เสียงหัวเราะของพอลดังขึ้นในบ้านพี่เข้ม คลอไปกับเสียงพูดคุยของลินดาและข้าวหอมที่กำลังช่วยกันจัดเตรียมอาหารเย็น พี่เข้มเองก็ดูผ่อนคลายกว่าที่เคย ขุนมองดูทุกคนด้วยความรู้สึกที่ยังปรับตัวไม่ทัน เขาคุ้นชินกับการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมานาน การได้เห็นบรรยากาศอบอุ่นแบบนี้ทำให้ใจเขาเบาลง แต่ก็ยังมีความรู้สึกแปลกแยกอยู่บ้าง
ในขณะที่ข้าวหอมกำลังจะเดินไปหยิบจานเพิ่ม สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นเงาตะคุ่ม ๆ อยู่ตรงหน้าต่างบานหนึ่ง เธออมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครมาแอบมอง
“เดือน!” ข้าวหอมเอ่ยเรียกชื่อขึ้นเบา ๆ พร้อมส่งรอยยิ้มที่อบอุ่นและเป็นกันเองให้
เดือน สะดุ้งเล็กน้อย เธอไม่คิดว่าข้าวหอมจะเห็น เธอทำท่าจะหันหลังกลับ แต่ก็เปลี่ยนใจ เมื่อถูกจับได้แล้วก็ไม่มีเหตุผลจะต้องหลบอีก เธอค่อย ๆ เดินออกมาจากเงาต้นไม้แล้วมายืนอยู่หน้าต่าง ส่งยิ้มเล็ก ๆ ให้ข้าวหอม
ลินดา ที่กำลังช่วยจัดจานอยู่เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียกของข้าวหอม เธอเห็นเดือนยืนอยู่ตรงนั้น ก็เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ เพราะเธอไม่เคยเห็นเด็กสาวคนนี้มาก่อนเลย
“ใครเหรอข้าวหอม” ลินดาถามด้วยความสงสัย
ข้าวหอมยิ้มกว้าง “อ๋อ นี่น้องเดือนค่ะ บ้านอยู่ติดกับไร่เรานี่เอง” เธอหันไปทางเดือน “นี่พี่ลินดาเพื่อนพี่เข้มกับพี่พอลค่ะ”
เดือนยกมือไหว้อย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะพี่ลินดา”
ลินดายิ้มรับ “สวัสดีจ้ะ ไม่เคยเห็นเลยนะ”
ในขณะที่ข้าวหอมกำลังจะแนะนำเดือนให้รู้จักกับคนอื่น ๆ ในห้อง พอล ก็หันมาพอดี เขามองเดือนด้วยความสงสัยไม่ต่างจากลินดา เพราะเขาเองก็เพิ่งรู้จักกับพี่เข้มและลินดาในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ตอนที่เข้มเริ่มขยายกิจการลำไยและร่วมมือกับไร่ดอกไม้ เขาไม่ได้รู้จักคนในระแวกนี้มาก่อน และเพิ่งเคยเห็นเดือนเป็นครั้งแรก
“สวัสดีครับ” พอลเอ่ยทักอย่างสุภาพ
จู่ ๆ เสียงทุ้มต่ำของ พี่เข้ม ที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็ดังขึ้น เขาหันไปมองเดือนที่ยืนอยู่หน้าต่าง แล้วเอ่ยกับข้าวหอมด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่พอให้ทุกคนได้ยิน “เดือนโตเป็นสาวแล้วนะข้าวหอม”
คำพูดของพี่เข้มไม่ได้เป็นการแซวเสียงดัง แต่เป็นข้อสังเกตที่ทำให้ทุกคนหันมามองเดือนอีกครั้ง เดือนถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย เธอเหลือบมองไปที่ ขุน อย่างรวดเร็ว
ขุนที่นั่งนิ่งมาตลอดจู่ ๆ ก็ชะงักไปเล็กน้อย รอยยิ้มที่เคยปรากฏบนใบหน้าเมื่อครู่จางหายไปเล็กน้อย แววตาของเขาดูซับซ้อนขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของพี่เข้ม เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ก้มหน้าลงมองจานข้าวในมือ แต่หูของเขากลับตั้งใจฟังทุกบทสนทนา
ลินดาที่ได้ยินคำพูดของพี่เข้มก็หันมามองเดือนด้วยรอยยิ้มที่แฝงความสนใจ เธอดูแปลกใจเล็กน้อยกับข้อมูลที่ได้ยินว่าเดือนโตขึ้นมาก แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ
“หนูขอตัวก่อนนะคะ” เดือนรีบพูดตัดบท เธอรู้สึกเขินจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่บ้านของเธอเองอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เสียงพูดคุยยังคงดังแว่วมาตามลม
ขุนรู้สึกถึงสายตาของ เดือน ที่แอบมองมาจากหน้าต่างบ้านของเธอตอนที่ข้าวหอมทัก และเขาก็เห็นแววตาเขินอายของเธอเมื่อพี่เข้มพูดถึงเรื่องที่เธอโตเป็นสาว แต่ขุนเลือกที่จะนิ่งเฉย เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดคุยกับเดือนอย่างไรดี หลังจากที่เขาหายไปนานถึงเจ็ดปี
คืนนั้น หลังจากพอลและลินดากลับไป บ้านของพี่เข้มก็กลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ขุนช่วยพี่เข้มเก็บของเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวกลับไปพักผ่อนในห้องนอนของตัวเอง เขานอนไม่หลับ ความคิดถึงเดือนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
รุ่งเช้า ขุนตื่นขึ้นมาด้วยความตั้งใจบางอย่าง หลังจากทานอาหารเช้ากับพี่เข้มและข้าวหอมอย่างเงียบ ๆ ขุนก็ขอตัวออกไปเดินเล่นในไร่ลำไย เขาเดินเลียบไปตามแนวต้นลำไยที่คุ้นเคย จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่เป็นแนวรั้วติดกับบ้านของเดือน
เขาเห็นเดือนกำลังรดน้ำต้นไม้เล็ก ๆ หน้าบ้านอย่างเพลิน ๆ แสงแดดยามเช้าสาดส่องต้องร่างเธอ ทำให้เดือนดูงดงามราวกับภาพวาด
ขุนสูดหายใจเข้าลึก เขาตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะต้องเข้าไปคุยกับเธอ
“เดือน…” ขุนเอ่ยเรียกชื่อเธอเบา ๆ
เดือนสะดุ้งสุดตัว เธอหันขวับมามองขุนด้วยความตกใจ ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว น้ำที่รดต้นไม้อยู่หกเลอะพื้นเล็กน้อย
“พี่…พี่ขุน” เดือนเรียกชื่อเขาเสียงแผ่ว ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย
ขุนก้าวเท้าเข้ามาใกล้รั้วอีกนิด “พี่…มาคุยด้วยได้ไหม” น้ำเสียงของเขาดูประหม่าเล็กน้อย ไม่ต่างจากเธอ
เดือนพยักหน้ารับช้า ๆ เธอดับก๊อกน้ำ แล้ววางบัวรดน้ำลงข้างตัว ก่อนจะเดินเข้ามาหารั้วอย่างช้า ๆ หัวใจของเธอเต้นระรัว ไม่รู้ว่าเขาจะพูดอะไร
ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างคนทั้งสอง มีเพียงเสียงลมพัดใบไม้เบา ๆ และเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว
“สบายดีไหม” ขุนเริ่มต้นประโยคด้วยคำถามง่าย ๆ คำถามที่เขาอยากถามมานานแสนนาน
เดือนพยักหน้า “สบายดีค่ะ พี่ขุนล่ะคะ…สบายดีไหม”
ขุนพยักหน้าเช่นกัน “ก็…สบายดี” เขาหลบสายตาไปเล็กน้อย ไม่กล้าสบตาเดือนตรง ๆ “พี่…ขอโทษนะที่หายไปนาน”
คำขอโทษที่หลุดออกมาจากปากของขุนอย่างกะทันหัน ทำให้เดือนรู้สึกจุกในอก น้ำตาเริ่มเอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้ง เธอส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่เป็นไรค่ะ…เดือนเข้าใจ”
“เข้าใจเหรอ” ขุนถามเสียงแผ่ว แววตาของเขาดูเจ็บปวด “เข้าใจอะไร”
เดือนเงยหน้าขึ้นสบตาขุน ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งคิดถึง เสียใจ และเข้าใจ “เดือนเข้าใจว่าพี่ขุนคงมีเหตุผลของพี่ขุน…ที่ต้องไป”
ขุนมองเดือนนิ่งนาน เขาเห็นความเข้าใจและความบริสุทธิ์ใจในแววตาของเธอ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก
“แล้ว…ทำไมพี่ขุนถึงกลับมาคะ” เดือนถามต่อ คำถามนี้เป็นเหมือนกุญแจสำคัญที่เธอรอคอยคำตอบมาตลอดเจ็ดปี
ขุนหลับตาลงชั่วครู่ ภาพอดีตมากมายผุดขึ้นมาในหัว ทั้งชีวิตที่โดดเดี่ยวในกรุงเทพฯ เรื่องราวที่โดนหลอกให้กู้เงิน และคืนที่เขายืนอยู่ริมต้นลำไย มองดูแม่จากไป
“พี่…” ขุนเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง สบตาเดือนตรง ๆ “พี่แค่…อยากกลับมาที่นี่”
คำตอบนั้นไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่านั้น แต่แววตาที่เจ็บปวดของขุนกลับทำให้เดือนรู้สึกถึงบางอย่างที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะอธิบายได้
“เดือนดีใจนะคะ…ที่พี่ขุนกลับมา” เดือนพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ไร่ลำไยดูเหงามากเลยค่ะ…ถ้าไม่มีพี่ขุน”
รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของขุนเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ที่เขากลับมาถึงไร่ลำไย รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนและอบอุ่น เหมือนรอยยิ้มที่เดือนเคยจำได้เมื่อครั้งยังเด็ก