ชีวิตของขุนในเมืองใหญ่ยังคงดำเนินไปอย่างยากลำบาก เขาเปลี่ยนงานมาหลายครั้ง จนกระทั่งได้งานเป็นคนงานใน โรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แห่งหนึ่ง แม้จะเป็นงานที่ต้องยืนนาน ๆ และใช้ความละเอียดสูง แต่ค่าแรงก็ดีกว่างานที่เคยทำมา และมีโอทีให้พอได้ลืมตาอ้าปากบ้าง
โรงงานแห่งนี้เป็นเหมือนโลกอีกใบที่เขาไม่เคยรู้จัก คนงานจำนวนมากมารวมตัวกันจากทุกสารทิศ ต่างคนต่างมีเรื่องราวและความฝันเป็นของตัวเอง ขุนเริ่มมีเพื่อนร่วมงานบ้างประปราย หนึ่งในนั้นคือ สมศักดิ์ ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่ดูใจดีและชอบช่วยเหลือผู้อื่น สมศักดิ์มักจะชวนขุนคุยเรื่องต่าง ๆ เล่าเรื่องชีวิตในเมืองใหญ่ให้ฟัง และดูเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกโดดเดี่ยวของขุนเป็นอย่างดี
วันหนึ่ง สมศักดิ์เดินเข้ามาหาขุนด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“ขุน…นายพอจะมีเงินให้เรายืมสักก้อนไหม” สมศักดิ์ถามเสียงเบา “พอดีแม่เราป่วยหนัก ต้องใช้เงินด่วนจริง ๆ”
ขุนชะงัก เขาไม่ได้มีเงินเก็บมากมายอะไร แต่เมื่อเห็นแววตาอ้อนวอนของสมศักดิ์และความจำเป็นที่ฟังดูน่าเห็นใจ เขาก็รู้สึกสงสาร
“เราไม่ค่อยมีหรอกนะสมศักดิ์…แต่พอช่วยได้นิดหน่อย” ขุนบอกอย่างลังเล
สมศักดิ์ส่ายหน้า “ไม่พอหรอกขุน…แต่นายพอจะกู้เงินจากพวกปล่อยกู้นอกระบบให้เราได้ไหม เดี๋ยวเราจะช่วยจ่ายดอก แล้วจะรีบคืนให้เร็วที่สุดเลย”
ขุนตกใจ เขาไม่เคยข้องเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบ รู้ดีว่ามันอันตรายแค่ไหน แต่สมศักดิ์ก็คะยั้นคะยอ อ้างถึงความจำเป็นของแม่ที่กำลังป่วยหนัก และรับปากว่าจะไม่ทิ้งให้ขุนต้องรับผิดชอบคนเดียว
ด้วยความที่ไว้ใจสมศักดิ์และความไม่ประสีประสาในเรื่องการเงิน ขุนจึงยอมใจอ่อน เขายอมไป กู้เงินนอกระบบ มาให้สมศักดิ์ก้อนหนึ่ง โดยมีชื่อของเขาเป็นผู้กู้ ทุกวันหลังเลิกงาน ขุนจะแบ่งเงินค่าแรงของตัวเองไปจ่ายดอกเบี้ยตามที่สมศักดิ์บอก
แต่แล้ว…ความจริงอันโหดร้ายก็ปรากฏขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น สมศักดิ์ก็ หายตัวไป เขาขาดงาน ไม่มาทำงานอีกเลย เบอร์โทรศัพท์ที่เคยติดต่อได้ก็ปิดไปแล้ว ขุนพยายามตามหาทุกวิถีทาง แต่ก็ไม่พบร่องรอยใด ๆ ของสมศักดิ์เลย
หนี้เงินกู้นอกระบบก้อนใหญ่ที่สมศักดิ์ทิ้งไว้ กลายเป็นภาระหนักอึ้งที่ขุนต้องแบกรับไว้เพียงคนเดียว ดอกเบี้ยมหาโหดเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ทวงถามด้วยวิธีการข่มขู่ที่ทำให้ขุนหวาดกลัว เขาทำงานหนักขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อหาเงินมาจ่ายหนี้ แต่ก็ยังไม่พอ
ชีวิตที่เคยโดดเดี่ยวอยู่แล้ว ยิ่งมืดมิดและสิ้นหวังมากขึ้นไปอีก ขุนต้องอยู่อย่างหวาดระแวง ไม่กล้าออกไปไหนคนเดียว ไม่กล้าเปิดประตูห้องให้ใครที่ไม่รู้จัก เขาเริ่มอดมื้อกินมื้อเพื่อให้มีเงินไปจ่ายหนี้ ชีวิตของเขากลายเป็นนรกบนดิน
ในความมืดมิดและสิ้นหวังนั้น ขุนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งที่มองไม่เห็นทางออก เขาไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ไม่มีใครที่เขากล้าเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ความรู้สึกผิดที่หลงเชื่อคนง่ายและความอับอายถาโถมเข้าใส่จนเขาแทบจะยืนไม่ไหว
ขุนใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดกลัวและภาระหนี้สินที่ถาโถม เขาทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ ทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาถูกนำไปจ่ายดอกเบี้ยมหาโหดจนแทบไม่เหลือ เขาผ่ายผอมลงไปมาก ดวงตาที่เคยมีประกายแห่งความฝันบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและความสิ้นหวัง
วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ขุนอดทนทำงานอย่างหนักหน่วง ใช้หนี้ไปทีละเล็กละน้อย จนในที่สุด…วันที่เขาเป็นอิสระจากพันธนาการหนี้สินก็มาถึง
ขุนยืนอยู่กลางห้องเช่าแคบ ๆ ของเขา มองดูความว่างเปล่ารอบกาย เขาปลดเปลื้องภาระหนักอึ้งลงได้แล้ว แต่กลับไม่รู้สึกถึงความสุขใด ๆ มีเพียงความว่างเปล่าที่เข้ามาแทนที่ ความรู้สึกเหนื่อยล้าที่สะสมมานานทำให้เขาอยากจะพักผ่อน อยากกลับไปในที่ที่คุ้นเคย
เขาตัดสินใจกลับบ้าน เขาซื้อตั๋วรถโดยสารกลับไปที่บ้านเกิดทันทีที่ได้เงินก้อนสุดท้ายจากการทำงานหนัก
เมื่อรถโดยสารแล่นเข้าสู่เขตจังหวัดที่คุ้นเคย หัวใจของขุนก็เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เขามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นทิวทัศน์ของไร่ลำไยที่เขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ภาพเหล่านั้นทำให้เขานึกถึงวันเก่า ๆ ที่เคยมีความสุข
แต่แล้ว…เมื่อรถแล่นเข้าใกล้ไร่ลำไยของครอบครัว แสงไฟสลัว ๆ จากบ้านหลังใหญ่ทำให้ขุนเห็นบางอย่างที่ทำให้หัวใจเขาบีบรัด
หน้าบ้านมีรถพยาบาลจอดอยู่ ผู้คนในชุดดำยืนมุงดูด้วยสีหน้าโศกเศร้า ขุนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เขาสั่งให้คนขับจอดรถทันที แล้วรีบวิ่งลงไปจากรถโดยสารอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครสังเกตเห็นการมาถึงของเขา
เขาเดินลัดเลาะเข้าไปใกล้บ้านอย่างช้า ๆ หัวใจเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว เสียงสะอื้นแผ่ว ๆ ลอยออกมาจากในบ้าน ขุนแอบอยู่หลังต้นลำไยต้นหนึ่งที่อยู่ห่างจากตัวบ้านไม่มากนัก เขามองเข้าไปในบ้าน เห็นพี่เข้มกำลังนั่งกอดร่างของแม่ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง
ขุนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ราวกับถูกตรึงไว้กับพื้นดิน เขาอยากจะวิ่งเข้าไปหาแม่ อยากจะกอดแม่เป็นครั้งสุดท้าย อยากจะบอกว่าเขาคิดถึงแม่มากแค่ไหน แต่ขาของเขากลับก้าวไม่ออก ความรู้สึกผิดที่ทิ้งแม่ไป ความเสียใจที่ไม่ได้อยู่ดูแลแม่ในยามที่ท่านป่วยหนัก…ทุกอย่างถาโถมเข้าใส่จนเขาแทบจะยืนไม่ไหว
เขาได้แต่ยืนมองอยู่ตรงนั้น มองดูแผ่นหลังของพี่เข้มที่สั่นสะท้านด้วยความเสียใจ มองดูร่างของแม่ที่ไร้ซึ่งลมหายใจ
ในคืนนั้น…แม่ของขุนก็จากไปอย่างสงบ
ขุนไม่ได้เข้าไปในงานศพ เขาได้แต่ยืนอยู่ตรงริมต้นลำไย ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างเงียบงัน ความเสียใจที่กัดกินหัวใจทำให้เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลง ไม่มีใครรู้ว่าเขามา ไม่มีใครเห็นว่าเขาอยู่ที่นั่น
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ขุนก็ไม่ได้อยู่ที่ไร่ลำไยนานนัก ความรู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่กับแม่ในวาระสุดท้าย และความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในใจ ทำให้เขาตัดสินใจกลับไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ เหมือนเดิม
เขากลับไปใช้ชีวิตในห้องเช่าแคบ ๆ ทำงานหนักเหมือนเคย แต่คราวนี้ในใจของเขามีความว่างเปล่าที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
ขณะเดียวกัน…
เดือน ในวัย สิบห้าปี ที่กำลังเติบโตเป็นเด็กสาว เธอยังคงใช้ชีวิตอยู่บ้านที่ติดไร่ลำไย แม้จะไม่มีใครบอกเธอโดยตรง แต่เธอก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศบางอย่างที่เปลี่ยนไปในคืนที่แม่ของขุนจากไป เธอเห็นรถพยาบาล เห็นความเศร้าของผู้คน
เดือนไม่รู้ว่าขุนแอบกลับมา แต่หัวใจของเธอกลับรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในอากาศ เธอยังคงเฝ้ามองบ้านของขุนเสมอ ทุกวันเธอจะมองไปยังบ้านหลังนั้นด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งขุนจะกลับมาอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง
เมื่อรู้ว่าขุนกลับไปกรุงเทพฯ อีกครั้งหลังจากงานศพของแม่โดยที่เธอไม่ทันได้เจอ หัวใจของเดือนก็รู้สึกเจ็บปวดซ้ำอีก แต่กระนั้น เธอก็ยังคงเชื่อมั่นในคำสัญญาที่เคยให้ไว้ เธอจะยังคง คิดถึงพี่ขุนเสมอ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม และจะรอคอยวันที่เขาจะกลับมาอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
"พี่ขุน..." เธอพึมพำแผ่วเบาเหมือนฝากคำเรียกไปกับสายลม
ไม่มีคำตอบกลับมา มีเพียงเสียงจั๊กจั่นและเสียงหยดน้ำที่หยดจากชายคา
เดือนยกมือปาดเหงื่อและน้ำตาที่ไม่รู้ตัวว่ารินไหลตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอไม่รู้ว่าการรอคอยนั้นจะจบลงแบบใด แต่หัวใจของเธอก็ยังยืนยันหนักแน่นเธอจะไม่หันหลังให้คำสัญญา ไม่ว่าจะต้องรอนานแค่ไหนก็ตาม
ในขณะเดียวกัน...
ขุนกลับมายืนอยู่ที่ระเบียงห้องเช่าชั้นสี่ของเขาในเมืองหลวง เมืองที่วุ่นวายและเฉยชาต่อความเจ็บปวดของใครสักคน ฝนยังตกโปรยปรายเหมือนบาดแผลที่ไม่มีวันสมานสนิท
เขามองท้องฟ้าที่ไม่มีดาว ไม่มีแม้แต่เงาเมฆที่คุ้นเคยจากบ้านเกิด
มือของเขากำจดหมายฉบับเก่าที่แม่เคยเขียนให้ไว้ในลิ้นชักก่อนเขาจะออกจากบ้าน มันเปื้อนน้ำตาและหมึกจางลงตามกาลเวลา แต่ข้อความยังคงชัดเจน:
“ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน แม่ก็รอหนูกลับบ้านเสมอ บ้านของเราไม่เคยปิดประตูสำหรับลูกคนนี้เลย”
ขุนหลับตาแน่น รู้สึกเหมือนกำปั้นใหญ่ ๆ ทุบกลางอก
“แม่...ขอโทษ”
เขาพึมพำออกมาเบา ๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้น หัวพิงกำแพงเย็นเฉียบ ปล่อยให้น้ำฝนและน้ำตาไหลรวมกันอย่างเงียบงัน
ในคืนนั้น เขาฝันถึงแม่ ฝันถึงบ้าน และฝันถึงเด็กสาวคนหนึ่งที่ยืนยิ้มให้เขาอยู่ข้างต้นลำไย...
เธอใส่เสื้อยืดเก่า ๆ ผมเปียคู่ และดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยแววหวัง
เธอยื่นมือให้เขา “พี่ขุน...กลับบ้านเถอะ”
ขุนเอื้อมมือออกไป แต่พอปลายนิ้วจะแตะมือของเธอ ภาพทุกอย่างก็พังสลาย ราวกับกระจกที่แตกร้าวและร่วงหล่นทีละชิ้น
เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาในห้องแคบ ๆ ที่เปียกชื้น เสียงน้ำฝนยังคงกระทบหลังคาสังกะสีดังกรอบแกรบ กลิ่นอับชื้นปนกลิ่นยาแก้ปวดที่เขากินแทบทุกคืนตีขึ้นจมูก
ขุนลุกขึ้นนั่งช้า ๆ ใบหน้าเปียกทั้งจากเหงื่อและน้ำตา เขาเอื้อมหยิบกระดาษโน้ตใบนั้นอีกครั้งข้อความของแม่ที่ย้ำเตือนว่า ‘บ้านจะรอเขาเสมอ’
แต่มันก็เป็นเพียงกระดาษเก่า ๆ ใบหนึ่ง ที่ไม่มีมืออบอุ่นของแม่อยู่เบื้องหลังอีกแล้ว
เขาร้องไห้อีกครั้งไม่ใช่แค่เพราะแม่ตาย แต่เพราะเขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะร่ำลา
เพราะในวันที่คนทั้งบ้านโอบกอดกันด้วยความเศร้า…เขากลับยืนอยู่ใต้ต้นลำไยอย่างคนแปลกหน้า
ไม่มีเสียงเรียกชื่อเขาจากพี่เข้ม
ไม่มีมือแม่ที่แตะใบหน้าอย่างเคย
ไม่มีแม้แต่เงาของตนเองที่ได้อยู่ในภาพสุดท้ายของครอบครัว
ในวันนั้น เขารู้สึกว่า…เขาตายไปแล้ว
ตายทั้งเป็น
ในความทรงจำของแม่
ในความเชื่อใจของพี่เข้ม
และอาจรวมถึง…ในสายตาของใครบางคนที่เคยเฝ้ามองบ้านของเขาทุกวันอย่างเงียบ ๆ
เสียงในหัวของเขาเริ่มตะโกน
“กลับไปทำไม… ในเมื่อไม่มีใครต้องการให้กลับไปอีกแล้ว”
“ขุนไม่ใช่ใครอีกต่อไปแล้วในที่นั่น…”
เขาหัวเราะทั้งน้ำตา ร่างกายสั่นเทิ้ม ราวกับหัวใจจะหลุดออกมาทั้งดวง
ขุนล้มตัวลงนอนอีกครั้งบนเสื่อเก่าที่มีเพียงหมอนแบน ๆ และผ้าห่มขาดริม เขากอดตัวเองแน่นเหมือนเด็กหลงทาง
ในความเงียบของห้องเช่า…เสียงสะอื้นนั้นยังคงดังอยู่ตลอดทั้งคืน
ไม่มีใครได้ยิน
ไม่มีใครเคาะประตูถามว่า “ขุนเป็นอะไร”
เพราะในโลกนี้…เขาเหมือนไม่มีอยู่จริงอีกต่อไป