“เหม่ยเอ๋อร์ ?” เจ้าหย่งเซิงเดินไปพยุงสตรีที่อายุน้อยที่สุดในงานขึ้นมายืนประจันหน้า
เหม่ยเซียนเงยหน้าขึ้นสบตาบุรุษตรงหน้า ตึกตั่ก ตึกตั่ก ตึกตั่ก นางยกมือขึ้นกุมหน้าอกตนเอง ‘ทำไมหล่อมีออร่าขนาดนี้เนี่ย’ ใจนี้ก็เต้นแรงจนจะทะลุอกอยู่แล้วนะ ในหัวมีภาพผุดขึ้นมา ‘พี่หย่งเซิง'
“ไม่พบเจอกันสี่ห้าปีเหม่ยเอ๋อร์คงมิลืมพี่หย่งเซิงของเจ้าไปแล้วใช่หรือไม่??” ยิ้มหวานล่อลวง
“เหม่ยเอ๋อร์ไม่เคยลืมเพคะ” พูดอะไรเนี่ยเหม่ยเซียนนนน
“แล้วเจ้าลืมพี่หรือไม่???” เจ้าหย่งเจี้ยนทักมาอีกคน เหม่ยเซียนหันหน้าไปตามเสียงเรียก ตึกตั่ก ตึกตั่ก ตึกตั่ก อีกแล้วว ‘หล่องานดี พี่หย่งเจี้ยน'
“มิลืมเช่นกันเพคะ” ตอบกลับทั้งสอง ใบหน้านางแดงจนถึงใบหู ‘ทำยังไงดีเนี่ยยยย’ สององค์ชายเห็นปฏิกิริยาของสาวงามตรงหน้าก็ทำให้พึงพอใจไม่น้อยจนลืมไปว่านี่คืองานปักปิ่น รอบข้างเงียบสงัดราวกับกำลังรอลุ้นอะไรอยู่
“เช่นนั้นเรามานั่งพูด..ค.” หย่งเซิงกำลังจะชวนเหม่ยเซียนไปนั่งคุยด้วยกลับถูกขัดจังหวะ หันกลับไปมองเจอเข้ากับท่านอาจารย์ยืนหน้าตึงกล่าวว่า
“ขออภัยพะยะค่ะ ตอนนี้ถึงเวลาปักปิ่นแล้วพะยะค่ะมีเรื่องอันใดควรพูดคุยกันหลังจากนี้” องค์ชายหันมองตามเสียงกลับพบว่าเป็นท่านเสนาบดีจูจึงรีบคาราวะ
“ศิษย์คาราวะท่านอาจารย์ขอรับ/ขออภัยที่ศิษย์มิทันคิด” สององค์ชายค้อมหัวกล่าวพร้อมเคารพท่านเสนาบดีในฐานะอาจารย์ผู้สอนสั่งอย่างมีมารยาท
“มิได้ๆ มาเร็วเหม่ยเอ๋อร์พ่อจะปักปิ่นให้เจ้า” ท่านเสนาบดีนั่งลงบนเก้าอี้มีเหม่ยเซียนนั่งคุกเข่าด้านหน้า ท่านเสนาบดีกล่าวอวยพรพร้อมลูบหัวเบาๆก่อนจะหยิบปิ่นหยกสีเขียวมันแพะรูปผีเสื้อปักลงไปอย่างงดงาม เหม่ยเซียนกล่าวขอบคุณเป็นอันเสร็จ…
“ขออภัยขอรับท่านอาจารย์ เสด็จแม่ทรงฝากปิ่นมามอบให้เหม่ยเอ๋อร์ด้วยขอรับ” หย่งเจี้ยนล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบกล่องไม้สลักราคาแพงออกมา ด้านในกล่องเป็นปิ่นทองสลักรูปนกยูงสยายปีก ด้านหางเป็นอัญมณีพลอยหลากสีร้อยทิ้งตัวลงมาอย่างงดงามดวงตานกยูกมีพลอยสีแดงประดับอยู่เรียกเสียงฮือฮาขึ้นรอบกาย ท่านเสนาบดีมิอาจขัดความประสงค์ของจางฮองเฮาได้จึงพยักหน้าให้เจ้าหย่งเจี้ยนปักปิ่นลงไปอีกหนึ่งอัน ยังไม่ทันกล่าวปิดพิธีก็มีอีกเสียงหนึ่งขัดขึ้น
“ขออภัยท่านอาจารย์ เสด็จแม่ของข้าก็ฝากปิ่นมาเช่นกันขอรับ” เช่นเดิม 'ขัดมิได้สินะ' ท่านเสนาบดีจึงทำเพียงพยักหน้ายินยอมอีกครั้ง แล้วปิ่นสีขาวหยกหายากที่สุดในแคว้นลวดลายหงษ์เล่นลม ดวงตาเป็นพลอยสีเหลือง ก็ถูกประดับบนศรีษะเล็กอีกหนึ่งอัน ‘แปลกๆนะว่ามั้ย? บนหัวของเหม่ยเซียนมีปิ่นถึงสามอันเชียวนะ' เสนาบดีจูสบถในใจ พวกท่านจะทำอันใดกันพะยะค่ะองค์ชายยย 'ข้าหนักใจยิ่งนัก'
“ขอบพระทัยเพคะองค์ชายทั้งสอง” ยิ้มหวานเต็มใบหน้าทำเอาสององค์ชายตาพร่าไปชั่วขณะ
“เสร็จพิธีแล้วขอเชิญทุกท่านร่วมดื่มกินกันอย่างอิ่มหนำเถิด” หันหน้าไปทางองค์ชายทั้งสองพร้อมกล่าว “ขอเชิญทั้งสองพระองค์อยู่พูดคุยกับกระหม่อมสักครู่พะยะค่ะ” ผายมือเชิญไปทางห้องหนังสือ
ด้านหลังของห้องโถงมีหญิงสาวสกุลไป่นั่งบีบขยำชุดเสื้อผ้าเนื้อดีที่สวมใส่มาจนยับอย่างคับแค้นใจ ‘นังเหม่ยเซียน อย่าคิดว่าข้าจะยอม’ หน้าตาบิดเบี้ยวหมดความงดงาม
เมื่อจบงานในยามสายแขกเหรื่อบางส่วนทะยอยกลับจวน ญาติผู้ใหญ่นั่งอยู่ในห้องโถง สององค์ชายหลังจากได้พูดคุยกับท่านเสนาบดีแล้วก็มานั่งร่ำสุราต่อตรงศาลาริมน้ำที่ล้อมรอบด้วยสระบัวมีปลาแหวกว่ายให้ดูชมสบายตา เจ้าของงานอย่างเหม่ยเซียนยืนร่ำลาส่งแขกเรียบร้อยก็เดินกลับเข้าไปในจวน ระหว่างทางที่จะไปยังศาลาริมน้ำมีเสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้น
“คุณหนูจู” ไป่เยว่ชิงเรียก
“อ้าว…คุณหนูไป่ ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มาเสียอีก”
“ข้ามาถึงนานแล้ว ตอนเจ้าปักปิ่นข้านั่งอยู่ด้านหลังสุดเจ้าคงมองไม่เห็น อ่ะ นี่ของขวัญจากข้า" ยื่นกล่องใบเล็กๆมาให้
“ขอบใจเจ้ามาก แล้วคุณหนูตู้ล่ะมิมาด้วยรึ???”
“นางมาแล้วนะ แต่นางหกล้มหน้าจวนเจ้า ชุดเสื้อผ้าสกปรกมากจึงกลับบ้านไปแล้ว”
“เป็นเช่นนั้นเอง” ในหัวกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่างออกมา ‘ในเมื่อเหลือเพียงหนึ่ง’
“ตอนนี้เจ้ารีบกลับจวนหรือไม่??? อยู่เป็นเพื่อนข้าร่ำสุรากับองค์ชายทั้งสองหน่อยเป็นอย่างไร”
“ได้สิได้ ข้าไม่ได้รีบกลับจวน” ตอบรับอย่างฉับไว ระหว่างเดินไปศาลาริมน้ำเหม่ยเซียนจึงเกริ่นออกมา
“เจ้าพึงใจต่อองค์ชายรองใช่หรือไม่??”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร??” เอ่ยตอบหน้าแดงไปจนถึงใบหู
“แค่มองหน้าเจ้าข้าก็รู้แล้ว ให้ข้าช่วยดีหรือไม่??”
7.สุราดอกท้อ
“แค่มองหน้าเจ้าข้าก็รู้แล้ว ให้ข้าช่วยดีหรือไม่??”
ไป่เยว่ชิง ทำหน้าหวาดระแวงแล้วกล่าวว่า “เจ้าน่ะหรือจะช่วยข้า จะเชื่อได้แค่ไหนกันเชียวเจ้าหาทางกลั่นแกล้งข้ามาโดยตลอดตอนนี้ก็คิดที่จะทำใช่หรือไม่??” ไป่เยว่ชิงยังพูด “อย่าได้คิดว่าข้าจะหลงเชื่อ”
เหม่ยเซียนยักไหล่ไม่แคร์และตอบ "ก็ตามใจ อย่าลืมว่าตอนนี้เหลือแค่เจ้าที่ตัวคนเดียวในจวนข้า ถ้าข้าจะแกล้งเจ้าไม่มีใครในที่นี้จะออกหน้าช่วยเหลือเจ้าหรอก..ก็แค่ลองวัดดวงจะเสียหายอะไร จริงมั้ย??"
ไป่เยว่ชิงนิ่งคิด ‘ก็เป็นดังเช่นนางว่า อยู่ในจวนของนางถ้านางจะแกล้งตนเองจะทำอันใดได้’ คงเป็นทางเดียวที่ต้องทำ อีกแค่ไม่กี่ก้าวจะถึงศาลาริมน้ำเหม่ยเซียนก็ได้ยินคำตอบจากคุณหนูไป่ “ข้าตกลงให้เจ้าช่วยก็ได้” รอยยิ้มปรากฏขึ้นเต็มใบหน้าจูเหม่ยเซียน ไม่นานก็เดินมาถึงศาลา
“ถวายพระพรองค์ชายทั้งสองพระองค์เพคะ” เป็นไป่เยว่ชิงที่ย่อกายถวายพระพรเพียงคนเดียว เหม่ยเซียนไม่ได้ทำตามเพราะนางทำไปเมื่อเช้าแล้ว
องค์ชายทั้งสองพระองค์มิได้สนใจเยว่ชิงที่ย่อกายทำความเคารพ แต่พากันมองไปยังเหม่ยเซียนที่เดินนวยนาดเข้ามาอย่างมีเสน่ห์มากกว่า
“เหม่ยเอ๋อร์ มานั่งข้างพี่หย่งเซิงนี่มาเมื่อตอนเช้าเรามิค่อยได้พูดคุยกันตอนนี้มีเวลาเสียที” เหม่ยเอ๋อร์เดินไปนั่งข้างหย่งเซิงตามคำชวนเพราะที่ว่างข้างเจ้าหย่งเจี้ยนนางเล็งไว้ให้ไป่เยว่ชิงอยู่แล้ว
“เพคะ” เหม่ยเซียนรับคำ หย่งเจี้ยนได้แต่เหลือบมองไม่พูดอะไร
“คุณหนูไป่ลุกขึ้นสิมานั่งเร็วๆเข้า” ไป่เยว่ชิงที่นั่งคำนับอยู่มีสีหน้าหนักใจเพราะผู้ที่บอกให้นางลุกขึ้นมิใช่องค์ชายจึงไม่กล้าที่จะทำตาม หย่งเจี้ยนหันมองจึงกล่าวอย่างไม่สนใจ
“ลุกขึ้นสิ!! หาที่นั่งตรงไหนก็ได้แต่อย่ามานั่งใกล้ข้า” นั่งจิบสุรามองปลาในน้ำใบหน้าเฉยเมย
“ขอบพระทัยเพคะ” นางเอ่ยอย่างหวาดๆและเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆเหม่ยเซียน
“เหม่ยเอ๋อร์ พี่หย่งเซิงมิได้พบปะเจ้ามานานหลายปีคิดถึงเจ้ายิ่งนัก วันพรุ่งนี้พี่ต้องเดินทางกลับสำนักศึกษาเพื่อไปร่ำเรียนสิ่งที่ยังคั่งค้างให้ครบ อีกหนึ่งเดือนจึงจะกลับมาเจ้าจะรอพี่ใช่หรือไม่??”
“รอทำไมเพคะ??” เจ้าหย่งเจี้ยนแอบอมยิ้มกับคำตอบของนาง
หย่งเซิงทำเป็นไม่สนใจคำตอบแล้วกล่าวต่อไปว่า “เจ้ามิเคยพูดเพคะกับพี่เหตุใดวันนี้ถึงเปลี่ยนล่ะ ไม่เอาๆพูดธรรมดาสามัญเถิด” เหม่ยเซียนนิ่งคิด อืมมม ‘คล้ายๆจะพูดว่า..'
“ก็ได้เจ้าค่ะ พี่หย่งเซิง” หย่งเซิงยิ้มหวานถูกใจทำเอาเหม่ยเซียนตาพร่าาา ‘ไม่ๆๆ อย่าหลงเสน่ห์พวกเค้าเด็ดขาด' หันหน้าหนีทันทีเมื่อคิดได้
“พี่หย่งเจี้ยนเจ้าคะ” หันไปมองเจ้าหย่งเจี้ยนเรียกชื่อเสียงเพราะจับใจ
“นี่คุณหนูไป่บุตรีท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย ไป่เยว่ชิงเจ้าค่ะ ขากลับวันนี้เหม่ยเอ๋อร์ขอฝากนางให้พี่หย่งเจี้ยนและพี่หย่งเซิงไปส่งกลับจวนได้หรือไม่เจ้าคะรถม้าของนาง นางให้คุณตู้ยืมกลับจวนไปแล้วเจ้าค่ะ” อ้างได้ดีจริงๆเหม่ยเซียน 'ใจจริงอยากจะบอกให้หย่งเจี้ยนไปส่งด้วยตนเองเพียงคนเดียวก็ดูจะเจาะจงเกินไป ต้องกล่าวเช่นนี้จึงจะดูไม่น่าเกลียด'
หย่งเจี้ยนหรี่ตามองเหม่ยเอ๋อร์อย่างจับผิด 'มิใช่ว่ากงลี่ออกไปส่งนางแล้วหรอกรึ จะใช้รถม้าของสกุลไป่ได้อย่างไร?' หันมองไป่เยว่ชิงก็เห็นนางนั่งก้มหน้าก้มตาตลอดไม่พูดไม่จาหรือนางจะบังคับให้เหม่ยเอ๋อร์ออกหน้าให้นาง ‘หึ!สตรีน่าชัง’
“ไว้พี่จะจัดการให้เจ้าเอง” หย่งเจี้ยนรับคำ พลางหันไปมองฝูจินที่เร้นกายหายไปอย่างรู้ใจนายทันที
“มาเจ้าค่ะเหม่ยเอ๋อร์รินสุราให้นะเจ้าคะ อ้อจริงสิ! เสี่ยวถงเจ้าไปหยิบสุราดอกท้อที่ข้าซื้อเมื่อวันก่อนมาสิ"
เสี่ยวถงทำหน้าลำบากใจแต่ก็ไม่ขัดคุณหนู "เจ้าค่ะ"
“รสชาติหวานกลมกล่อมทานง่ายมาก เป็นสุราสำหรับสตรีคุณหนูไป่อยากชิมหรือไม่??”
เห็นเหล่าองค์ชายมองอยู่ไป่เยว่ชิงจึงมิอาจปฏิเสธได้จึงจำต้องรับคำ
“อืม..ข้าจะลองชิมดู”
"เดี๋ยวนี้เจ้าหัดดื่มสุราแล้วรึ ??? " หย่งเซิงกล่าวท้วงแม้จะแปลกใจแต่เมื่อคิดได้ว่าวันนี้คือวันปักปิ่นของนางจึงมิได้ทักท้วงมากนัก
“หัดไว้ไม่เสียหายนี่เจ้าคะ” ยืนยันหนักแน่น ‘หากไป่เยว่ชิงโดนยาเข้าไปพี่หย่งเจี้ยนที่อยู่ใกล้นางคงมิวายจะต้องสัมผัสหรืออุ้มนางใช่หรือไม่น้าาา’ หึหึ