“หลงไปอยู่จวนท่านอาจารย์ไม่นานพะยะค่ะ กลับมาถึงวังนั้นมืดค่ำแล้วลูกกับพี่รองจึงไม่อยากเข้าไปรบกวนเสด็จแม่ทั้งสองพะยะค่ะ” กอดเอวหลันกุ้ยเฟยและยิ้ม
“เช่นนั้นรึ ท่านอาจารย์ว่าอย่างไรบ้าง?” จางฮองเฮาซักถามโอรสอย่างจับผิด
“ลูกกับพี่รองมิได้เข้าไปกราบท่านอาจารย์หรอกพะยะค่ะ..แค่แอบเข้าไปส่อง..” หญิงงาม
หลันกุ้ยเฟยตีที่แขนโอรสของพระองค์เบาๆ “ส่องอันใด…น่าตีให้ตายจริงๆลูกคนนี้” สองโอรสหัวเราะเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง จางฮองเฮากับหลันกุ้ยเฟยค้อนใส่ไม่จริงจัง
"อีกหนึ่งเดือนพวกเจ้าก็จะจบการศึกษาที่สำนักไท่ซานแล้วแม่กับแม่รอง(หลันกุ้ยเฟย)ปรึกษากันว่าไหนๆพวกเจ้าก็จะเข้า 17 หนาวควรจะตบแต่งสนม ชายาเข้าตำหนักได้แล้วกระมัง พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร” จางฮองเฮามองโอรสทั้งสองนิ่ง
“เสด็จแม่ ลูกกับน้องสามไม่อยากมีสามชายาสี่สนมใดๆทั้งสิ้น เรื่องพวกนี้ให้พี่ใหญ่ (รัชทายาท) รับเคราะห์ไปคนเดียวเถอะพะยะค่ะ ลูกมิอยากปวดหัวเรื่องสตรีถ้าลูกอยากมีก็จะขอมีชายาเพียงคนเดียวก็พอพะยะค่ะ”
“เป็นดังเช่นพี่รองกล่าวพะยะค่ะ” หย่งเซิงพูดสมทบคำพี่ชาย
“แล้วพวกเจ้าพึงใจสตรีสกุลใดล่ะ แม่กับแม่ใหญ่จะได้หาทางจัดการหมั้นหมายไว้ให้” หลันกุ้ยเฟยกล่าวออกมาอย่างอยากหยั่งเชิง
“พึงใจน่ะมีแน่พะยะค่ะแต่ลูกสองคนคงต้องรอให้นางพร้อมก่อน บอกไปตอนนี้นางคงตกใจแย่” หย่งเซิงอมยิ้มมองหน้าหลันกุ้ยเฟย
“เจ้าสองคนรอให้นางพร้อม ฮึ!! หวังว่าคงมิใช่คนเดียวกันใช่หรือไม่” หลันกุ้ยเฟยกล่าวเสียงประชดประชัน
“ลูกคิดว่าเสด็จแม่ทั้งสองคงทราบดีอยู่แล้วนะพะยะค่ะ” หย่งเจี้ยนตอบหน้าเฉยนั่งจิบชาอย่างไม่ทุกร้อนอะไร
ฮองเฮากับหลันกุ้ยเฟยหันมองหน้ากันอย่างปลงตก
“ใช่น่ะสิเพราะรู้ดีแม่จึงได้ถามพวกเจ้า ทำอะไรก็อย่าให้มันเกินไปนักเรื่องนี้คงยากที่ใครจะรับได้" จางฮองเฮาส่ายหน้าอย่างหนักใจ ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอก
“เสด็จแม่มิต้องเป็นห่วง ลูกกับน้องสามจะทำให้ผู้คนรับเรื่องนี้ได้เอง” หย่งเจี้ยนตอบอย่างมั่นใจ
"เฮ้อ..เอาเถอะ แม่ได้ข่าวว่าเหม่ยเอ๋อร์ตกบันได หลังวันปักปิ่นของนาง บอกให้นางเข้ามาพบแม่ ” จางฮองเฮาย้ำกับโอรสทั้งสอง
“พะยะค่ะ/พะยะค่ะ!”
๑--------------------------------๑
ในรถม้าของจวนสกุลจูขณะที่กำลังเดินทางไปร่วมงานประชันบุพผา จูเหม่ยเซียนนั่งคิดในใจว่านางได้รับบทเป็นนางร้ายในนิยาย ตอนจบสำหรับนางถ้าไม่ตายก็คงไม่มีอะไรดี เช่นนั้นจากบทตัวอิจฉาที่คอยขัดขวางพระ-นาง เปลี่ยนเป็นสนับสนุนพวกเขาก็คงจะจบสวยหน่อยใช่มั้ยนะ?? แล้วเนื้อเรื่องในหนังสือที่หายไปนั่นอีกล่ะ วุ่นวายจัง'
“เสี่ยวถง เจ้าคิดว่าคนที่ทำตัวร้ายมาตลอดอย่างข้า จะกลับตัวกลับใจในตอนนี้คงยังไม่สายเกินไปใช่หรือไม่??”
“คุณหนู…ไม่ได้ร้ายตลอดสักหน่อยนะเจ้าคะ” ‘อย่างน้อยก็ตอนนี้’
“ไม่ร้ายตลอดงั้นรึ?” เหม่ยเซียนหรี่ตามองสาวใช้อย่างคาดคั้น “เมื่อก่อนนอกจากชอบไปแอบฟังคุณหนูตู้กับคุณหนูไป่แล้วมีอะไรอีก?เล่ามา" กอดอกรอฟังความจริง
“แค่หยิ่งยโส ชอบบ่นว่าบ่าวยามทำอะไรมิพอใจ ชอบไปแกล้งคุณหนูไป่ ชอบไปแอบฟังข่าวคราวคุณหนูทั้งหลายในเมืองหลวงที่โรงเตี๊ยมเงาพระจันทร์และยังมี….” คุณหนูยกมือห้ามทัพ
“หยุด!!! มีแต่เรื่องดีๆทั้งนั้นนะว่ามั้ย?” เงียบไปอย่างใช้ความคิดเพื่อหาทางออกที่ดี อย่างน้อยเราก็ยังไม่อยากตายเร็วละวะ “ข้าตัดสินใจแล้ว จากนี้ข้าจะเปลี่ยนตัวเองถึงข้าจะร้ายแต่ก็ขอร้ายอย่างมีคุณค่า หึหึหึ” พยักหน้าหงึกหงักอยู่คนเดียว
‘ร้ายอย่างมีคุณค่า อย่างไรน่ะเจ้าค่ะ’ เสี่ยวถงทำหน้างง
รถม้าจอดถึงหน้างานประชันบุพผาพื้นที่สวนขนาดใหญ่ปรากฏแก่สายตา ผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ทั้งคุณหนูคุณชายเดินผ่านไปมาหลายคนหยุดทักทาย หลายคนแค่เดินมองและผ่านไป มีร้านค้าขนาดเล็กล้อมรอบบริเวณ ‘อาา…เหมือนงานวัดเลยแฮะ น่าสนุกจัง’ ไกลออกไปไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรมีเวทีขนาดเล็กและสาวงามสามนางยืนอยู่ หนึ่งในนั้นมีคุณหนูไป่เยว่ชิงยืนอยู่ด้วย ‘คงจะถึงรอบตัดสินแล้วกระมัง’ ชักชวนเสี่ยวถงให้รีบเดินไปหน้าเวที
“ป่ะไปชมสาวงามอันดับหนึ่งกัน” ยิ้มอย่างสบายใจ
ด้านหน้าเวที ผู้ประกาศรางวัลเป็นขันทีจากในวังหลวงของรางวัลอันดับหนึ่งเป็นสร้อยข้อมือไข่มุกจากฮองเฮาและทองหนึ่งหีบเล็ก อันดับสองเป็นทองหนึ่งหีบเล็ก และอันดับสามเป็นตั๋วแลกเงินหนึ่งหมื่นตำลึง ในบรรดาของรางวัลทั้งหมดสิ่งที่ดูมีค่ามากที่สุดคงเป็นสร้อยไข่มุกกระมัง เหม่ยเซียนยืนด้านหน้าเวทีไม่ใกล้ไม่ไกลให้เพียงพอที่คุณหนูไป่จะมองเห็น และแล้วนางก็เห็น เหม่ยเซียนยกยิ้มขึ้นมุมปากสมใจ ทั้งสองจ้องมองกันอยู่ครู่ ก็ได้ยินเสียงขันทีขานรางวัล
“รางวัลอันดับที่สามได้แก่ คุณหนูฟางอี้ผิง ขอเชิญมารับรางวัลตั๋วแลกเงินหนึ่งหมื่นตำลึงด้วย” จบคำขันทีคุณหนูฟางก็ออกมารับตั๋วเงินแล้วเดินลงเวทีไป เหม่ยเซียนจ้องมองคุณหนูไป่อย่างนึกขัน ‘อะไรจะเกร็งขนาดนั้นแม่คู้นนน 55 ถ้าจะให้ตัดสินว่าสองคนบนเวทีใครสวยกว่ากันคงจะเป็นคุณหนูอีกคนที่ยืนข้างๆคุณหนูไป่ แต่ก็อย่างว่าละนะ สกิลนางเอกดีเสมอ ไม่เชื่อก็คอยดู'
“รางวัลอันดับที่สองได้แก่….คุณหนูหยางเพ่ยอิน ” ‘นั่นไงว่าแล้ว!!ดูเหมือนคุณหนูไป่จะยืดอกขึ้นนิดนึงนะใช่มั้ย55’
“ขอเชิญคุณหนูหยาง มารับรางวัลทองคำหนึ่งหีบและแน่นอนว่าอันดับหนึ่งเป็นของคุณหนูไป่เยว่ชิง บุตรีของท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายไป่เยี่ยกวง ข้าในฐานะผู้แทนพระองค์ขอมอบสร้อยข้อมือไข่มุกสีม่วงน้ำงามที่สุดในแผ่นดินของรางวัลจากองค์ฮองเฮาและทองคำหนึ่งหีบ ยินดีด้วยๆ” มอบรางวัลกันเรียบร้อยก็จบงานไป่เยว่ชิงเดินลงจากเวทีเล็กเข้ามาหาสหายสนิทตู้ฟางซิน
“ข้านึกแล้วว่าเจ้าต้องได้อันดับหนึ่ง” ฟางซินยิ้มกว้างดีใจกับสหาย
“ขอบใจเจ้าที่ให้กำลังใจข้ามาตลอดนะฟางซิน” ไป่เยว่ชิงจับมือของฟางซินเขย่าไปมา
“มิเป็นไรหรอก เราเป็นกันสหายกันนี่”
“อืม” ยืนกล่าววาจาแต่สายตากลับเหลือบแลไปรอบๆงาน ‘เมื่อกี้เห็นนางอยู่แถวนี้นี่นา’
“เจ้ามองหาใครน่ะเยว่ชิง”
“จูเหม่ยเซียนนะสิ ข้ามีบางอย่างอยากจะพูดกับนาง” สายตามองเห็นหลังของนางเดินไวๆไปทางซุ้มของหวาน “นั่นไงเจอแล้วไปกันเถอะฟางซิน” เดินแกมวิ่งลากสหายไปด้วย สาวใช้สองนางช่วยกันถือของรางวัลวิ่งตามนายสาวไปอย่างรวดเร็ว
๑--------------------------------๑
หลังจากจบการมอบรางวัลเหม่ยเซียนก็ชักชวนเสี่ยวถงออกไปหาของกินตามซุ้มขายของรอบๆงาน ในใจของเหม่ยเซียนคิดไว้อยู่แล้วว่าถ้าไป่เยว่ชิงไม่โง่จนเกินไป นางจะต้องเข้ามาพูดคุยและหาทางที่จะไปร่วมงานวันปักปิ่นแน่นอน เพราะคราวก่อนในร้านผ้าจินหงเหม่ยเซียนได้กล่าวเป็นนัยๆแล้วว่าทั้งสององค์ชายจะมาร่วมงานด้วยนางคงไม่อยากเสียโอกาสอันดีนี้หรอกเนอะ
“คุณหนูจูหยุดก่อน” ‘นั่นไงล่ะ’ หันกลับไปมองแกล้งทำท่าตกใจ
“โอ๊ะ !! คุณหนูไป่กับคุณหนูตู้นั่นเอง" ส่งยิ้มการค้าไปให้ "ข้ายินดีด้วยที่เจ้าได้รางวัลหญิงงามอันดับหนึ่ง อันที่จริงน่าจะเรียกว่าเจ้าโชคดีมากกว่านะที่ข้ามิได้ร่วมประชันด้วยมิเช่นนั้นเจ้าคงได้แค่อันดับที่สอง แต่ก็ดีใจด้วยจริงๆ” ไป่เยว่ชิงหน้าเสียไปนิดตู้ฟางซินกำลังโมโหและจะกล่าวโต้ตอบ แต่ถูกเยว่ชิงดึงแขนไว้แล้วพูดว่า
“คงจะเป็นดังเช่นเจ้าว่าถ้าวันนี้เจ้าขึ้นประชันสาวงามด้วย ข้าคงมิได้ตำแหน่งอันดับหนึ่งและต้องขอขอบคุณเจ้าด้วยที่มาให้กำลังใจข้า”
“หึ..ให้กำลังใจ เจ้าคิดเช่นนั้นรึ??” กล้าพูดเนาะ
“ข้าคิดเช่นนั้นและเพื่อเป็นการขอบคุณ วันงานปักปิ่นของเจ้าข้าและฟางซินยินดีที่จะเข้าไปช่วยงาน หากเจ้าขาดเหลือสิ่งใดข้าและฟางซินพร้อมจะจัดหามาให้ ดีหรือไม่” ฟางซินหันขวับไปมองสหายอ้าปากค้าง
เหม่ยเซียนยกยิ้ม “เอาสิ ถ้าอยากจะช่วยข้าก็ไม่ขัด แต่พวกเจ้าช่วยมาวันงานวันเดียวก็พอ วันอื่นไม่ต้องเพราะถ้าข้าเห็นพวกเจ้าเดินไปเดินมาในจวนข้าหลายวันข้าคงรำคาญสายตาแย่ อ้อ!!! แล้วก็ขอบคุณล่วงหน้านะถ้ามีอะไรขาดเหลือข้าจะส่งคนไปแจ้งละกัน หมดธุระแล้วใช่หรือไม่ขอตัวก่อน” กล่าวจบโดยมิรอให้พวกนางได้พูดต่อก็ชวนเสี่ยวถงเดินหาของหวานและเลิกสนใจพวกนาง ในใจปลื้มปริ่มเต็มที่ ‘เอาล่ะเริ่มเดินตามแผน เราจะดันตัวเอกให้เจอกันและพบรักกันก่อน หึหึ จากนั้นก็..ลั้นลาาา จะมีแม่ทัพงานดีรอเราอยู่ใช่ม้ายยย’ ?
คล้อยหลังจูเหม่ยเซียน ตู้ฟางซินก็ร้องโวยวายทันที
“เจ้ากล่าวอันใดน่ะเยว่ชิง มิเห็นรึว่ามันเหยียดหยามเจ้าขนาดไหน? ยังจะไปช่วยมันวันงานอีกช่างใจบุญดุจแม่ชีบนอารามเสียจริงสหายข้า" ส่ายหน้าเบื่อหน่าย
“เจ้าคงลืมไปใช่รึไม่” ฟางซินหันมอง “ว่าวันงานปักปิ่นของนางผู้ใดจะมา” นิ่งคิดไปพักหนึ่งก่อนจะร้องขึ้นมา
“ใช่สิ องค์ชายเจ้าหย่งเซิง” ตู้ฟางซินทำตาโตลุกวาว “งั้นที่เจ้าทำเช่นนี้เป็นเพราะ?”
“ใช่แล้วเราต้องยอมอ่อนให้นางไปก่อนวันข้างหน้าหากอยากเอาคืนก็ยังมิสาย” ยิ้มมั่นใจ
“เจ้าช่างฉลาดเสียจริง..ดีๆงั้นเราไปเตรียมตัวหาชุดกับเครื่องประดับสวยๆไปร่วมงานของนางกันเถอะ ป่ะ” จูงแขนไป่เยว่ชิงเดินยิ้มไปอย่างมีความสุข