แสงแดดอ่อน ๆ ยามบ่ายคล้อยสาดส่องลงมาต้องยอดต้นลำไยที่ทอดตัวเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตา เสียงจักจั่นเรไรร้องระงมเป็นจังหวะตามลมที่พัดเอื่อย ๆ พาเอากลิ่นดอกลำไยอ่อน ๆ ลอยมาแตะจมูก
เดือน เด็กหญิงตัวน้อยในชุดเสื้อยืดตัวเก่ากับกางเกงขาสั้นเปื้อนดินแดง กำลังวิ่งซุกซนไปทั่วแนวสวนที่อยู่ติดกับบ้านของเธอ ดวงตากลมโตเป็นประกายเมื่อเห็นดอกลำไยสีขาวนวลเริ่มผลิบานเป็นพุ่มสวย
ไม่ไกลจากนั้น ขุน เด็กชายรุ่นพี่อายุราวสิบสองปี กำลังปีนป่ายอยู่บนกิ่งลำไยใหญ่ มือหนากำลังเด็ดลำไยสุกสีเหลืองทองส่งลงมาให้ พี่เข้ม ที่ยืนรออยู่ด้านล่างอย่างคล่องแคล่ว
“พี่ขุน! ดูนี่สิคะ!” เสียงเล็ก ๆ ของเดือนดังเจื้อยแจ้ว เธอวิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดอยู่ใต้ต้นลำไยที่ขุนกำลังอยู่ แล้วชี้ไปที่ดอกลำไยเล็ก ๆ ช่อหนึ่งด้วยความตื่นเต้น
ขุนชะงักมือ เขาก้มลงมองเดือนที่ยืนตาแป๋วอยู่ด้านล่าง “อะไรเดือน”
“ดอกลำไยสวยไหมคะ!” เดือนเงยหน้ามองเขา ดวงตาเปล่งประกายด้วยความไร้เดียงสา “หนูชอบดอกไม้ค่ะ โตขึ้นหนูจะมีสวนดอกไม้ของตัวเองเลย!”
ขุนยิ้มบาง ๆ เขากระโดดลงจากต้นไม้มายืนข้างเดือน แล้วเอื้อมมือไปลูบหัวเธอเบา ๆ “สวยสิ…ดอกไม้ก็สวยเหมือนเดือนนั่นแหละ”
แก้มของเดือนแดงขึ้นเล็กน้อย เธอเขินกับคำชมนั้น แต่ก็ยังยิ้มกว้าง เธอเอื้อมมือไปเก็บดอกเข็มสีแดงสดที่ร่วงอยู่บนพื้นยื่นให้เขา
“พี่ขุน…ถ้าหนูโตขึ้น หนูจะแต่งงานกับพี่ขุน!” เดือนพูดเสียงใสซื่อ ดวงตากลมโตเป็นประกายด้วยความมุ่งมั่นและจริงจัง ราวกับเป็นคำมั่นสัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ
ขุนหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะที่สดใสและอบอุ่น “จริงเหรอครับ ถ้าพี่ขุนแก่แล้ว เดือนจะยังอยากแต่งงานกับพี่ขุนไหม”
“จริงสิคะ! หนูจะแต่งงานกับพี่ขุนคนเดียว!” เดือนยืนยันหนักแน่น เธอโผเข้ากอดขาของขุนแน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปไหน
ขุนก้มลงลูบหัวเดือนอีกครั้ง เขายิ้มอย่างอ่อนโยน เขารับรู้ถึงความรู้สึกใสซื่อของน้องสาวตัวเล็ก ๆ คนนี้ และไม่เคยคิดว่าคำพูดนั้นจะกลายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในใจของเดือนไปอีกนานแสนนาน
พี่เข้มที่ยืนมองอยู่ไม่ไกล ยิ้มมุมปาก เขาเห็นความผูกพันของน้องชายกับเด็กหญิงข้างบ้านมาตั้งแต่พวกเขายังเล็ก แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะลึกซึ้งได้ถึงเพียงนี้
วันเวลาในไร่ลำไยไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่เต็มไปด้วยความสุขสำหรับเดือน
ทุกเช้าหลังอาหารเช้า เดือนจะรีบวิ่งตรงไปที่บ้านของพี่เข้ม ซึ่งก็คือบ้านของพี่ขุนด้วยเสมอ เธอจะแอบมองอยู่หลังพุ่มดอกพุดซ้อนหน้าบ้าน รอจนเห็นพี่ขุนเดินออกมาจากบ้านนั่นแหละ เธอถึงจะโผล่หน้าออกไปทักทาย
“พี่ขุน! ไปไหนคะ!” เสียงเล็ก ๆ ของเดือนดังเจื้อยแจ้วไปทั่วบริเวณ
ขุนที่กำลังจะเดินไปช่วยพี่เข้มดูงานในไร่ ชะงักเท้า เขาหันมามองเดือนที่วิ่งหน้าตั้งมาหาด้วยรอยยิ้มสดใส
“จะไปดูไร่กับพี่เข้มครับ เดือนจะไปด้วยเหรอ” ขุนถามพลางย่อตัวลงลูบหัวเดือนเบา ๆ
“ไปสิคะ! หนูอยากไปช่วยพี่ขุน” เดือนตอบอย่างกระตือรือร้น ดวงตาเป็นประกาย
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของกิจกรรมประจำวันของเดือน เธอจะตามติดขุนไปทุกที่ในไร่ลำไย ไม่ว่าขุนจะไปช่วยพี่เข้มรดน้ำต้นไม้ พรวนดิน หรือแม้แต่ซ่อมแซมอุปกรณ์การเกษตร เดือนก็จะอยู่ข้าง ๆ เสมอ
บางครั้งเดือนก็ช่วยเก็บเศษใบไม้แห้ง บางครั้งก็ช่วยถืออุปกรณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว เธอจะนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงา มองดูขุนทำงานอย่างตั้งใจ
“พี่ขุนเก่งจังเลยค่ะ” เดือนชมเชยเมื่อขุนซ่อมเครื่องพ่นยาเสร็จ
ขุนยิ้ม เขายื่นมือที่เปื้อนดินและคราบน้ำมันเล็กน้อยมายีหัวเดือน “เดือนก็เก่งเหมือนกันนะ นั่งเป็นเพื่อนพี่ได้ทั้งวันเลย”
ในยามบ่ายที่แดดร่มลมตก เดือนกับขุนจะพากันไปที่ลำห้วยท้ายไร่ พวกเขาจะนั่งอยู่บนก้อนหินริมน้ำ ปล่อยเท้าแช่น้ำเย็น ๆ คุยกันเรื่องสัพเพเหระ
“พี่ขุน…โตขึ้นพี่ขุนจะทำอะไรคะ” เดือนถามพลางเอาเท้าเตะน้ำเล่น
ขุนมองผิวน้ำที่กระเพื่อมเป็นวง “พี่ก็คงอยู่ช่วยพี่เข้มทำไร่ลำไยนี่แหละมั้ง”
“แล้วพี่ขุนจะอยู่กับเดือนตลอดไปเลยใช่ไหมคะ” เดือนเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ขุนยิ้ม “แน่นอนสิครับ พี่ก็จะอยู่ตรงนี้แหละ”
คำพูดของขุนเป็นเหมือนคำมั่นสัญญาที่ทำให้หัวใจของเดือนพองโต เธอเชื่อมั่นในคำพูดของเขาอย่างหมดใจ
ในบางวัน เดือนจะแอบเอาขนมที่แม่ทำมาให้ขุนกิน ขุนจะยิ้มรับด้วยความเอ็นดู แล้วแบ่งขนมนั้นกินกับเดือนอย่างมีความสุข
“อร่อยไหมคะพี่ขุน” เดือนถามพลางมองหน้าขุนตาแป๋ว
“อร่อยที่สุดเลย” ขุนตอบพลางขยี้ผมเดือนเบา ๆ
วันคืนในไร่ลำไยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะใส ๆ ของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ และรอยยิ้มอบอุ่นของเด็กชายรุ่นพี่ ความผูกพันของทั้งคู่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ ลึกซึ้ง และมั่นคง ราวกับรากของต้นลำไยที่หยั่งลึกลงไปในผืนดิน
เดือนไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่ง…รอยยิ้มอบอุ่นและเสียงหัวเราะสดใสของพี่ขุน จะหายไปจากไร่แห่งนี้อย่างกะทันหัน