ตอนที่ 3 ความโดดเดี่ยวในเมืองใหญ่

1295 Words
ขุนก้าวลงจากรถโดยสารประจำทาง ใบหน้าของเขาถูกกระทบด้วยความร้อนระอุและเสียงอึกทึกของกรุงเทพฯ ที่ไม่เคยหลับใหล กลิ่นควันรถยนต์ผสมกับไอเสียรถเมล์เก่า ๆ คลุ้งอยู่ในอากาศ ท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนเร่งรีบ เสียงแตรรถดังสลับกับเสียงตะโกนเรียกลูกค้า ขุนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ที่กำลังจะถูกกลืนหายไปในมหานครแห่งนี้ ในใจเขามีเพียงความรู้สึกอึดอัดที่สั่งสมมานาน ความน้อยใจที่ถูกมองข้ามความฝัน และความปรารถนาที่จะไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ พ้นจากสายตาของผู้คนที่เคยรู้จัก กระเป๋าผ้าใบเก่า ๆ ถูกหิ้วอย่างมั่นคง ข้างในมีเสื้อผ้าไม่กี่ชุดกับเงินจำนวนน้อยนิดที่แม่แอบยัดใส่มือให้ก่อนที่เขาจะแอบออกมา เขาไม่มีแผนการ ไม่มีจุดหมาย มีแค่ความหวังเลือนรางว่าจะหา "ที่อยู่" ให้ตัวเองได้ ไม่ต้องเป็นบ้าน ขอแค่อย่าโดนไล่ก็พอ วันแรก ๆ ในกรุงเทพฯ เป็นเหมือนฝันร้าย ขุนเร่ร่อนไปทั่ว พยายามหางานทำที่ไหนก็ได้ที่พอจะประทังชีวิต งานแรกที่เขาได้คือการเป็นกรรมกรแบกหามข้าวของหนัก ๆ ตามตลาด แรงกายที่เคยใช้ในการทำไร่กลับแตกต่างออกไปเมื่อต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย เขาต้องทนกับคำพูดที่ดูถูกและสายตาที่มองเขาเป็นเพียงแรงงานชั้นต่ำ หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนไปทำงานล้างจานในร้านอาหารบ้าง ทำงานรับจ้างรายวันบ้าง งานเหล่านั้นสอนให้เขารู้จักความเหน็ดเหนื่อยอย่างแท้จริง และความจริงที่ว่าชีวิตในเมืองใหญ่ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด ขุนได้เช่าห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่งในตึกแถวเก่า ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยแคบ ๆ ห้องนั้นมีเพียงเตียงเหล็กผุ ๆ โต๊ะไม้เล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่น และกำแพงสีซีดที่ลอกร่อน มันไม่มีหน้าต่างบานไหนที่มองเห็นท้องฟ้ากว้าง ๆ เหมือนที่ไร่ลำไย ไม่มีกลิ่นดิน กลิ่นดอกไม้ มีแต่กลิ่นอับชื้นจากห้องข้าง ๆ และเสียงโวยวายของเพื่อนร่วมห้องเช่า "ตื่นไปทำงานทุกวัน เลิกมาก็กินข้าวกล่อง นอนบนเตียงเหล็กที่ฝุ่นจับ ไม่มีใครเรียกชื่อ ไม่มีใครถามว่าวันนี้เหนื่อยมั้ย" นี่คือวงจรชีวิตของขุน เขาทำงานเพื่อมีชีวิตรอด ทำงานเพื่อจ่ายค่าห้อง ทำงานเพื่อหล่อเลี้ยงลมหายใจที่โดดเดี่ยว ในความมืดมิดของห้องเช่าแคบ ๆ นั้น ขุนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งในเมืองใหญ่ ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครสนใจ เขาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แรงกดดันที่มองไม่เห็น แรงกดดันที่บอกว่าเขาต้องเข้มแข็ง ต้องอยู่รอดให้ได้ด้วยตัวเอง บางครั้งความเหงาก็เข้ากัดกินหัวใจ เขาคิดถึงบ้าน คิดถึงไร่ลำไย คิดถึงพี่เข้ม คิดถึงแม่ คิดถึงเสียงหัวเราะของ เดือน ที่เคยวิ่งตามเขาต้อย ๆ แต่ความน้อยใจและความรู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้งก็ยังคงฝังลึกอยู่ในใจ ทำให้เขาไม่กล้าที่จะหันหลังกลับไป เขาเคยหยิบหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ที่เก็บได้มานั่งอ่าน บรรทัดเล็ก ๆ เกี่ยวกับ “ทุนการศึกษา” สำหรับเด็กต่างจังหวัดที่อยากเรียนต่อโผล่ขึ้นมาในสายตา ขุนเคยคิดจะลองสมัคร แต่ภาพของแบบแปลนเรือนแปรรูปผลไม้ที่พี่เข้มเคยถือ และประโยคที่ว่า "อยู่ที่นี่ก็เรียนรู้ได้ ไม่เห็นต้องไปไกลถึงกรุงเทพฯ ให้เหนื่อย" ก็ย้อนกลับมาในหัว ทำให้เขาพับหนังสือพิมพ์นั้นเก็บไว้ ไม่เคยแม้แต่จะลองเริ่มต้น วันคืนในกรุงเทพฯ ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าสำหรับขุน ทุกวันเหมือนเดิมซ้ำ ๆ เขาเข้มแข็งขึ้นในแบบที่ต้องเอาตัวรอด แต่ภายในใจกลับมีบาดแผลที่ไม่เคยได้รับการเยียวยา แสงอาทิตย์ยามเช้าของกรุงเทพฯ ไม่ได้อบอุ่นเหมือนแสงแดดในไร่ลำไย มันมักจะมาพร้อมกับเสียงอึกทึกครึกโครมของเมืองที่ตื่นขึ้น และกลิ่นควันรถที่เริ่มคละคลุ้ง ขุนตื่นขึ้นมาบนเตียงเหล็กผุ ๆ ในห้องเช่าแคบ ๆ ของเขา ทุกวันคือการเริ่มต้นของความเหน็ดเหนื่อยครั้งใหม่ เขาทำงานหลากหลายอย่างในแต่ละวัน ไม่มีอะไรแน่นอน บางวันเขาเป็น กรรมกรแบกหาม อยู่ในตลาดสี่มุมเมือง แบกกระสอบข้าวสาร หัวหอม หรือผักผลไม้หนักอึ้งขึ้นลงรถบรรทุก กล้ามเนื้อแทบฉีก ข้อเข่าปวดร้าวไปหมด เขาต้องทนกับเสียงตะโกนด่าทอจากหัวหน้างานที่หงุดหงิด และสายตาที่มองเขาเป็นแค่เครื่องจักรที่ต้องทำงานให้ได้มากที่สุด บางวันโชคดีหน่อย เขาก็ได้งานเป็น เด็กเสิร์ฟหรือล้างจาน ในร้านอาหารเล็ก ๆ ตามตรอกซอยแคบ ๆ เขาต้องยืนอยู่หน้าอ่างล้างจานที่เต็มไปด้วยคราบมัน ความร้อนจากไอน้ำและกลิ่นอาหารคาวคลุ้งไปทั่ว มือของเขาเปื่อยยุ่ยจากน้ำยาล้างจานแรง ๆ และผิวหนังก็แห้งกร้านจากน้ำและสบู่ แต่เขาก็ต้องกัดฟันทำ เพราะนี่คือหนทางเดียวที่จะมีเงินซื้อข้าวประทังชีวิต ในตอนกลางคืน หลังเลิกงาน ขุนจะเดินกลับห้องเช่าอย่างเงียบ ๆ ร่างกายอ่อนล้าจนแทบไม่มีแรงก้าวขา แต่ใจเขากลับยังต้องแข็งแกร่ง เขาจะซื้อข้าวกล่องราคาถูกจากร้านข้างทาง กินมันอย่างเงียบ ๆ คนเดียวบนเตียงเหล็กเก่า ๆ ที่เป็นทั้งที่กิน ที่นอน และบางครั้งก็เป็นที่ระบายความรู้สึกทั้งหมดที่เขาไม่มีใครจะพูดด้วย ความโดดเดี่ยวคือเพื่อนสนิทของขุนในเมืองใหญ่ เขาไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติ ไม่มีใครที่รู้จักชื่อจริง ไม่มีใครถามว่าเขามาจากไหน หรือทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ทุกคนเป็นเพียงเงาที่เดินสวนกันไปมาในชีวิตประจำวันอันวุ่นวาย “ผมเคยทำงานหนัก…จนลืมถามใจตัวเองมั้ย” ขุนมักจะคิดถึงคำถามนี้อยู่บ่อย ๆ ในวันที่ท้อแท้ เขาทำงานไปวัน ๆ เหมือนหุ่นยนต์ ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีอนาคตที่ชัดเจน สิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงเขาไว้คือสัญชาตญาณของการเอาชีวิตรอด ในบางวัน เขานั่งอยู่บนฟุตบาทริมถนน มองดูรถยนต์หรู ๆ แล่นผ่านไป มองดูผู้คนที่แต่งตัวดี ๆ เดินจับจ่ายซื้อของ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงเศษฝุ่นที่ถูกทิ้งไว้ข้างทาง ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเข้ากัดกินหัวใจ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเก็บมันไว้ข้างใน เขาเคยคิดที่จะกลับบ้านหลายครั้ง ภาพของไร่ลำไยอันเขียวขจี เสียงหัวเราะของเดือน และรอยยิ้มอบอุ่นของพี่เข้มผุดขึ้นมาในความทรงจำ แต่ทุกครั้งที่คิดจะหันหลังกลับ ความรู้สึกผิดหวังและน้อยใจที่เคยมีต่อพี่เข้มก็คอยฉุดรั้งไว้ ทำให้เขาต้องกัดฟันใช้ชีวิตที่โดดเดี่ยวนี้ต่อไป ค่ำวันหนึ่ง ขุนเดินกลับห้องกลางฝนที่โปรยปราย หน้าร้านดอกไม้ริมถนนมีเด็กหญิงยืนหลบฝน ในมือเธอถือดอกไม้สีซีดคล้ายดอกลำไยแห้ง เธอหันมายิ้มให้เขาเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร และเขาหันหน้าหนีแทบไม่ทัน เพราะทันทีที่สบตาเด็กคนนั้น เขาเห็นเดือน… เด็กหญิงตัวเล็กที่เคยยื่นดอกไม้ให้ และพูดเสียงใสว่า “พี่ขุนคือเจ้าชายของเดือนนะคะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD