ย้อนยุค 2

3165 Words
“อ่ะ” ยื่นหนังสือพร้อมกุญแจให้น้องสาวที่รับมาแบบไม่เต็มใจ “ทำหน้าอะไรแบบนั้นล่ะไม่เคยอ่านนิยายก็ลองอ่านซะไม่แน่อาจจะชอบมากกว่าประวัติศาตร์จีนก็ได้นา” “ก็ได้ค่ะ ไม่ลองไม่รู้เนอะ ขอบคุณสำหรับของฝากนะคะพี่ชายหนูจะขึ้นไปนอนแล้วนะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” “ครับน้องสาว ราตรีสวัสดิ์” แล้วทั้งสองพี่น้องต่างก็แยกย้ายกันไปห้องใครห้องมัน บนห้องนอนสีชมพูสดใสมีร่างของน้องไอนอนคว่ำเหยียดยาวสองมือมองหนังสือนิยายที่ได้มาจากพี่ชาย ตรงหน้าปกอ่านชื่อเรื่องได้ว่า ‘ยอดดวงใจสององค์ชาย’ หืม…หัวคิ้วของคนอ่านขมวดเข้าหากันแบบงงๆ เอ๊ะ?? รึว่าเราอ่านผิดนะ ‘สององค์ชายยอดดวงใจ’ หยั่งงี้เรอะ???? มันจะแปลกๆนะว่ามั้ย? ช่างมันขอดูข้างในหน่อยเถอะ บทนำ:แคว้นเจ้าปกครองด้วยฮ่องเต้พระนามว่าเจ้าหย่งเจิ้งซึ่งถือว่าเป็นแคว้นที่มีความมั่นคง รุ่งเรืองด้วยทรัพยากรมากมาย พื้นที่ทางด้านซ้ายและขวาของแคว้นมีแคว้นเพ่ยและแคว้นจินค้ำยันเมืองหลวงของแคว้นอย่างแข็งแรงและมีความปรองดองสงบสุขเรื่อยมา ฮ่องเต้เจ้าหย่งเจิ้งมีองค์ชายและองค์หญิงรวมกันสี่พระองค์ อันได้แก่ องค์รัชทายาทเจ้าหย่งอี้ องค์ชายรองเจ้าหย่งเจี้ยนผู้ถือกำเนิดมาจากพระครรภ์ของจางฮองเฮา องค์ชายสามเจ้าหย่งเซิง องค์หญิงเจ้าหย่งซิน ได้ถือกำเนิดจากครรภ์พระสนมเอกหลันกุ้ยเฟย องค์ชายรองและองค์ชายสามทรงประสูติขึ้นมาในวันเวลาใกล้เคียงกันจึงเป็นพี่น้องที่มีความสนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างมาก ก่อนจะถึงวัยที่ต้องเข้ารับการฝึกฝนวิชาในสถานศึกษาองค์ฮ่องเต้ได้มีรับสั่งให้ท่านเสนาบดีจูผู้เป็นเสนาบดีฝ่ายขวาและที่ปรึกษาส่วนพระองค์เป็นผู้ดูแลฝึกสอนหัดอ่านเขียนเริ่มต้นในวัยเจ็ดชันษา ทุกครั้งที่ทำการสอนท่านเสนาบดีจูมักจะนำบุตรสาวเพียงคนเดียวนามว่าจูเหม่ยเซียนในวัยสี่หนาวมาวิ่งเล่นในวังพร้อมร่ำเรียนฝึกสอนร่วมกับสององค์ชายด้วยเสมอจวบจนเติบใหญ่ในวัยสิบชันษาองค์ชายทั้งสองพระองค์ถึงวัยที่ต้องเข้ารับการเรียนในสถานศึกษาและฝึกยุทธ์ จูเหม่ยเซียนในวัยเจ็ดหนาวจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าหากอยากให้ทั้งสองพระองค์อยู่กับนางเหมือนเช่นยามนี้ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนางต้องขยันหมั่นเพียรการบ้านการเรือนมิให้ขาดตกบกพร่องเพื่อเติบใหญ่อย่างงดงามมิให้แพ้สตรีใดพร้อมทั้งกำจัดทุกคนที่คิดจะเข้าใกล้ทั้งสองพระองค์ หากวันข้างหน้าทั้งสองพระองค์สำเร็จจากการศึกษาก็จะมีแค่นางที่คอยติดตามรับใช้ปรนนิบัติอย่างเช่นในวัยเยาว์ 'เอิ่ม…อ่านแค่บทนำก็รู้ว่าจูเหม่ยเซียนนี่นางร้ายชัดๆเธอจะเหมาสองคนเลยเรอะ? นี่เค้าเรียกว่าคนหวงของใช่มั้ย? ขออ่านให้จบไปเลยเถอะดูว่าตอนจบเธอจะเป็นยังไงคิดชั่วตั้งแต่เด็กเลยนะหล่อน' น้องไอคิดในใจและนอนอ่านหนังสือเพลินจนถึงกลางเล่มก็ทำหน้างงเพราะเนื้อเรื่องจากกลางเล่มจนถึงหน้าสุดท้ายไม่มีตัวหนังสือให้อ่านสักตัวเดียว ว่างเปล่า..... หน้ากระดาษขาวสะอาดหมดจดไม่ว่าจะพลิกกี่รอบก็เป็นแบบเดิมนึกแล้วก็โมโหขึ้นมา‘ พี่ชายเราโดนหลอกขายหนังสือมีตำหนิพิมพ์ไม่จบมาแหงๆมิน่าล่ะถึงไปอยู่ในร้านขายของเก่าพรุ่งนี้ตื่นนอนต้องไปบอกซะหน่อยว่าโดนหลอกแล้ววว’ ปิดหนังสือวางไว้บนหัวเตียงเสร็จก็ล้มตัวลงนอนนึกถึงเรื่องราวในนิยายที่กำลังอ่านถึงตอนสำคัญ ‘นางร้ายกำลังไปดักรอเล่นงานนางเอกที่โรงเตี๊ยมเงาพระจันทร์อีกครั้ง’ จะสำเร็จมั้ยจะมีใครตายรึปล่าว..เฮ้อออ เสียดายจังเลย คิดๆแล้วก็เผลอหลับไป ๑--------------------------------๑ เช้าวันใหม่มาถึง “พี่อาร์มมมมมม” เสียงวิ่งตึงตังดังมาจากชั้นสองของบ้านอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองได้ก้าวพลาดตกบันไดไปหลายขั้นด้วยเสียงตกใจของคนทั้งบ้านเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนทุกคนวิ่งเข้ามารับร่างบางไว้ไม่ทัน "ว้ายยยยยย!!! น้องไอ" คุณแม่ร้อง “ไอ!!!” เสียงพี่อาร์ม “ระวังลูกกก” คุณพ่อตกใจตะโกนเสียงดัง ตุ้บๆๆๆๆ ขลุกๆๆๆ!!! เสียงน้องไอกลิ้งม้วนลงมาหลายตลบและสลบไปบนหัวมีรอยบวมปูดแตกเลือดไหลออกมา ในอกกอดหนังสือนิยายปกดำไว้แน่น ๑--------------------------------๑ ‘อาาาาา….เจ็บเป็นบ้าเลย’ เราตกบันไดเหรอเนี่ย กระพริบตาสองสามทียกมือขึ้นจับตรงหน้าผากคลำดูก็พบรอยนูนขนาดใหญ่เท่าลูกมะนาวสบถเบาๆ ‘ดีนะที่แค่โน’ ลุกขึ้นนั่งช้าๆหันมองรอบตัวก็เจอหนังสือปกดำที่จำได้ว่าถือลงมาหาพี่ชายก่อนจะตกบันไดวางอยู่ข้างๆ เห็นประตูบานพับมีลวดลายรูปดอกอะไรสักอย่างหน้าต่างก็เป็นบานพับลายเดียวกัน ที่นอน เก้าอี้และสิ่งของทุกสิ่งภายในห้องล้วนแปลกตาเหมือนของโบราณ ‘นี่โรงพยาบาลรึปล่าวเนี่ย?’ คิ้วขมวดด้วยความสงสัยและลุกขึ้นยืนเดินไปข้างหน้าเพื่อที่จะเปิดประตูเผื่อว่าข้างนอกอาจจะมีพี่ชาย คุณแม่รึว่าคุณพ่อยืนคุยกับคุณหมออยู่ตรงนั้นไวเท่าความคิดมือบอบบางดึงประตูให้เปิดกว้าง แอ้ด…ดดดดดด ฉับพลันนั้นก็มีเสียงเรียกอย่างตกใจดังอยู่หน้าห้อง “คุณหนู!!!!!” ภาพหญิงสาวอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปี หน้าตาสะอาดสะอ้านเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมอ่างใส่น้ำแล้วกล่าวว่า "คุณหนูต้องการสิ่งใดเหตุใดไม่เรียกบ่าวเจ้าคะด้านนอกอากาศเย็นอาจจะป่วยไข้ขึ้นมาอีก เมื่อคืนบ่าวเช็ดตัวให้คุณหนูทั้งคืนคุณหนูตัวร้อนราวกับไฟลนบ่าวกลัวไปหมดเลยเจ้าค่ะ นี่เพิ่งยามเหม่า (5.00-7.00) เดี๋ยวบ่าวพยุงเข้าไปด้านในนะเจ้าคะ" พูดจบก็วางอ่างน้ำลงแล้วพยุงคุณหนูของตนเข้าเรือนโดยไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของนางเลยสักนิด ‘ทำไมถึงพูดภาษาจีนล่ะ’ หลังจากนั่งลงบนที่นอนน้องไอซึ่งหายจากอาการมึนงงได้หันหน้าไปถามคนที่เรียกตัวเองว่าบ่าว "ที่นี่โรงพยาบาลใช่มั้ย เธอเป็นผู้ช่วยพยาบาลเหรอแต่งตัวแปลกๆ นะแล้วทำไมพูดภาษาจีนล่ะมาจากที่ไหนน่ะ" คนที่เรียกตัวเองว่าบ่าวนั่งมองคุณหนูของตัวเองพูดจาประหลาดด้วยสีหน้าโง่งม “เธอชื่อบ่าวเหรอ???” จบคำถามที่ไม่มีคำตอบกลับ ผู้หญิงชื่อบ่าวก็ร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่นจนคนถามตกใจ!!! “ฮือออออ…คุณหนูของบ่าว สติของคุณหนูคงเลอะเลือนไปแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะเหตุใดจึงพูดจามิรู้ความเช่นนี้ เอ๊ะ!! รึว่ายาที่ทาไปเมื่อคืนยังไม่ออกฤทธิ์เจ้าคะ คงจะปวดอยู่เป็นแน่ใช่หรือไม่คุณหนูจึงมีอาการหลงๆ ลืมๆ" ว่าจบก็รีบเดินไปหยิบกระปุกยาสีเขียวกลับมา น้องไอนึกสงสัยท่วงท่า การกระทำ คำพูดของคนที่เธอคุยด้วย เธอเหลือบมองรอบห้องเห็นกระจกก็นึกเอะใจจึงชี้ออกไปพร้อมกับบอกเป็นภาษาจีน "เอากระจกมาให้เราด้วย" บ่าวผู้นั้นมีสีหน้างงงวย “เรา…หรือเจ้าคะ” “_” งง “คุณหนูจะแทนตนเองว่าข้า หาใช่เรา” บ่าวคนนั้นกล่าวคำและยื่นกระจกใบเล็กให้คุณหนูของนาง…. “งั้นเหรอ” พยักหน้าเข้าใจ ทันทีที่รับกระจกมาส่องดูใบหน้าที่สะท้อนออกมานั้นไม่ใช่ใบหน้าของเธอดวงตาสองชั้นกลมโตเบิกกว้างเพราะความตกใจ คิ้วเรียวสีเข้มโค้งเป็นทรงสวย หางตาซ้ายมีไฝสีน้ำตาลเม็ดเล็กๆ ทำให้ดูมีเสน่ห์ยั่วยวน จมูกโด่งสวย ริมฝีปากบางสีแดงอ่อนๆ ใบหน้ารูปไข่ ขาวเนียนไร้มลทินนอกจากบนหน้าผากขวาที่มีรอยบวมปูดสีแดงอมม่วง เกิดความเงียบขึ้นฉับพลัน มือสั่นน้อยๆ จับใบหน้าของตัวเองแผ่วเบาและนึกในใจ ‘นี่ฉันแค่ตกบันไดต้องทำศัลยกรรมเลยเหรอ?? สวยเป็นบ้า’ แต่มันจะใช่เหรอทำไมความรู้สึกของเธอกลับบอกว่านี่ไม่ใช่ร่างกายของตัวเองไวเท่าความคิดจึงหันหน้าไปถามหญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆเธอคนที่กำลังทายาบนหน้าผาก “เจ้า..ชื่ออะไร????” เสียงพูดเป็นภาษาจีนถูกปล่อยออกมาจากริมฝีปากบาง “เสี่ยวถงเจ้าค่ะ บ่าวเป็นบ่าวที่ดูแลคุณหนูมาตั้งแต่คุณหนูยังสี่หนาวอย่างไรเล่าเจ้าคะ" เสียงตอบอ่อยๆ ดังออกมาพร้อมกับมือของเสี่ยวถงที่คอยลูบวนบนหน้าผากนูน 'คุณหนูคงมิลืมเลือนบ่าวผู้ซื่อสัตย์ใช่หรือไม่..ฮือออ' “อ่อเสี่ยวถง..แล้วเราเอ่อ…ข้าชื่ออะไร เป็นใคร??” เสี่ยวถงหยุดมือที่ทายาแล้วเหลือบมองคุณหนูที่เอียงคอมองนางและชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างน่ารัก ‘นี่ลืมกระทั่งชื่อตนเองเชียวรึคุณหนูของบ่าววว' “คุณหนูมีนามว่า จูเหม่ยเซียน เป็นบุตรีเพียงคนเดียวของท่านเสนาบดีฝ่ายขวาจูเจียงเหลียนกับฮูหยินเกาเหม่ยอิงเจ้าค่ะ” จบคำเสี่ยวถง น้องไอในร่างจูเหม่ยเซียนถึงกับเงียบและครุ่นคิด เธออยากจะตะโกนออกมาดังๆว่า 'ไม่ใช่เว้ยยย..ฉันคือไอยรา' แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากนั่งถอนหายใจ ชื่อจูเหม่ยเซียนคือชื่อของนางร้ายในนิยายที่เธออ่านเมื่อคืน แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน มือขาวแอบหยิกตัวเองเบาๆเพราะคิดว่านี่คงเป็นความฝัน "โอ๊ย!!" น้องไอร้องเสียงดังเพราะความเจ็บ "บ่าวทาแรงไปรึเจ้าคะ..บ่าวขออภัยเจ้าค่ะ" เสี่ยวถงรีบขอโทษ "ไม่ๆ ไม่เป็นไร" น้องไอเหลือบมองหนังสือปกดำที่วางอยู่ข้างๆ หมอนอย่างมีสติและเอ่ยถามรายละเอียด “ข้าอายุ….เอ่อกี่หนาวแล้ว” "สิบสี่หนาวแล้วเจ้าค่ะ" “แล้วเหตุใดข้าถึงหัวโน” “?????? อย่างไรนะเจ้าคะ” เสี่ยวถงทำหน้าไม่เข้าใจ “ก็หัวโนไงเนี่ยๆๆ" ชี้ไปที่รอยบวมปูดบนหน้าผาก “อ่อเจ้าค่ะ…เมื่อวันก่อนในยามโหย่ว (17.00-19.00) คุณหนูได้เรียกบ่าว และบ่าวชายสามคนให้ติดตามไปยังโรงเตี๊ยมเงาพระจันทร์เพื่อไปแอบฟังคุณหนูไป่กับคุณหนูตู้สนทนาเรื่องการเข้าร่วมงานประชันบุปผางามของเมืองหลวงที่จะมีขึ้นในอีกสามวัน คุณหนูสั่งให้บ่าวชายยืนรอที่รถม้า ส่วนบ่าวคุณหนูสั่งให้เดินตามเข้าไปในร้าน และตอนที่คุณหนูกำลังก้าวขึ้นบันไดไปด้านบน ตัวบ่าวเองก็กำลังคุยเรื่องห้องอาหารกับเสี่ยวเอ้ออยู่ ในตอนนั้นคุณหนูได้ถูกคนผู้หนึ่งวิ่งชนอย่างแรงจนล้มตกจากบันไดศรีษะฟาดตรงพื้นแล้วสลบไปเลยเจ้าค่ะ” พูดจบก็นั่งหมอบลงก้มหัวโขกพื้นอย่างแรง “บ่าวสมควรตายเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวดูแลคุณหนูไม่ดี” นั่งคุกเข่าโขกพื้น “ไม่ๆๆ ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก แล้วตามจับผู้ที่วิ่งชนข้าได้หรือไม่?” “ขออภัยเจ้าค่ะเป็นบ่าวที่มิทันคิด ในตอนนั้นบ่าวตกใจรีบวิ่งไปประคองคุณหนูรวมถึงเรียกเสี่ยวเอ้อที่เป็นหญิงให้ช่วยพยุงคุณหนูไปขึ้นรถม้ากลับจวนเจ้าค่ะ” นั่งก้มหน้ายอมรับผิดอย่างเต็มที่ “ไม่เป็นไรหรอก เจ้าทำถูกแล้วในตอนนั้นหากเจ้าละทิ้งข้าแล้ววิ่งตามคนผู้นั้นไปจะเกิดสิ่งใดขึ้นบ้างก็ไม่อาจรู้ได้เป็นข้าเสียอีกที่ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยเหลือข้าไว้ เอาล่ะเจ้าออกไปก่อนเถอะข้าขอนอนพักสักครู่” “เจ้าค่ะ” ก้าวออกไปและปิดประตูห้อง ภายในห้องนอนของจูเหม่ยเซียน ร่างบางนั่งนิ่งจ้องมองหนังสือที่น่าจะเป็นต้นเหตุให้เธอต้องเข้ามาอยู่ที่นี่ และเพื่อจะทำความเข้าใจในเนื้อหาที่ตนต้องเผชิญต่อถึงแม้จะจำเรื่องราวได้บ้างแต่เพื่อความแน่ใจว่าจะไม่เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นก็ต้องอ่านมันอีกครั้ง เมื่อเปิดหน้าแรกขึ้นมา จากเดิมที่นิยายเรื่องนี้ถูกเขียนด้วยภาษาจีนกลับกลายเป็นภาษาไทยทั้งหมด ‘อะไรเนี่ย’ ความกังวลเริ่มเกิดขึ้นในใจ พลิกกระดาษดูหน้าบทนำก็ยังมีเหมือนเดิม หน้าที่แนะนำตัวละครก็ยังมีเหมือนเดิมเนื้อเรื่องด้านในก็คงเดิม เปิดผ่านๆ ไปจนถึงหน้าที่จูเหม่ยเซียนตกบันไดแล้วก็… เอ่อ ‘ว่างเปล่า’ เกิดอะไรขึ้น? พลิกหน้าต่อไปแต่กลับไม่มีตัวหนังสืออะไรอีกเลยเท่าที่จำได้ในตอนที่จูเหม่ยเซียนตกบันไดก็ไม่ได้บอกไว้ด้วยว่าหัวจะโนบวมปูดขนาดนี้แค่มีแผลถลอกที่มือนิดหน่อยแล้วสาวใช้ก็พานางกลับบ้าน แถมนางยังได้ไปร่วมงานประชันบุปผางาม รับรางวัลอันดับหนึ่งอีกด้วย แต่นี่อะไรในหนังสือคือ ‘ว่างเปล่า’ แล้วเรื่องราวมันจะไปต่อยังไงเนี่ย?? แล้ววิธีกลับบ้านเดิมของเธออีกล่ะไม่มีเหรอ? พลิกหน้าหนังสือไปมาอีกหลายรอบก็ยังไม่เจออะไรที่เป็นมูลเหตุให้เธอมาอยู่ที่นี่และวิธีแก้ไขเรื่องราวนี้เลยจะเอายังไงล่ะทีนี้ มือสองข้างยกกุมขมับ ผ่านไปกว่าสิบนาที ไอยราจึงหันมองไปรอบๆห้องอย่างนึกปลงต่อชะตากรรม เฮ้ออ..จากนี้เธอต้องกลายเป็นนางร้ายที่โดนเทเพราะไม่รู้ว่าจะต้องเดินเกมต่อยังไง แค่นั้นยังร้ายไม่พอ ยังจะกลับบ้านไม่ได้อีก เอาวะ!! "เอาวะ จูเหม่ยเซียนก็จูเหม่ยเซียน สู้โว้ย!!!” ฮืออ..ร้องไห้ในใจ หน้าประตูเรือนหลานฮวา (ดอกกล้วยไม้) เสี่ยวถงยืนทำหน้าตาเป็นกังวลหลังจากได้ยินเสียงของคุณหนูตะโกนออกมา ‘รึว่านางควรแจ้งเรื่องนี้แก่นายท่าน’ ..รอฟ้าสางถ้ากลับมาดูแล้วอาการคุณหนูยังเป็นเช่นนี้นางก็คงต้องทำล่ะ เดินไปคิดไปจนถึงโรงครัว ๑--------------------------------๑ ยามเฉิน (7.00-9.00) ก๊อกๆๆ “คุณหนู ตื่นรึยังเจ้าคะ” “อืม..เข้ามาเถอะ” เสี่ยวถงยกอ่างน้ำเข้ามาวางไว้ด้านหลังที่มีไว้สำหรับชำระร่างกายและทำกิจธุระส่วนตัวโดยมีฉากกั้นไว้เป็นสัดส่วนอย่างดีเมื่อเห็นคุณหนูเดินตามเข้ามาก็ทำการถอดชุดนอนตัวสีขาวบางเบาออกไปสังเกตเห็นคุณหนูของนางสะดุ้งเล็กน้อยและยกมือปกปิดของสงวนใบหูขึ้นสีแดงจางๆ ‘ทำไมคุณหนูถึงทำท่าทางเหมือนเอียงอายนะ’ เห็นเช่นนั้นเสี่ยวถงจึงจัดการใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดร่างกายให้อย่างรวดเร็วและนำผ้าผืนใหญ่มาคลุมร่างบางไว้ หลังจากบ้วนปากเช็ดฟันเรียบร้อยแล้วน้องไอในร่างจูเหม่ยเซียนก็กล่าวว่า “เสี่ยวถงหลังจากวันนี้ไป ต้นยามเฉินให้นำน้ำอุ่นเข้ามาให้ข้า ข้าจะชำระล้างร่างกายทุกวันเพราะคิดว่าเช็ดตัวเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สะอาด" "ทุกต้นยามเฉินหรือเจ้าคะ” ทำหน้างงสงสัยเพราะมิมีใครในจวนลุกขึ้นมาชำระร่างกายในยามเช้าสักคน “ใช่. ..ได้รึไม่?” “ได้เจ้าค่ะ” 'แปลกไปจริงๆ ด้วยคุณหนูของบ่าว' รับคำเสร็จก็เดินไปยังตู้เก็บชุดเสื้อผ้า “เอาชุดสีฟ้านะข้าชอบ” “เจ้าค่ะ” ‘ปกติคุณหนูจะชอบสีชมพูนะ’ เสี่ยวถงเพียงแค่คิดแต่ไม่ได้พูดอะไร อาภรณ์สีฟ้าน้ำทะเลสวยหรูเนื้อผ้าเบาใส่สบายถูกวางลงบนเตียง เสี่ยวถงเดินไปดึงผ้าคลุมผืนใหญ่ออกจากร่างบาง น้องไอในร่างจูเหม่ยเซียนยื้อยุดผ้าคลุมไว้พักหนึ่งแต่ก็ยอมปล่อยไปเพราะคิดว่าเสี่ยวถงคงเห็นรูปร่างนี้จนชิน จากนั้นจึงก้มหน้าลงมองรูปร่างตนเองที่เพิ่งได้สำรวจอย่างพอใจ ‘อายุแค่สิบสี่ อกน่าจะ..สามสิบหกแล้วเรอะ แถมเอวยังเล็กนิดเดียว' รอยยิ้มเกิดขึ้นเต็มพวงแก้ม ความอายก่อนหน้านี้หายวับไปหมด “อกเป็นอก เอวเป็นเอว มิเสียชาติเกิดจริงๆ จูเหม่ยเซียน หึหึ” เสี่ยวถงหันมองคุณหนูตาโต “คุณหนูเป็นสาวเป็นนางทำไมกล่าวเช่นนี้ มันไม่งามนะเจ้าคะ" “ช่างข้าเถอะหน่าา” แล้วก็หันไปสนใจชุดเอี๊ยมบังทรงอย่างสงสัย ‘มันจะปิดอะไรได้ล่ะเนี่ย สงสัยต้องทำชุดชั้นในใส่เองแล้วล่ะนะเดี๋ยวค่อยว่ากัน' “นายท่านให้บ่าวมาเรียนคุณหนูว่าให้ไปรับสำรับที่เรือนใหญ่พร้อมกับฮูหยินเจ้าค่ะ นายท่านอยากสอบถามอาการของคุณหนูว่าเป็นอย่างไรบ้างเผื่อมีส่วนใดยังเจ็บปวดอยู่จะได้ให้บ่าวไปเชิญท่านหมอมาตรวจดูเจ้าค่ะ” ว่าจบก็พาคุณหนูมานั่งที่โต๊ะกระจกมีเครื่องแต่งหน้าสีสันงดงามวางให้เลือกใช้สอยมากมาย คนที่นั่งหน้ากระจกมองอย่างสนใจ “ข้าจะทำเอง” ‘หน้าสวยอยู่แล้วจะใส่อะไรเยอะแยะ’ เสี่ยวถงยืนมองคุณหนูอย่างสงสัย สองมือของคุณหนูหยิบจับอะไรดูคล่องแคล่วไปหมดเพียงหนึ่งเค่อ ใบหน้าที่งดงามอยู่แล้วก็ถูกแต่งเติมให้มีเสน่ห์เพิ่มขึ้นไปอีก ผมถูกม้วนขึ้นไปครึ่งศรีษะและปักไว้ด้วยปิ่นสีขาวธรรมดาแม้บนหน้าผากด้านขวาจะมีรอยแผลสีแดงอมม่วงอยู่นิดหน่อยก็ไม่ได้ทำให้ความน่ามองลดลงแม้สักนิดจนเสี่ยวถงอดชื่นชมไม่ได้ “คุณหนูของบ่าวงดงามที่สุดเลยเจ้าค่ะ ดูสดใสมากกว่ายามที่บ่าวแต่งเติมใบหน้าให้เสียอีก” “งั้นรึ เช่นนั้นต่อไปข้าจะทำเอง” พูดจบก็หันไปยิ้มหวาน เสี่ยวถงยิ้มตอบอย่างดีใจเพราะเมื่อก่อนยามที่นางแต่งเติมสีสันบนใบหน้าให้คุณหนูจะต้องถูกด่าว่าไม่เกินสามหนทุกครั้ง “ป่ะ..เราไปกันเถอะ” สองนายบ่าวพากันเดินออกจากเรือนตรงไปยังเรือนใหญ่ กิริยาท่าทางของคุณหนูที่เสี่ยวถงสังเกตเห็นนั้นช่างแตกต่างจากเมื่อวันวาน การย่างก้าวแม้ยังสง่างามคงเดิมแต่กลับเพิ่มความรวดเร็วว่องไวขึ้น คำพูดคำจาแม้จะแปลกๆไปไม่เหมือนเดิมแต่ก็ลดความถือเนื้อถือตัวลงไปมาก ‘คุณหนูเป็นเช่นนี้เสี่ยวถงว่าดีแล้วจริงๆ’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD