วันเวลาที่สดใสในไร่ลำไยดูเหมือนจะถูกหยุดลงอย่างกะทันหันในวันหนึ่ง
เดือนยังจำวันนั้นได้ดี เป็นบ่ายแก่ ๆ ที่แดดเริ่มอ่อนแสงลง เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วเหมือนเช่นทุกวัน แต่บรรยากาศในไร่กลับเงียบสงัดผิดปกติ
ตอนแรกเดือนคิดว่าพี่ขุนกับพี่เข้มคงออกไปดูงานที่ปลายไร่เหมือนเคย เธอจึงวิ่งตรงไปที่บ้านของพี่เข้ม แต่เมื่อไปถึง กลับพบว่าประตูหน้าบ้านเปิดแง้มอยู่ ความเงียบภายในบ้านทำให้เดือนรู้สึกแปลกใจ
“พี่ขุน! พี่ขุนอยู่ไหนคะ!” เดือนเรียกชื่อพี่ชายเสียงใส แต่ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงความเงียบที่ดูดกลืนเสียงเธอหายไป
เธอเดินเข้าไปในบ้านอย่างช้า ๆ หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอเดินผ่านห้องครัวที่สะอาดสะอ้าน ห้องรับแขกที่ว่างเปล่า และห้องนอนของขุนที่เปิดประตูทิ้งไว้
บนเตียงนอนของขุน ผ้าห่มถูกพับไว้อย่างเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยของข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว เสื้อผ้าที่เคยแขวนอยู่บนราวก็หายไป ราวกับว่าไม่มีใครเคยพักอยู่ตรงนั้น
เดือนเริ่มรู้สึกใจหาย เธอวิ่งออกไปที่ลานหน้าบ้าน มองไปยังไร่ลำไยที่กว้างใหญ่ พยายามมองหาเงาร่างคุ้นตาของขุน แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ไม่มีวี่แววของเขาเลย
ไม่นานนัก พี่เข้มก็เดินกลับมาจากท้ายไร่ ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้ากว่าปกติ ดวงตาที่เคยสงบนิ่งกลับมีแววเศร้าปนกังวล
“พี่เข้ม! พี่ขุนไปไหนคะ!” เดือนวิ่งเข้าไปหาพี่เข้ม ถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ
พี่เข้มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาก้มลงมองเดือน ดวงตาของเขาฉายแววลึกซึ้ง “ขุน…ขุนไปแล้ว”
“ไปไหนคะ! ไปเมื่อไหร่!” เดือนถามรัวเร็ว น้ำตาเริ่มคลอเบ้า
“เขาไปแล้ว…ไปตั้งแต่เมื่อคืน” พี่เข้มตอบเสียงแผ่ว “เขาไม่ได้บอกอะไรพี่เลย”
คำพูดของพี่เข้มเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของเดือน โลกทั้งใบของเธอเหมือนพังทลายลงในพริบตา
“ไม่จริง! พี่ขุนไม่เคยไปไหนโดยไม่บอกหนู!” เดือนร้องไห้ออกมา เธอไม่เชื่อว่าพี่ชายที่เคยสัญญากับเธอว่าจะอยู่ตรงนี้ตลอดไป จะจากไปโดยไม่มีคำร่ำลา
พี่เข้มโอบกอดเดือนแน่น พยายามปลอบโยนน้องสาวตัวเล็ก ๆ ที่กำลังเสียใจ “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันเดือน…ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไป”
วันนั้น เดือนร้องไห้จนหลับไปในอ้อมกอดของพี่เข้ม เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แสงอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดมิดเข้ามาปกคลุมไร่ลำไย และปกคลุมหัวใจของเดือน
คืนนั้นยาวนานราวกับไม่มีวันสิ้นสุด เดือนนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ในหัวใจเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่ไม่มีใครตอบได้
ทำไมพี่ขุนถึงไป?
เขาจะกลับมาไหม?
เขาลืมคำสัญญาของเราแล้วใช่ไหม?
ไร่ลำไยที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของขุน บัดนี้กลับเงียบสงัดและดูอ้างว้าง เดือนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไปจากชีวิตของเธอ
หลังจากวันที่ขุนหายไป ไร่ลำไยที่เคยเต็มไปด้วยความอบอุ่นก็เหมือนมีเงาอะไรบางอย่างปกคลุมอยู่ เดือน ยังคงแวะเวียนมาที่บ้านพี่เข้มเสมอ แต่ภาพของเด็กชายผู้ร่าเริงที่เคยวิ่งเล่นอยู่รอบ ๆ กลับเหลือเพียงความว่างเปล่า
พี่เข้ม เองก็ดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แววตาของเขาที่เคยมีประกายความสุขุมและอ่อนโยน บัดนี้กลับเคร่งขรึมและหมองลง เขาทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แต่กลับไม่ค่อยพูดจาเหมือนเมื่อก่อน รอยยิ้มที่เคยมีให้เดือนก็เลือนหายไป
“พี่เข้ม…พี่ขุนจะกลับมาไหมคะ” เดือนเคยถามพี่เข้มในวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนั่งลับมีดอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน
พี่เข้มเงยหน้าขึ้นมองเดือนช้า ๆ ดวงตาของเขามีความเจ็บปวดบางอย่างซ่อนอยู่ “ไม่รู้สิเดือน…พี่ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
เขาไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น แต่เดือนรับรู้ได้ถึงความหนักอึ้งในใจของพี่เข้ม
ความจริงแล้ว การหายไปของขุนนั้นมีที่มาที่ไปที่ซับซ้อนกว่าที่เดือนเด็กน้อยจะเข้าใจนัก
ในวันนั้นที่ขุนหายไป...
ขุน ได้บอกกับพี่เข้มว่าเขาอยากไปเรียนต่อในเมือง ใบสมัครทุนเรียนต่อในกรุงเทพฯ วางกางอยู่บนโต๊ะกินข้าว แต่ข้าง ๆ กันคือแบบแปลนขยายเรือนแปรรูปผลไม้ที่พี่เข้มเพิ่งสเกตช์ไว้
“พี่…ถ้าผมได้ทุนนี้ ผมจะต้องไปอยู่กรุงเทพฯ อย่างน้อยสี่ปีนะ” เสียงของขุนในตอนนั้นเบามาก เหมือนคนพูดไม่เต็มเสียง
พี่เข้มไม่ได้เงยหน้าจากแบบแปลน เขากลับตอบไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ที่ขุนไม่เคยลืม “อยู่ที่นี่ก็เรียนรู้ได้ ไม่เห็นต้องไปไกลถึงกรุงเทพฯ ให้เหนื่อย”
ประโยคนั้นสั้น แต่คมกว่ามีดเล่มไหน มันไม่ได้ห้าม แต่กลับ “ตัดไฟ” ในแววตาของขุน ไปอย่างเงียบ ๆ
หลังจากวันนั้น ขุนไม่ได้พูดถึงเรื่องเรียนต่ออีกเลย ไม่ได้ยื่นใบสมัคร ไม่ได้หยิบเอกสารมาพูดซ้ำ เขาแค่เงียบลง…เงียบลงทุกวัน
จนกระทั่งเขาหายไปจากบ้านในวันนั้น
แม่ ของพี่เข้มและขุนบอกว่า “รอเขาใจเย็นลง เดี๋ยวก็กลับมา” น้ำเสียงของแม่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่าลูกชายแค่งอน
พ่อ ก็เสริมว่า “อย่าไปตาม เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็รู้” พ่อเชื่อว่าลูกชายจะต้องกลับมาเมื่อเจอความลำบาก
แต่ พี่เข้ม… เขาพูดว่า “มันแค่งอน เดี๋ยวก็กลับ” เขาคิดว่าน้องชายคงน้อยใจที่เขาไม่เห็นด้วยกับการไปเรียนในเมือง และคงจะกลับมาเมื่อคิดได้ แต่เขาลืมไปว่า บางความเงียบ ถ้าไม่ฟัง มันจะกลายเป็นรอยร้าวที่ไม่มีวันเย็บกลับ
พี่เข้มมัวแต่ยุ่งกับการขยายไร่ มัวแต่ดูบัญชี ปรับแผนงาน ปรับคน เขาเห็นว่าน้องชายที่เคยยืนข้างหลังเขาเสมอ เริ่มเงียบขึ้นทุกวัน เริ่มตื่นสาย เริ่มไม่ค่อยพูด เขาเห็น…แต่เขาไม่ได้ถาม
“เพราะในหัวพี่…มีแต่คำว่า ‘แกต้องโตให้ได้’ ไม่เคยถามเลยว่า แกไหวมั้ย”
จนวันหนึ่ง…เด็กคนนั้นก็หายไป และไม่เคยกลับมาอีกเลย
ไร่ลำไยยังคงผลิตผลผลิตงดงาม แต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพี่เข้มกลับหายไป เขากลายเป็นคนเคร่งขรึม ไม่ร่าเริงเหมือนเคย แผ่นหลังที่เคยดูมั่นคง บัดนี้กลับดูแบกรับอะไรบางอย่างไว้หนักอึ้ง
เด็กหญิงยังมาแวะหน้าบ้านทุกวัน เหมือนลมหายใจยังรอใครบางคน
เธอยังยืนที่พุ่มพุดซ้อน รอคนที่เคยยื่นมือมาลูบหัวเธอเบา ๆ
แต่ตอนนี้มีเพียงสายลมที่พัดผ่าน ใบไม้ที่หล่นกราวแทนคำทัก
พี่เข้มยังอยู่ที่เดิม
แต่แววตาเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เขายังคงดูแลไร่ ขยายโรงเรือน ทำงานหนักขึ้นจนคนในหมู่บ้านเอ่ยปากชม
แต่ในบ้านไม้หลังนี้กลับไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีมงกุฎใบไม้ ไม่มีเสียงเด็กชายอ้อนขอขนมจากแม่
วันหนึ่ง เดือนเปิดลิ้นชักใต้เตียงในห้องขุนโดยบังเอิญ
เธอเจอกล่องเหล็กใบเล็ก ด้านในมีแค่ของไม่กี่ชิ้น
มงกุฎใบลำไยที่เธอเคยสาน
รูปวาดของเธอกับขุน
และกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนด้วยลายมือรีบ ๆ
“ถ้าวันหนึ่งพี่ไม่อยู่ตรงนี้…
จำไว้นะเดือน ว่าพี่เคยยืนอยู่ตรงนี้เพื่อเธอจริง ๆ
ไม่ได้ลืม ไม่ได้หายไป
แค่…อยากกลับมาให้ดีกว่าเดิม”
มือของเดือนสั่น…น้ำตาไหลหยดลงบนกระดาษใบนั้น
ภาพในหัวที่เคยมัว กลับชัดเจนขึ้นในวินาทีนั้นเอง