาจถูกทำลายก่อนจะถูกเปิดอ่าน
เธอเคยคิดถึงเหล่าเพื่อนอัศวินที่คุณชายเคยฝึกด้วยกัน แต่คนเหล่านั้นล้วนประจำอยู่ในตระกูลขุนนาง และ เธอไม่ใช่คนที่มีสิทธิ์ไปพบกับคนระดับนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีหลักฐานว่าพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทุกทางล้วนมีแต่ความเสี่ยง
“ยืนเหม่ออะไรน่ะ! รีบปั้นแป้งให้เสร็จ เดี๋ยวรอบต่อไปจะอบไม่ทัน!”
เสียงเจ้าของร้านตะโกนข้ามโต๊ะไม้ หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย หันกลับไปตอบเสียงเบา
“ค่า…”
มือกลับไปคลึงแป้งต่ออย่างเชื่องช้า ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม อย่างน้อยก็ในสายตาคนภายนอก
เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังแผ่ว แสงสีส้มอ่อนจากดวงอาทิตย์ลอดผ่านกระจกหน้าร้านเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถูกกลืนหายไปในเงาของยามเย็น — ได้เวลาปิดร้านแล้ว
ถนนสายรองเริ่มเงียบลงทีละน้อย ตึกสูงทอดเงาเข้าหาซอกซอยแคบๆ หญิงสาวเดินเร็วขึ้น มือหนึ่งกำชายกระโปรงแน่น อีกมือดึงสายกระเป๋าผ้าบนบ่า กระเป๋าใบเดิมที่พอมีน้ำหนักอยู่แล้วกลับรู้สึกหนักผิดปกติ เธอสูดหายใจ กลั้นความหงุดหงิดไว้กับเสียงสะบัดของมัน
“ไม่น่าเดินทางนี้เลย…” เธอพึมพำ เบือนหน้าไปมองซอยด้านข้าง เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง เธอชะงัก หันขวับกลับไปทันที ไม่มีใคร แต่ความรู้สึกว่า มีคนอยู่ใกล้ๆ ยังไม่หายไป
“อย่าคิดมาก...” เธอกระซิบกับตัวเอง ค่อยๆหันกลับ แต่ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างตัว ใกล้เกินไปจนเธอสะดุ้ง
“น้องสาว... เดินคนเดียวแบบนี้ไม่กลัวหรอครับ?”
ร่างสูงสามคนก้าวออกจากเงาตึก คนแรกผมหยิกยุ่งเหยิง ยิ้มเหมือนคนไม่มีอะไรจะเสีย อีกคนพิงกำแพง มือกอดอก สายตาโลมเลีย ส่วนคนสุดท้าย สูงที่สุดในกลุ่ม เงียบจนน่าขนลุก เดินตรงเข้ามาหาเธอโดยไม่พูดสักคำ
เธอก้าวถอยหลังทันที
“ขะ...ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนพวกคุณ—”
“ไม่ได้รบกวนอะไรหรอกน้อง”
ชายผมหยิกพูดขึ้น น้ำเสียงเหมือนล้อเล่นแต่แฝงอะไรบางอย่าง
“เราแค่แปลกใจ... ผู้หญิงตัวคนเดียว เดินเข้าซอยแบบนี้ คิดอะไรอยู่เหรอ?”
“ฉัน... แค่จะกลับบ้าน”
เธอถอยอีกก้าว แต่หลังไปชนกับกำแพงอิฐแผ่นหนึ่ง ใจเต้นแรงจนแทบได้ยินเอง มือกำสายกระเป๋าแน่นขึ้น
ชายที่พิงกำแพงหลุดหัวเราะในลำคอ ก่อนจะดันตัวออกมาเดินเข้าใกล้
“กลับบ้านหรอ... ไม่แวะทักพวกพี่สักคำ มันก็ใจร้ายเกินไปหน่อยนะ”
มือหยาบกร้านยื่นเข้ามาจะจับแขนเธอ เธอสะบัดหนีแทบจะทันที ดวงตาเบิกกว้าง
“อย่า…..อย่าแตะต้องฉัน!”
“หืมมม… ดื้อซ่ะด้วย แบบนี้ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่”
เสียงทุ้มต่ำจากชายร่างสูงที่เงียบมาตลอดดังขึ้น เขาเดินเข้ามาประชิด คว้าข้อมือเธอไว้แน่นอย่างง่ายดาย เธอพยายามดึงออกเต็มแรง แต่ไม่ขยับเลยสักนิด
“ปล่อยนะ!”
“ใจเย็นสิ”
ชายผมหยิกเดินเข้ามาใกล้ เอื้อมมือมาหาคางเธอ
“ไม่มีใครอยากทำร้ายเธอหรอก พวกเราแค่อยากพูดคุยกับน้องสาวเฉยๆ...”
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านหลัง เสียงนั้นชัดเจน หนักแน่นพอจะทำให้ทุกคนหยุดชะงัก
จากปลายถนน ร่างของหญิงสาวในชุดเกราะหนังสีเข้ม ก้าวออกมาอย่างองอาจ ผมดำยาวถูกรวบขึ้นอย่างเรียบร้อย ด้านหลังสะพายดาบสีดำใสขนาดกลางเอาไว้ แสงสะท้อนจากมันทำให้ปลายดาบดูวาววับ
พวกอันธพาลหันขวับไปมอง
“โอ้โห... น้องสาวเล่นเป็นอัศวินงั้นหรอ?”
ชายผมหยิกตะโกนเย้ย
“ดูดาบนั้นสิ สงสัยทำมาจากแก้วแหงๆ ท่าทางดูบอบบางชะมัด ฮ่าๆ”
เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบใหม่ หนึ่งในนั้นยกมือทำท่าโบกไม้โบกมืออย่างกวนประสาท
หญิงสาวในชุดเกราะไม่พูดอะไร เธอเพียงหยิบดาบที่สะพายอยู่ด้านหลัง จากนั้น...
"ฉึก!"
เสียงเหล็กกระแทกพื้นดังก้องไปทั่วตรอก เธอก้าวเข้ามาอีกก้าว ดวงตาสีน้ำเงินเย็นเฉียบจ้องตรงไปไม่กะพริบ
“ขยะอย่างพวกแก... แค่ใช้มือเปล่า ฉันก็จัดการได้แล้ว”
เสียงของเธอไม่ดัง แต่หนักแน่นพอจะเปลี่ยนเสียงหัวเราะให้กลายเป็นความเงียบอึดอัด
ชายคนหนึ่งชะงักเล็กน้อย “หึ คิดว่าตัวเองแน่นักหรอ?”
“ลองดูสิ” เธอเอียงคอเล็กน้อย “อยากรู้จริงๆว่าเลือดสวะอย่างพวกแก มันจะไหลเร็วหรือช้า”
อันธพาลคนหนึ่งสบถลั่น “ยัยบ้านี่!”
เขาพุ่งเข้ามาโดยไม่ฟังเสียงใคร...
แต่แล้วไม่ถึงสิบนาที ทุกอย่างก็จบลง — พวกอันธพาลสามคนก็ถูกจับมัดนอนกองอยู่กับพื้น หอบหายใจอย่างหมดแรง ร่างกายเต็มไปด้วยรอยช้ำจากแรงปะทะที่พวกมันไม่ทันแม้แต่จะมองเห็นต้นทาง
หญิงสาวในชุดเกราะไม่ได้หยิบดาบออกมาใช้แม้แต่ครั้งเดียว ดาบขนาดกลางยังคงปักอยู่บนถนน มีเพียงการเคลื่อนไหวที่เฉียบคม เงียบงัน และรุนแรงพอจะทำให้พวกมันสลบได้โดยไม่ต้องฆ่า
เธอสะบัดมือก่อนจะเช็ดเลือดจางๆที่ติดอยู่ออก ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หญิงสาวที่ถูกช่วยยืนอยู่ไม่ไกล ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจแต่สายตายังคงจับจ้องเธออย่างไม่วางตา
“…ขะ ขอบคุณค่ะ…” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย
หญิงสาวในชุดเกราะหันมาเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำเงินจ้องตรงมา สงบนิ่งแต่ไม่เย็นชา
“ถ้า ถ้าไม่มีคุณ… ฉันคง…”
“อย่าเดินลำพังในซอยแบบนี้อีกน่ะ มันอันตราย” เธอพูดขัดขึ้น ราบเรียบเหมือนกำชับ ไม่ใช่ตำหนิ
หญิงสาวเม้มปากแน่น ก่อนจะพยายามตั้งสติ “เอ่อ… ขอถามได้ไหมคะ… คุณชื่ออะไร?”
หญิงสาวในชุดเกราะมองเธอเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ
“…ซีรัส”
จากนั้นเธอก็หมุนตัวกลับ ลากพวกอันธพาลทั้งสามโดยไม่ออกแรงมากนัก ราวกับน้ำหนักพวกนั้นไม่ใช่เรื่องลำบากสำหรับเธอเลยแม้แต่น้อย
“แล้วคราวหน้า… ก็ระวังตัวให้มากกว่านี้ด้วยล่ะ” เธอพูดทิ้งท้ายโดยไม่หันกลับมา
หญิงสาวที่ถูกช่วยมองตามร่างในชุดเกราะที่ค่อยๆ ลับหายไปในเงามืดของถนนสายเล็ก พลันสายลมเย็นยามค่ำก็พัดผ่านหลังคา เธอยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มลงมองกระเป๋าผ้าของตัวเอง แล้วพึมพำเบาๆ
“ถ้าเธอเป็นเพื่อนกับคุณชาย… ก็คงดีไม่น้อย”
เสียงเธอเจือความเสียดายและลังเล ก่อนจะเงยหน้าขึ้น สายตายังคงจับจ้องไปยังทางที่หญิงในชุดเกราะจากไป
“จะได้ส่งจดหมายนี่ถึงมือคุณหนูเสียที... เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ ท่าทางเป็นคนดีซ่ะด้วย”
เธอส่ายหน้าน้อยๆ แล้วหลุบตาลงคล้ายยอมรับความจริง
ความเงียบกลับคืนมาอีกครั้ง — แต่ในใจของเธอ ไม่มีทางลืมชื่อของผู้หญิงคนนั้นได้เลย